บทที่ 2
.
..
...
“หยางฮูหยิน แม่ทัพหยาง ข้ามารับตัวสนมของข้าแล้ว พวกท่านมีอะไรขัดข้องหรือไม่ หากมีโปรดบอกข้าตรง ๆ”
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่บุตรีของหม่อมฉันได้มีโอกาสรับใช้ฝ่าบาทเพคะ”
“กระหม่อมก็เช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ ต้องฝากน้องสาวของกระหม่อมด้วย นางอาจจะยังไม่คุ้นชินกับชีวิตในวังหลวง หากนางทำอันใดมิควร ฝ่าบาทได้โปรดเมตตานางด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเข้าใจ รับรองว่าข้าจะดูแลนางให้ดีที่สุดพวกท่านอย่าได้เป็นกังวลอันใด” สายตาคมขององค์ฮ่องเต้จับจ้องมองใบหน้าสวยของพระสนมของตน ทว่านางไม่ยอมสบตาแม้แต่สักครั้ง
สตรีที่เคยปากเก่งคนนั้นหายไปไหนแล้วนะ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ว่าแต่...เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าเลยงั้นหรือ” องค์ฮ่องเต้เดินมายืนอยู่ตรงหน้าหยางซินอวี่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ จนได้สบพระพักตร์ คราวก่อนนางคิดแค่ว่าเขาเป็นเพียงหมอหลวง แต่คราวนี้เขาเป็นถึงฮ่องเต้ เป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดในดินแดนแคว้นนี้ จากที่มิเคยเกรงกลัวกลายเป็นกลัวจนแทบไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด แม้แต่จะสบตาก็ไม่กล้า
“เอ่อ...ไม่มีเพคะ”
“ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาทำความรู้จักกันอีกเยอะ”คนพูดส่งยิ้มทรงเสน่ห์ให้พระสนม แววตาคมคู่นี้ฉายแววแห่งความหื่นกระหายออกมา แค่สายตาที่มองนางก็รู้สึกได้ถึงเพียงนี้ หากอยู่ด้วยกันสองต่อสองจะขนาดไหน นางได้แต่คิดในใจ
หลังจากนั้นองค์ฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าไปในจวน นั่งดื่มชาพร้อมสนทนากันอย่างไม่ถือพระองค์ นั่นเพราะในวันนี้ตั้งใจมาในฐานะที่ตนเองเป็นเขยของตระกูลหยางนั่นเอง
หยางฮูหยินได้เล่าเรื่องราววีรกรรมสุดแสบในวัยเด็กของบุตรีให้ฮ่องเต้ฟังอย่างลื่นไหล หลังจากพระองค์ได้ตรัสถามเพียงแค่ไม่กี่คำ ไม่เพียงแค่นั้นผู้เป็นพี่ชายยังเสริมทัพเข้าไปอีก ทำให้หยางซินอวี่ได้แต่นั่งเงียบมองดูทั้งสามสนทนากันอย่างออกรส ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะทรงพอพระทัยเมื่อได้ฟังเรื่องราวของพระสนม ทำให้ได้รู้จักนางมากยิ่งขึ้น
“ยิ้มบ้างสิเพคะพระสนม ทำหน้าบูดบึ้งอย่างนี้เดี๋ยวฝ่าบาทก็ไม่พอพระทัยเอาหรอก” เหม่ยหวากระซิบกระซาบอย่างเบาเสียง เมื่อสังเกตสีหน้าของเพื่อนรักอยู่นาน
“ทำไมต้องเรียกข้าอย่างนี้ด้วย ข้าเป็นเพื่อนเจ้านะ”
“ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ก็ต้องเรียกตามยศที่เจ้าได้รับมา คนอื่นจะได้เรียกตามและให้ความเคารพเจ้าอย่างใดเล่า”
“แต่ข้าไม่อยากให้เรียกนี่นา เป็นพระสนมไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย”
ทั้งสองกระซิบกันจนลืมสังเกตรอบตัว ตอนนี้ฮ่องเต้ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว พระองค์กระแอมไอเบา ๆ ทำให้ทั้งสองหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มเจื่อน ใบหน้าซีดเซียวเลยทีเดียว
“ถึงเวลากลับเข้าวังแล้ว”
“เพคะฝ่าบาท”
หยางซินอวี่ตอบกลับเสียงอ่อน รีบหลบตาเขาในทันที เมื่อครู่คงจะได้ยินสิ่งที่นางกล่าวหมดแล้วสินะ หวังว่าคงจะไม่โกรธจนลงอาญานางอีกหรอกนะ
บัดนี้ทั้งหมดเดินออกมาส่งที่หน้าจวนอีกครั้ง หยางซินอวี่กล่าวคำร่ำลากับทุกคน สวมกอดอย่างแนบแน่นแทบไม่อยากจะปล่อย อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา แม้ที่นี่กับวังหลวงจะอยู่ไม่ห่างกันมากแต่การที่จะได้เจอหน้ากันแทบไม่มีเลย
รถม้าเคลื่อนล้อออกจากหน้าจวนไปอย่างช้า ๆ เพื่อกลับไปยังวังหลวง หยางซินอวี่ได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่บนที่นั่งถัดมา ปล่อยให้อีกฝ่ายจ้องมองอยู่อย่างนั้น นางไม่รู้ว่าเขามองด้วยสายตาแบบไหน แต่ที่รู้ตอนนี้มันเป็นเวลาที่สุดแสนจะอึดอัดเกินจะทน นิ้วทั้งสิบประสานกันไว้บนตักอยู่ตลอดเวลา มีเหงื่อซึมออกมาที่อุ้งมือน้อย ๆ จนเปียกชุ่ม
“เจ้าเป็นใบ้หรืออย่างไรกัน”
“เปล่าเพคะ”
“เวลาพูดให้มองหน้าข้าด้วย ใบหน้าข้าไม่ชวนมองขนาดนั้นเชียวหรือ”
“เปล่าเพคะ”
“เปล่าอีกแล้ว เจ้าใช่สตรีคนเดียวกับที่ข้าเจอที่โรงหมอหรือไม่ เหตุใดจึงกลายเป็นคนละคนเช่นนี้” พระองค์ทรงรู้ว่านางแค่กำลังตื่นเต้นและกลัวกับการเปลี่ยนแปลงเพียงเท่านั้น เห็นอย่างนี้ยิ่งอยากจะแกล้งให้หนัก ๆ อยากให้นางได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา จึงเอื้อมไปจับข้อมือน้อย ๆ ดึงตัวให้มานั่งบนตัก ด้วยที่ตัวของนางเล็กกว่ามาก เรี่ยวแรงก็น้อย ทำให้ร่างของหยางซินอวี่แทบจะปลิวมาเสียอย่างนั้น
“อุ้ย! ฝ่าบาททรงทำอะไรเพคะ”
“หากไม่ทำเช่นนี้เจ้าคงจะเอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่ยอมพูดจากับข้า หามีอันใดต้องกลัว ทำตัวตามสบาย เป็นเหมือนอย่างที่เจ้าเคยเป็น ข้าชอบแบบนั้น”