บทที่ 3
.
..
...
“หม่อมฉันกลัวว่าจะเป็นแผนของฝ่าบาท กลัวพระองค์จะหลอกให้ตายใจแล้วลงอาญาหม่อมฉันเหมือนครั้งนั้น ปล่อยหม่อมฉันให้นั่งที่อื่นเถิดเพคะ”
“ไม่ปล่อย เจ้าเป็นของข้าตั้งแต่ข้าได้แต่งตั้งเจ้าเป็นสนมแล้ว รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนี้”
“เพราะฝ่าบาทต้องการแกล้งหม่อมฉันเพคะ ทรงสนุกมากไหมเพคะที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งต้องห่างจากครอบครัวมา” นางรีบตอบกลับอย่างไม่ต้องคิดอะไร อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจที่ธาตุแท้ของนางได้เผยออกมาแล้ว
“ข้าไม่ได้แกล้งเจ้าสักหน่อย ข้ากำลังมอบสิ่งดี ๆ ให้เจ้าต่างหาก ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาเป็นสนมของข้ากันทั้งนั้น มีแต่เจ้าเท่านั้นล่ะที่ไม่ชอบใจ เป็นเมียข้ามันน่าอายตรงไหนงั้นหรือ” พระองค์โน้มพระพักตร์เข้ามาใกล้ หยางซินอวี่จึงรีบซุกหน้าเข้าที่แผงอกแกร่งเพื่อหาทางหนีทีไล่ มือน้อย ๆ ทั้งสองยังคงกอดพระศอฮ่องเต้ไว้แน่น
“อย่าทำอะไรหม่อมฉันเลยเพคะ หม่อมฉันกลัวแล้ว”
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังไม่รู้ว่าการเป็นสนมเอกต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง แต่ไม่น่าจะซื่อจนไม่รู้ว่า...เจ้าจะต้องขึ้นเตียงกับข้า แค่หอมแก้มเจ้ายังกลัวถึงเพียงนี้ หากเราได้...”
“หม่อมฉันยังไม่พร้อมเพคะ ไม่ว่าจะอะไรก็ตามยังไม่พร้อมสักอย่าง ขอฝ่าบาททรงเมตตาด้วยเพคะ” พระสนมเอกรีบกล่าวออกมาแทบไม่หายใจ เรื่องแบบนี้สำหรับนางมันคือสิ่งที่แปลกใหม่ จู่ ๆ ก็มีบุรุษมาแตะเนื้อต้องตัวใครจะตั้งตัวทัน แม้ว่าบุรุษคนนั้นจะเป็นถึงองค์ฮ่องเต้ก็ตามที มันก็ไม่รู้สึกต่างจากบุรุษทั่วไปเลย เพียงแต่นางไม่อาจปฏิเสธได้เท่านั้น
“นานแค่ไหน”
“เอ่อ...สามเดือนเพคะ”
“สามเดือน! นี่เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะรอได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ถ้าเช่นนั้นสองเดือนได้ไหมเพคะ” ซินอวี่รีบเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาเว้าวอนขอร้องให้ฝ่าบาททรงใจอ่อน หากทว่าแววตาที่ส่งกลับมานั้นนิ่งเฉย เย้ยหยันนางว่าเป็นคนอ่อนต่อโลกเสียอย่างนั้น แค่นี้ก็รู้คำตอบที่กำลังจะเปล่งออกมาแล้ว
“เรื่องบนเตียงข้าให้เวลาเจ้าทำใจได้เพียงแค่สามวัน ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่อนุญาตให้เจ้าปฏิเสธแม้แต่น้อย”
“แต่อื้อ...”
นางกำลังจะตอบโต้กลับไปทว่าฮ่องเต้กลับประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากบางเสียก่อน รสจูบอันร้อนแรงจากองค์ฮ่องเต้ถาโถมเข้ามาอย่างไร้ความปรานี มือน้อย ๆ ที่เกาะเกี่ยวพระศอไว้ถอยร่นลงมาผลักแผงอกแกร่งให้ออกห่าง ใช่ว่าไม่รู้สึกดีแต่นางหายใจไม่ทันต่างหาก นี่คือจูบแรกในชีวิตของนาง และมันเป็นจูบที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น หากทว่ามันคือจูบที่สร้างความหวามไหวให้หัวใจดวงน้อยสั่นระรัว อีกฝ่ายไม่ได้แค่จูบแต่กำลังสูบเอาเรี่ยวแรงของนางออกไปด้วย จนตอนนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวที่จะต่อสู้ขัดขืนแล้ว
พระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ถูกส่งไปลูบไล้แผ่นหลังบางผ่านผ้าเนื้อดี ราวกับกำลังขับกล่อมให้พระสนมเอกหลงระเริงกับรสจูบที่มอบให้ เนิ่นนานแล้วที่ริมฝีปากบดเบียดกัน ทว่าพระองค์กลับยังคงไม่รู้เบื่อ ไม่อิ่มเอมกับมันสักที ยิ่งได้ลิ้มลองยิ่งหลงใหล ราวกับถูกนางผู้นี้ทำเสน่ห์คุณไสยให้ลุ่มหลง อยากจะทำให้มากกว่านี้ แต่ได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะให้ทำใจสามวันเสียก่อน หากไม่เช่นนั้นนางคงได้ถวายงานบนเตียงในค่ำคืนนี้เป็นแน่แท้
พระองค์จะอดใจรอให้ถึงวันนั้น วันที่จะได้เห็นเรือนกายของนาง ได้สัมผัสทุกสัดส่วนอย่างตามใจ พระองค์ไม่ได้แต่งตั้งนางเป็นสนมเอกเพียงเพราะต้องการเรื่องอย่างว่า แต่เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เห็นหน้าครั้งแรกก็ถูกชะตาอยากให้นางมาอยู่ใกล้ ๆ อยากเห็นหน้าทุกวัน นอกเหนือจากว่าคำว่า พรหมลิขิต อีกหนึ่งคำที่จะอธิบายความรู้สึกนี้ได้ดีคือคำว่า...รักแรกพบ
“เจ้าลองคิดดูสิ แค่จูบมันยังทำให้มีความสุขมากถึงเพียงนี้แล้ว หากเป็นอย่างอื่นจะมีความสุขมากแค่ไหน” ฮ่องเต้กล่าวหลังจากผละริมฝีปากออกมาแล้ว รอยยิ้มและสายตาอันเจ้าเล่ห์ทำให้หยางซินอวี่นึกหมั่นไส้ยิ่งนัก เขาคงคิดว่าตัวเองเก่งกาจเรื่องบนเตียงมาก จนทำให้สตรีหลงใหลได้อย่างง่ายดายแต่ไม่ใช่สำหรับนางเลย
“หม่อมฉันไม่ได้มีความสุขเลยเพคะ”
“ข้าไม่มีทางเชื่อ เจ้ามีความสุขที่ได้รับรสจูบจากข้า ได้อยู่ในอ้อมกอดข้า”
“ไม่จริงเพคะ หม่อมฉันรู้สึก...” ก่อนจะหลุดปากออกไปเสียก่อน หยางซินอวี่รีบยกมือมาปิดปากไว้ได้ทันเวลา
“รู้สึกอย่างไร” ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเป็นปม ถามนางด้วยความอยากรู้ซะเต็มประดา
“หม่อมฉันไม่กล้าพูดหรอกเพคะ กลัวว่าจะโดนฝ่าบาทลงอาญาอีก”
“พูดมาเถิด ข้าไม่ทำอะไรเจ้าแน่นอน ข้าสัญญา”
“แน่นะเพคะ”
“แน่สิ”
“หม่อมฉันรู้สึก...ขยะแขยงมากกว่ามีความสุขเพคะ”
“เจ้านี่มัน!” ได้ยินเช่นนั้นจากใบหน้าที่เปี่ยมสุขกลับบึ้งตึงขึ้นมาทันที หยางซินอวี่รีบพยุงตัวจะลุกขึ้นออกจากอ้อมกอดของฝ่าบาท ทว่าอีกฝ่ายกลับรั้งตัวนางไว้แน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“ไหนฝ่าบาทบอกว่าจะไม่ทำอะไรหม่อมฉันไงเพคะ ฝ่าบาททรงไม่รักษาสัญญา”
“แล้วข้าทำอะไรเจ้าหรือยัง” คนพูดจ้องเขม็งมองนางอย่างเป็นต่อ จับข้อมือน้อย ๆ ให้เลื่อนเข้ามาใกล้พระพักตร์ จนปลายพระนาสิกสัมผัสกับหลังมือนาง พระองค์สูดกลิ่นกายที่หอมเป็นเอกลักษณ์เข้าปอดฟอดใหญ่
“เจ้าต้องอยู่ในอ้อมกอดของข้าไปจนกว่าจะถึงวังหลวง เจ้าจะได้รู้สึกคุ้นชินและไม่ขยะแขยงข้าอย่างใดเล่า หึ ๆ”
พระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้วมีหรือที่หยางซินอวี่จะกล้าต่อปากต่อคำอีก นางได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ วางสายตาไว้ที่แผงอกของฝ่าบาทอย่างนั้น หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำเมื่อได้มีโอกาสอยู่ในอ้อมกอดบุรุษ ปากก็บอกว่าขยะแขยงหากทว่าความเป็นจริงแล้วรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ทำให้มั่นใจว่าหากไปถึงวังหลวงแล้วพระองค์จะสามารถปกป้องและดูแลนางได้อย่างแน่นอน