บทที่ 3 ความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในใจ - 1
นับตั้งแต่ที่หลี่ชิงเยว่ถูกเรียกตัวเข้ามาอยู่ในวังหลวงเมื่อตอนอายุสิบหนาว หยางเว่ยหลงจำได้ว่าเขาเคยแอบไปดูเด็กคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่นางกำลังร่ำเรียนมารยาท หรือศาสตร์ศิลป์แขนงต่างๆ หรือเวลาที่นางเดินเล่นอยู่ในอุทยานหลวง ชายหนุ่มก็มักจะแอบไปดูเด็กหญิงผู้นั้นอยู่เสมอ โดยอ้างว่าต้องการเห็นสภาพความเป็นอยู่ของนาง
การตายของหลี่จิ้นนั้นนับว่าสะเทือนใจหยางเว่ยหลงไม่น้อย ด้วยเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว หลี่จิ้นผู้เป็นสหายสนิทก็ได้เดินไปทางน้ำพุเหลืองแทนเขาเสียแล้ว
นั่นจึงทำให้หยางเว่ยหลงรู้สึกผิดกับหลี่ชิงเยว่อยู่เสมอ เพราะถ้าพี่ชายของนางไม่มาตายแทนตน หลี่ชิงเยว่ก็จะไม่ใช่คนไร้ญาติมิตรเฉกเช่นทุกวันนี้
ฉะนั้นแล้วการที่หยางเว่ยหลงรับหลี่ชิงเยว่เข้ามาอยู่ในวัง ดูแลอบรมอย่างดี มอบเงินทองของมีค่าให้ตามสมควร จึงถือว่าเป็นสิ่งที่หยางเว่ยหลงได้ทำตามที่รับปากไว้กับหลี่จิ้นแล้ว
อีกทั้งเมื่อหลี่ชิงเยว่อายุได้สิบห้าหนาว หยางเว่ยหลงเองก็ยังแต่งตั้งให้นางเป็นถึงกุ้ยเฟยภายหลังพิธีปักปิ่น เรียกได้ว่าสิ่งที่หยางเว่ยหลงมอบให้กับหลี่ชิงเยว่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่สตรีทั้งใต้หล้าใฝ่ฝันหา... แต่ตัวนางเองทำราวกับว่าไม่ได้มีใจยินดีในสิ่งที่ตนเองได้รับเลยแม้แต่น้อย
เพราะนอกจากหลี่ชิงเยว่จะดูไม่มีความสุขในชีวิตแล้ว นางยังดูทุกข์ทรมานมากอีกด้วย
“พระองค์แต่งตั้งหม่อมฉันเป็นกุ้ยเฟยด้วยเหตุอันใดเพคะ?”
“หากมิเป็นกุ้ยเฟย...เจ้าจะยอมเป็นเพียงนางสนมชั้นต่ำรึ?”
“เหตุใดจึงให้เป็นสนมเพคะ? ...ในเมื่อพระองค์ทรงเห็นหม่อมฉันเป็นเพียงน้องสาวมาโดยตลอด”
“ถ้าไม่อยู่ในตำแหน่งสตรีของเรา วันหนึ่งเจ้าอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ถ้าไม่เป็นสนมของเรา ในภายภาคหน้าต้องมีคนเสนอให้เจ้าเป็นตัวแทนแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ และถ้าหากว่าเราปล่อยให้เจ้าไปตายอยู่บนผืนแผ่นอื่น นั่นมิเท่ากับว่าเราทำผิดต่อพี่ชายของเจ้าหรือ? อีกอย่าง...เราเห็นว่าเจ้าเองก็อยากจะเป็นสนมของเราใจจะขาด จึงได้ตั้งใจทำทุกอย่างให้ตนเองผ่านการคัดเลือกถึงเพียงนั้น”
“แต่พระองค์ไม่ได้รักหม่อมฉัน...”
“เราไม่เคยรักใคร...แม้แต่ฮองเฮาหรือสนมคนอื่นๆ ก็ไม่เคยมีใครได้รับความรักจากเรา” หยางเว่ยหลงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเย็นชา
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ชิงเยว่น้อมรับโทษทัณฑ์นี้ชั่วชีวิต”
หมึกสีดำหยดจากปลายพู่กันลงสู่กระดาษเปล่าที่อยู่ตรงหน้าหยดแล้วหยดเล่า ทว่าองค์จักรพรรดิผู้จมดิ่งอยู่ในภวังค์แห่งความคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งก่อน กลับไม่มีท่าทีว่าจะรู้ตัวเลยสักนิด กระทั่งขันทีคนสนิทเอ่ยเรียกอยู่สองสามครั้ง หยางเว่ยหลงจึงได้สติกลับคืนมา
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“หะ...หืม?” หยางเว่ยหลงสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองคนสนิท แล้วหันกลับมามองกระดาษเปล่าที่เปื้อนไปด้วยน้ำหมึกตรงหน้า
“รู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้ตามหมอหลวงให้รีบมาตรวจดูพระอาการ”
แม้ว่าหยางเว่ยหลงจะเพิ่งครองราชย์ได้เพียงสิบปี ทว่าภาระหน้าที่ของผู้เป็นองค์จักรพรรดินั้นมีไม่น้อย
สองปีแรกของการขึ้นครองราชย์ หยางเว่ยหลงหมดเรี่ยวแรงและพละกำลังไปกับการกำจัดขุมอำนาจเดิมของอดีตฮองเฮา
ชายหนุ่มอาศัยข้อได้เปรียบที่ว่าไม่มีผู้ใดที่ล่วงรู้ความจริง ว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่โอรสของฮองเฮา ทำการโยกย้ายบรรดาขุนนางที่มีอำนาจล้นมือทั้งหลายแหล่ออกไปจากราชสำนัก บางส่วนถูกขุดคุ้ยความผิดลงและถูกลงโทษสถานหนัก บางส่วนถูกข่มขู่จนต้องย้ายถิ่นฐานกลับบ้านเกิดตนเองไป
นั่นจึงทำให้ขุนนางในราชสำนักเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ การรวมกลุ่มยึดถือเอาอำนาจไปไว้ในมือยังทำได้ไม่เต็มที่นัก พูดง่ายๆ คือยังไม่กล้าต่อกรหรือท้าทายอำนาจของผู้เป็นกษัตริย์
และด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้ซิ่นเฉิงจะต้องคอยดูแลเรื่องพระพลานามัยขององค์จักรพรรดิอย่างดี ด้วยเพราะเวลานี้บ้านเมืองและจักรวรรดิแว่นแคว้นเพิ่งจะสงบเงียบมาได้ไม่นาน อีกทั้งองค์จักรพรรดิเองก็ยังคงไร้ซึ่งทายาท ฉะนั้นการดูแลพระพลานามัยของฝ่าบาทจึงเป็นหน้าที่สำคัญยิ่งของขันทีชราเช่นเขา
“ไม่ต้อง แค่มีบางเรื่องที่คิดไม่ตกเท่านั้น” หยางเว่ยหลงถอนหายใจออกเบาๆ ก่อนจะวางพู่กันไว้ตามเดิม
“ขอบังอาจทูลถามฝ่าบาท ใช่เรื่องของกุ้ยเฟยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“มิผิด เรากำลังคิดเรื่องของนางอยู่จริงๆ” หยางเว่ยหลงยอมรับอย่างไม่ปิดบัง
ผ่านมาสามวันแล้วหลังจากที่เขาไปหาหลี่ชิงเยว่ที่ตำหนักรุ่ยเซียงในคืนนั้น ทว่าภาพเรียวขางดงามขาวผ่องกลับไม่เคยเลือนหายไปจากความคิดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อยิ่งคิดถึงภาพนั้น ก็ทำให้เขาคิดถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับนางขึ้นมาอีกหลายเรื่อง ไปๆ มาๆ ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของหลี่ชิงเย่วอยู่เต็มไปหมด
“ฝ่าบาทไม่สบายพระทัยที่พระนางดูเปลี่ยนไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยางเว่ยหลงส่ายหน้า
“แล้วทรงไม่สบายพระทัยเกี่ยวกับเรื่องอันใดของพระนางเล่าพ่ะย่ะค่ะ” ซิ่นเฉิงเอ่ยถามอย่างงงงวย
“เรื่องที่ว่าบางที...เราอาจจะคิดผิดที่แต่งตั้งให้นางเป็นสนมของเรา”
หยางเว่ยหลงยังจำคำพูดของนางในวันนั้นได้ นางบอกว่ายินดีรับโทษทัณฑ์นี้ชั่วชีวิต ความหมายของนางก็คือการที่เขาแต่งตั้งให้นางเป็นสนมโดยที่ไม่ได้รัก เป็นเสมือนการลงทัณฑ์นางเช่นนั้นใช่หรือไม่?
ขันทีเฒ่ามีสีหน้าไม่เข้าใจในตอนแรก ผ่านไปไม่นานจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าครั้งหนึ่งหลี่กุ้ยเฟยเคยวิ่งออกไปจากตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าเปื้อนคราบน้ำตา ไม่แน่ว่าบางทีองค์จักรพรรดิอาจจะกำลังรู้สึกผิดต่อพระนางก็ไปได้
อีกทั้งเวลาหลี่กุ้ยเฟยยังเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เรื่องราวในอดีตแต่หนหลังนั้นมิใคร่จะทรงจำได้ จะว่าไปแล้วก็น่าเวทนาไม่น้อย