บทที่ 2 - พระสนมนำเข้า...มาจากต่างภพ 2
ปณาลีเอ่ยห้ามนางกำนัลตัวน้อยไม่ให้พูดต่อ หญิงสาวเกลียดชังการแข่งขันแย่งชิงความรักจากผู้ชายแบบนี้เป็นที่สุด
ทว่าเวลานี้ชีวิตของเธอกลับกำลังดำเนินไปตามตำราเกลียดอย่างไหน ได้อย่างนั้น โดยที่ตัวเธอเองไม่มีแม้แต่ทางเลือก ไม่มีตัวช่วย สิ่งที่เธอจะทำต่อไปหลังจากนี้มีเพียงแค่สองอย่างเท่านั้น คืออยู่ต่อไป กับตายไป (อีกครั้ง) จริงๆ
“ดับเทียน! ง่วงแล้ว เราจะนอน”
หญิงสาวว่าแล้วลุกที่นั่งหน้ากระจก เดินตรงไปล้มตัวนอนบนเตียงก่อนจะปิดเปลือกตาลงด้วยความเกียจคร้านจะรับรู้สิ่งใดๆ อีก มากกว่าที่จะรู้สึกง่วงนอนดังปากว่าจริงๆ
จะอยู่หรือตายพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ต้องนอนก่อน ดีไม่ดีพรุ่งนี้อาจโดนนำตัวไปประหารเพราะไม่ยอมรอฮ่องเต้ผู้นั้นก็เป็นได้
ว่าแต่...ตายไปแล้วจะได้กลับยังโลกเดิมที่จากมาไหมนะ?
“พะ...พระสนมเพคะ”
เสี่ยวเจินเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอึกอักไม่เต็มเสียง ด้วยเพราะคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นชิงหลับตาเอาผ้าห่มปิดหน้าหนีไปเสียแล้ว
ฝ่าบาทจะทรงกริ้วหรือไม่นะ?
ถ้าหากพระองค์ทรงกริ้ว พระสนมจะโดนทำโทษหรือไม่?
แล้วพวกนางจะถูกโบยด้วยหรือเปล่า?
เสี่ยวเจินคิดด้วยความกลัดกลุ้มใจ ก่อนจะเดินออกไปเตรียมตัวรับหน้าผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแทนผู้เป็นนายที่ชิงหลับ (หลอกๆ) ไปก่อนแล้ว...
ลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่านต้องผิวกายอย่างแผ่วเบา เมื่อผู้เป็นใหญ่ย่างเท้าลงจากเกี้ยว พระพักตร์หล่อเหลาเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่แขวนอยู่กลางฟ้าครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองยังตำหนักที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ขันทีคนสนิทขยับเข้ามาประคองนายเหนือหัว เมื่อพระองค์เสด็จย่างก้าวขึ้นบันได โคมไฟสีแดงถูกจุดไว้หน้าตำหนัก ขันทีประจำตำหนักย่อกายทำความเคารพอย่างรู้มารยาทหน้าที่ ก่อนจะเปิดประตูบานใหญ่ออกด้วยความแผ่วเบา
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
เสี่ยวเจินเอ่ยพร้อมย่อกายทำความเคารพ นางกำนัลตัวน้อยพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้น้ำเสียงของเองสั่นเครือ รวมไปถึงแข้งขาและมือไม้ของตนเองด้วย
“กุ้ยเฟยเล่า?” หยางเว่ยหลงเอ่ยถาม
เขาเดินเข้ามาถึงในตำหนักเช่นนี้แล้ว มิใช่ว่าเจ้าของตำหนักควรจะมายืนรอต้อนรับเขามิใช่หรือ?
“กราบทูลฝ่าบาท พระสนม...พระสนมทรงเข้าบรรทมไปแล้วเพคะ” เสี่ยวเจินเอ่ยบอกก่อนทรุดกายแนบลงกับพื้น
“นอนแล้ว?”
หยางเว่ยหลงเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มผินหน้าไปมองขันทีคนสนิทครั้งหนึ่งด้วยสายตามีคำถาม
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมทำตามที่ทรงรับสั่งทุกประการพ่ะย่ะค่ะ” ซิ่นเฉิงเอ่ยตอบนายเหนือหัว
“กุ้ยเฟยไม่สบายหรือ?”
เสี่ยวเจินก้มหน้าเม้มปากจนเป็นเส้นตรงเมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นใหญ่ ด้วยนางกำนัลต่ำต้อยเช่นนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบเจ้าเหนือหัวว่าอย่างไรดี
เพราะสองสามวันมานี้พระสนมของนางนั้นแทบจะเรียกว่าหายดีเป็นปกติ พระกระยาหารก็เสวยได้มากกว่าแต่ก่อน ของว่างคาวหวานหรือก็ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ถูกปาก ทุกอย่างที่พระนางได้เห็นและลิ้มรส คล้ายกับว่าจะเป็นสิ่งแปลกใหม่ไปเสียหมด เช่นนี้แล้วหากนางตอบฮ่องเต้ไปว่าพระสนมทรงประชวร จะมิเท่ากับว่าทูลความเท็จต่อองค์จักรพรรดิหรอกหรือ?
“กราบทูลฝ่าบาท พระสนมทรงปกติดีเพคะ แต่อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงร่างกายที่หมอหลวงให้มา จึงทำให้พระนางรู้สึกต้องการบรรทมมากกว่าปกติ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน ก่อนหน้านี้พระสนมก็ทรงบรรทมหลับไปแล้วตื่นหนึ่งเพคะ แต่พอมีขันทีมาแจ้งว่าพระองค์จะเสด็จมา พระสนมก็ตื่นมารอฝ่าบาทอยู่พักหนึ่งเพคะ...แต่ว่าก็ทรงทนรอไม่ไหวและคิดว่าฝ่าบาทอาจจะไม่เสด็จมาแล้ว จึงเข้าบรรทมไปก่อนแล้วเพคะ”
หยางเว่ยหลงฟังแล้วพยักหน้ารับ จริงๆ แล้วเขาควรจะมาถึงตำหนักรุ่ยเซียงตั้งแต่ราวครึ่งชั่วยามก่อนแล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่หัวเกี้ยวข้ามพ้นผ่านเข้ามาในเขตตำหนักใน คนของตำหนักสุ่ยเซียนก็วิ่งมาขวางทางไว้ราวกับรอคอยโอกาสนี้มาเนิ่นนาน
“ออกไป” หยางเว่ยหลงเอ่ยขึ้นเบาๆ
ซิ่นเฉิงและคนอื่นๆ ได้ยินรับสั่งแล้วก็พลันก้าวถอยหลังเดินออกไป
เสี่ยวเจินลอบถอนหายใจน้อยใหญ่เข้าออก ด้วยเพราะว่านางนั้นนึกเป็นห่วงเป็นใยผู้เป็นนาย ทว่านางเป็นเพียงนางกำนัลผู้ต่ำต้อย จะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงได้อย่างไร
อีกอย่าง...ดีร้ายอย่างไรทั้งสองพระองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน ต่อให้ไม่ได้มีใจรักใคร่ลึกซึ้ง อีกทั้งความผิดนี้ คงไม่ร้ายแรงถึงขั้นเอาชีวิตหรอกกระมัง?
คิดได้อย่างนั้นเสี่ยวเจินก็ค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะได้ชื่อว่าเป็นบุรุษผู้เย็นชาและไร้ใจ
ทว่ากับคนที่เคยบอกว่ารักใคร่ในตัวพระองค์ องค์จักรพรรดิเองคงไม่พระทัยร้ายถึงขั้นต้องลงโทษพระสนม เพราะอย่างน้อยๆ พระองค์ก็ต้องคงไว้ซึ่งไมตรีบ้าง หากไม่ทรงเห็นหัวใจของพระสนม พระองค์ก็ทรงต้องจำได้ว่าคุณชายใหญ่สิ้นใจด้วยเหตุใด
หยางเว่ยหลงเดินเข้ามายังส่วนในของตำหนักที่เป็นห้องนอนของหลี่ชิงเยว่ ภายในห้องนอนของสตรีผู้นี้ประดับประดาด้วยของมีค่าน้อยชิ้น ทุกสิ่งอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ...เป็นระเบียบมากเสียจนแทบจะเป็นห้องว่างเปล่าห้องหนึ่ง
แปลก...นางมิชอบของประดับสวยงามล้ำค่าหรืออย่างไร?
หยางเว่ยหลงหยุดเดินแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังเตียงนอนที่เวลานี้มีผู้เป็นเจ้าของเตียงนอนหลับสนิทอยู่
ชายหนุ่มก้าวเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีกเล็กน้อย ด้วยเพราะต้องการเห็นว่าใบหน้าของสตรีผู้ที่ก่อนหน้านี้เคยไปคุกเข่าสารภาพรักกับเขาที่ตำหนักใหญ่ เวลานี้สีหน้าของนางจะมีสภาพเป็นไร อีกทั้งตั้งแต่ที่นางฟื้นคืนสติ เขาก็ไม่เคยได้มาเยี่ยมนางอีกเลย
ทว่าเมื่อก้าวขาเข้าไปแล้วชายหนุ่มผู้เป็นใหญ่กลับต้องชะงักค้างด้วยความตกใจ ดวงตาสองข้างเบิกกว้างด้วยเพราะเห็นในสิ่งที่คาดไม่ถึงว่าจะเห็นเข้าเต็มๆ ตา
เรียวขานวลเนียนได้รูปโผล่พ้นออกมานอกผ้าห่ม ผิวเนื้อขาวนวลผุดผ่องช่างเย้ายวนให้ผู้พบเห็นใคร่ที่จะยื่นมือไปสัมผัสความนุ่มนิ่มของเรียวขางดงามนั้นด้วยความหลงใหล
หยางเว่ยหลงขยับกายเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้า ทว่าคนที่นอนอยู่กลับขยับตัวพลิกกายขึ้นนอนหงาย เป็นเหตุให้ผู้เป็นใหญ่ได้สติ ดึงมือที่ยื่นออกไปกลับมาด้วยความรวดเร็ว
ช่างไร้ความเป็นกุลสตรียิ่งนัก!
หยางเว่ยหลงนึกใจ ก่อนจะหันหลังให้คนที่นอนอยู่บนเตียง ร่างสูงขยับกายห่างออกมาหลายจั้ง ก่อนจะปรับลมหายใจให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินออกนอกห้องไป
ปณาลีลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เมื่อหูไม่ได้ยินเสียงของฝีเท้าใครในห้องนี้อีกแล้ว
“อ่อน!” หญิงสาวเอ่ยขึ้นคำหนึ่งก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
ไม่คิดเลยว่าแผนการแบบเด็กๆ อย่างเช่นการแกล้งหลับแล้วแกล้งยั่ว จะสามารถตบตาคนที่เป็นถึงจักรพรรดิผู้ปกครองแว่นแคว้นได้
หญิงสาวจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อยอีกครั้ง การนุ่งน้อยห่มน้อยในสภาพบรรยากาศแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเท่าไหร่นัก เพราะแม้ว่าจะไม่ใช่หน้าหนาว แต่ดึกดื่นค่อนแบบนี้อากาศที่นี่ก็ยังเย็นมากอยู่ดี เย็นขนาดที่ว่าหน้าหนาวที่หนาวจัดๆ ในโลกก่อนของนางยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของอากาศในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาท?”
ซิ่นกงกงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายเดินออกมาจากห้องบรรทมของหลี่กุ้ยเฟย ทั้งๆ ที่เพิ่งเดินเข้าไปถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ
“กลับเถอะ เราง่วงแล้ว”
องค์จักรพรรดิตรัสแล้วเดินนำออกไปคล้ายจะเร่งรีบ แต่ก็ไม่เร่งรีบ ด้วยเพราะพระองค์นั้นยังทรงหันหลังกลับไปทอดพระเนตรมองที่ห้องบรรทมของหลี่กุ้ยเฟยอยู่ ทั้งยังทรงมีสีพระพักตร์ราวกับกำลังชั่งใจและเสียดายอะไรบางอย่าง...
“เสด็จกลับตำหนักใหญ่เลยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?” ซิ่นเฉิงเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“กลับ!”
เอ่ยจบแล้วร่างสูงก็เดินดุ่มๆ ออกจากจากตำหนักรุ่ยเซียงไป โดยมีซิ่นเฉิงและขันทีคนอื่นๆ เดินตามไปติดๆ