บทที่ 2 - พระสนมนำเข้า ...มาจากต่างภพ 1
ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มๆ แล้วที่ปณาลีทะลุมิติมาอยู่ในร่างของพระสนมหลี่ ที่มีนามว่าหลี่ชิงเยว่ สตรีอายุยี่สิบที่มีตำแหน่งเป็นถึงกุ้ยเฟย หนึ่งในสี่พระชายาขององค์จักรพรรดิหยางเว่ยหลง บุรุษผู้ปกครองจักรวรรดิเทียนอ้ายและแคว้นตงเทียนอันยิ่งใหญ่
ทว่า...ต่อให้บุรุษผู้นั้นจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรสักเพียงใด มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหญิงสาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างเธอ!
ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านปณาลีใช้เวลาในการรักษาร่างกายร่างนี้ไปแล้วยี่สิบห้าวัน นั่นก็หมายความว่าหญิงสาวเพิ่งจะหายดีและกลับมาแข็งแรงเหมือนคนปกติก็เมื่อสี่ห้าวันที่ผ่านมานี้เอง
ปณาลีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโลกคู่ขนานจะมีอยู่จริง เธอคิดว่าเรื่องว่าพวกนี้มีอยู่เพียงแค่ในจินตนาการของนักเขียนหรือโลกของการแสดงเท่านั้น
แต่ใครจะคิดล่ะว่า...วันหนึ่งเธอจะหลุดเข้ามาอยู่ในโลกคู่ขนาน หรือดวงวิญญาณพลัดหลงมาอยู่ในโลกอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังมาอยู่ในร่างกายของผู้อื่นอีกด้วย...
“หน้าตาก็สวยน่ารักจิ้มลิ้มดีอยู่หรอก แต่ทำไมร่างกายถึงได้อ่อนแอนักฮะ!” หญิงว่าตัวเองในกระจก
ด้วยเพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน มีขันทีผู้หนึ่งมาแจ้งให้ทราบว่า องค์จักรพรรดิหยางเว่ยหลงจะเสด็จมาที่ตำหนักรุ่ยเซียง และเพราะเหตุผลนั้นเอง ปณาลีที่หลับสนิทไปแล้วตั้งแต่หัวค่ำ จึงถูกนางกำนัลคนสนิทอย่างเสี่ยวเจินปลุกขึ้นมากลางดึก ก่อนจะถูกจับแต่งตัว เช็ดหน้าเช็ดตาให้สดชื่น หายจากอาการง่วงงุน
“อ้อ...อีกอย่าง ทำไมฉันไม่มีความทรงจำใดๆ ของเธอเลยห๊ะ!...ยัยพระสนมคิกขุ” ปณาลีส่งค้อนให้คนในกระจก
ตัวเธอเองนั้นก็เป็นคนชอบอ่านนิยายคนหนึ่ง ไอ้ประเภททะลุมิติไปอยู่ในร่างของคนอื่นเธอก็เคยอ่านเจอผ่านหูผ่านตามาบ้าง และส่วนมากตัวละครเหล่านั้นก็มักจะได้ความทรงจำของเจ้าของร่างไปติดตัวไปด้วย
นั่นจึงทำให้ตัวละครเหล่านั้นพอจะรู้แนวทาง ว่าควรจะดำเนินชีวิตภายหลังทะลุมิติมาแล้วเช่นไร เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องประสบกับหายนะ หากว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่ตนเองย้อนเวลากลับไปนั้นตลอดชีวิต
แต่กับปณาลี...เธอไม่มี ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีอะไรที่เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างนี้คนเดิมเลยสักอย่าง
ว่างเปล่า!
ในสมองของยัยพระสนมนี่ว่างเปล่าไปหมด!
“พระสนมเพคะ ทรงเป็นอะไรไปเพคะ?”
เสี่ยวเจินเอ่ยถามขึ้นเมื่อนางเดินมาเห็นผู้เป็นนายตนกำลังยกสองมือขึ้นกำไว้ข้างหู อาการคล้ายกับคนต้องการกรีดร้องเมื่อถูกขัดใจ
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
พอถูกแม่นางกำนัลคนสนิทของเจ้าของร่างนี้ทัก ปณาลีก็ทำทีคลายสองมือที่กำหมัดแน่นอยู่ข้างหูออก ก่อนจะแสร้งใช้มือข้างหนึ่งจัดแจงผมเผ้าของตนเองได้อย่างแนบเนียน
“ว่าแต่...ฝ่าบาทใกล้จะเสด็จมาถึงแล้วรึ?” หญิงสาวเอ่ยถาม หวังเปลี่ยนเรื่องให้นางกำนัลตัวน้อยเลิกสนใจในท่าทางของตน
แน่นอนว่าที่นี่คือโลกยุคโบราณ สตรีแทบทุกชนชั้นในยุคนี้ล้วนต้องมีกิริยามารยาทเรียบร้อย เปรียบประดุจแพรงามที่พับไว้อยู่ในหีบ
ทว่าปณาลีคนนี้เป็นนี้ผู้ใด?
เธอคือหญิงสาวจากโลกอนาคต โลกที่สตรีมีสิทธิ์มีเสียงไม่น้อยกว่าผู้ชายอกสามศอก โลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและไปพัฒนาไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้มาก
โลกที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองคิด มีสิทธิ์ที่จะกระทำทุกอย่างได้อย่างไม่ต้องสนสายตาใคร ขอเพียงแค่สิ่งสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมาย และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
และในเมื่อปณาลีแสดงท่าทางราวกับอยากจะบ้าตายออกมาให้เสี่ยวเจินเห็น...แน่นอนว่านางกำนัลตัวน้อยจะคิดว่าเธอไม่ปกติ คร้านจะวิ่งแจ้นไปตามหมอหลวงชราไป๋เหวินผู้นั้นมาด้วยความรวดเร็ว
“น่าจะอีกสักพักหนึ่งเพคะ” เสี่ยวเจินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
นางเป็นสาวใช้ข้างกายพระสนมมาตั้งแต่จำความได้ เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าผู้เป็นนายตนนั้นมีความรู้สึกเช่นไรให้ฝ่าบาท
ทว่าราวกับบุปผาร่วงหล่นมีใจ สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก องค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นหาได้มีใจให้ผู้เป็นนายของนางแม้แต่น้อยไม่
เสี่ยวเจิน...คนผู้นั้นบอกว่าเขาเห็นเราเป็นเช่นน้องสาว เขาไม่มีทางเห็นเราเป็นสตรีผู้หนึ่ง เฉกเช่นสตรีคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างกาย
เสี่ยวเจินยังจำคำพูดของผู้เป็นนายในวันนั้นได้ วันที่ผู้เป็นนายของนางบากหน้าไปขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ก่อนที่จะเอ่ยบอกความรู้สึกทุกอย่างในใจออกไปให้ผู้เป็นใหญ่เหนือผู้ใดในใต้หล้าได้รับรู้
ทว่า...สิ่งที่ผู้เป็นนายของนางได้รับกลับมา กลับเป็นสีหน้าเย็นชาและวาจาไร้ใจ ที่มีอานุภาพร้ายแรงเสียงยิ่งกว่าหอกดาบใดๆ บนโลกนี้
ทว่าหลังจากที่กุ้ยเฟยพลัดตกลงไปในทะเลสาบ องค์จักรพรรดิก็คล้ายกับว่าจะมีความห่วงใยพระนางอยู่บ้าง
ในตอนที่พระนางเพิ่งได้สติ องค์จักรพรรดิก็เสด็จมาเยี่ยมหนหนึ่ง และในคืนนี้ ซิ่นกงกงก็ส่งคนมาแจ้งว่าพระองค์จะเสด็จมายังตำหนักรุ่ยเซียงแห่งนี้อีก
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผู้เป็นนายของนางคาดหวังได้เช่นไร?
“ทำไมต้องอีกสักพัก...ระยะทางไกลมากเลยหรือ?” ปณาลีเอ่ยถามออกไป
เพราะนับตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในร่างนี้ นอกจากสวนดอกไม้ในตำหนักรุ่ยเซียงแล้ว หญิงสาวก็ไม่เคยก้าวขาออกไปที่ใด
การไปเข้าเฝ้าฮองเฮาในทุกเช้าเหมือนที่เคยอ่านเจอในนิยายนั้นก็ไม่มี ถามเสี่ยวเจินแล้วก็ได้ความว่าฮองเฮาละเว้นการไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักทุกเช้าให้นาง เพราะทรงเห็นว่านางป่วยหนักมานาน สมควรที่จะต้องพักผ่อนเยอะๆ
และด้วยสาเหตุนั้นปณาลีจึงไม่ได้มีความคิดจะออกไปที่ไหน ให้เป็นการหักหน้าและท้าทายอำนาจของฮองเฮาผู้ที่นางไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนผู้นั้น
ให้นางอยู่แต่ในตำหนัก นางก็อยู่ แต่หลังจากนั้นปณาลีก็ถามเสี่ยวเจินอีกว่าในวังหลังแห่งนี้ใครใหญ่สุด นางกำนัลตัวน้อยก็ตอบว่านอกจากฮองเฮาแล้ว ตำแหน่งที่รองลงมาก็คือกุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟยและเสียนเฟย
โดยแต่ละตำแหน่งนั้นจะเท่าเทียมกันทั้งเกียรติยศและบรรดาศักดิ์ ทว่าผู้ใดจะเป็นผู้มีอำนาจมากกว่านั้น ก็แล้วแต่ว่าใครจะเป็นผู้โปรดปรานขององค์จักรพรรดิมากกว่ากัน ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ที่รองลงไปนั้น ยังไม่มีการแต่งตั้งใครมาเพิ่มเติมอีก
นั่นจึงเท่ากับว่า ในวังหลังแห่งนี้ นอกจากฮองเฮาและเฟยทั้งสี่ ก็ไม่มีสตรีอื่นใดเป็นนายอีก แม้กระทั่งไทเฮา หรือไท่เฟยของอดีตฮ่องเต้
“ก็...ไม่นับว่าไกล แต่ก็ไม่เรียกว่าใกล้เพคะ” คนฟังขมวดคิ้วงุนงง
เสี่ยวเจิน! มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ จะกั๊กไว้เพื่อ?
“คือว่า...ในระหว่างทางที่ฝ่าบาทกำลังเสด็จมา มีนางกำนัลตำหนักสุ่ยเซียนวิ่งไปขวางขบวนเสด็จ ก่อนจะกราบทูลฝ่าบาทว่าเวลานี้จางเต๋อเฟยกำลังประชวร ขอให้ฝ่าบาทเสด็จไปดูอาการป่วยของพระนางเพคะ จากนั้น...”
จากนั้นซิ่นกงกงก็ส่งคนมาแจ้งว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาถึงตำหนักนี้ช้าสักหน่อย เสี่ยวเจินเอ่ยต่อในใจ เมื่อถูกผู้เป็นนายยกมือขึ้นเป็นการสั่งห้ามไม่ให้พูดต่อ
“พอ!”