ตอนที่ 4 ทำหน้าที่พระสนม
อาจูไม่กล้ามองพระพักตร์ท่านอ๋องพวกนางก้มหน้าและพากันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หลินเย่จะลุกแต่กลับถูกเขากดไหล่ให้นั่งลงพร้อมกับก้มตัวลงมา
“ทำไม เจ้าไม่อยากแต้มกลีบดอกไม้ห้ากลีบนี่เพื่อแสดงว่าแต่งงานแล้วงั้นหรือ”
หลินเย่เลือกที่จะไม่ตอบ เฟิ่งอ๋องเมื่อเห็นท่าทางอวดดีของคนตรงหน้ายิ่งทำให้เขานึกโมโหนางขึ้นมา เขาเดินไปจับตรงคางเพื่อเชยขึ้นมาพร้อมกับหยิบพู่กันเพื่อวาดกลีบดอกไม้ลงไปที่หน้าผากของนางทันที
“เจ้าจะมองข้าเช่นนี้อีกนานหรือไม่ แม้ว่าจะเกลียดข้าแค่ไหนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นว่าพวกเราก็คือคู่แต่งงานใหม่อยู่ดี ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไรกัน หึ เลือกที่จะเงียบงั้นหรือ ดี เช่นนั้นข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเงียบไปได้ถึงเมื่อใด เอาล่ะ...เสร็จแล้ว”
หลินเย่สะบัดหน้าหนีเขาออกมาด้วยความเกลียดชังเขาสุดชีวิต นางเกลียดจนอยากฆ่าเขาเสียตรงนี้เสียด้วยซ้ำ แม้ว่ารูปหน้าที่หล่อเลาของเขาจะต้องตาผู้คนที่พบเห็นอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ใช่กับนาง
ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่นางก็เกลียดเขาอยู่แล้ว ยิ่งมาพบเจอและสิ่งที่เขาทำกับนางยิ่งทำให้นางเกลียดเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“โอ้ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้เราจะดุเดือดกันไม่ใช่น้อยเลยนะพระสนม ข้าคิดว่าอาจูปกปิดร่องรอยแห่งรักของข้าไม่หมด หรือว่าเจ้า…จงใจจะเปิดยั่วข้ากันแน่”
“ต่ำช้า หยาบคาย”
เฟิ่งจื่อหลิงดึงตัวนางขึ้นมาพร้อมกับสบตานางกลับไป เขาพยายามแล้วที่จะข่มอารมณ์โกรธเอาไว้เพราะเห็นว่านางเป็นสตรี
แต่ว่าทุกครั้งที่พบหน้านางทุกครั้ง แต่ละคำที่ออกมาจากปากที่เขาจูบอยู่เมื่อคืนนี้กลับพูดแต่คำที่ยั่วยุอารมณ์โกรธของเขาเสียยิ่งนัก
“อย่ามาท้าทายความอดทนของข้าอีก ได้เวลาแล้ว ไปท้องพระโรงกับข้า”
“เหตุใดข้าต้องไป!!”
“เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง ไป!! ได้เวลาแสดงละครแล้ว ทำให้ดีให้เหมือนคู่แต่งงานใหม่ที่เขาทำกัน มิเช่นนั้น…สาวใช้ของเจ้า…”
“ข้ารู้แล้ว ปล่อยมือข้า ข้าเจ็บ”
“ได้ เช่นนั้นก็….”
มือหนาของเขาคว้าไปที่รอบเอวของนางเพื่อให้เดินมากับเขาแทนการจูงมือ หลินเย่แทบอยากจะดึงแขนนั้นมากัดเสียให้แหลกคาปากเสียยิ่งนัก
ท้องพระโรง
เขาส่งนางไปยังห้องข้างๆที่มีม่านสีขาวและม่านลูกปัดบดบังอยู่ คนด้านนอกไม่สามารถมองเข้ามาได้ แต่นางยังเห็นเหตุการณ์ด้านนอกได้อยู่เพียงแต่ไม่สามรถมองหน้าผู้ใดชัดเจนมากนัก
เมื่อหันไปมองด้านซ้ายมือก็จะพบเฟิ่งอ๋องที่นั่งอยู่ที่บัลลังก์อ๋องเพื่อประชุมเช้ากับเหล่าขุนนาง เมื่อเขานั่งลงทักทายขุนนางแล้วก็หันมามองนางพร้อมกับแสยะยิ้มส่งมาให้ แม้ว่านางจะแอบหวั่นไหวกับรอยยิ้มนั่นแต่นางก็ไม่ลืมว่านางเกลียดเขาเพียงใด
“เอาล่ะขุนนางทุกท่าน ข้อราชกิจของเราก็ตกลงกันได้แล้ว…..”
หลินเย่หันไปมองหน้าเขาระหว่างที่เขาพูดคุยและประชุมขุนนาง การพูดคุยและการตอบคำถามและการประชุมในวันนี้กลับมีแต่การวางแผนการปกครองแคว้นที่ไม่ได้เหมือนหรือใกล้เคียงกับข่าวลือที่ว่าฉีอ๋องแห่งฉีโจวนั้นเป็นผู้ที่ไม่สนใจราชกิจ มักมากในกามและเป็นคนละโมบ
เหตุใดท่านอ๋องในยามนี้เอาแต่พูดถึงเรื่องพัฒนาแคว้นเพื่อประชาชน หรือว่านี่คือละครฉากใหญ่ที่เขาตั้งใจแสดงให้นางดูกันแน่
“เอาล่ะ เช่นนั้นมีผู้ใดมีข้อเสนอเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หากไม่มีก็เลิกประชุม”
เหล่าขุนนางเองก็ดูเหมือนจะกล้าถกประเด็นร่วมกับเขาซึ่งหลินเย่เองถึงกลับแปลกใจแม้ว่านางจะเคยเข้าร่วมประชุมในราชสำนักไม่กี่ครั้งที่ชุนฮัวแต่การประชุมก็ไม่ได้ดุดันและเด็ดขาดอย่างเฟิ่งอ๋อง
“พระสนม กลับกันเถอะ”
หลินเย่ลุกขึ้นและเดินตามเขาออกไปเพื่อเดินกลับตำหนัก หากว่านางมิได้มีความแค้นกับเขาเรื่องพี่สาวของนางมาก่อน นางก็คงคิดว่าบุรุษหนุ่มที่เดินข้างนางตอนนี้เป็นคนที่น่านับถือคนหนึ่ง
ทั้งวิธีการพูดคุยและความเด็ดขาดในการตัดสินใจของเขาไม่ต่างกับแม่ทัพหยางบิดาของนางเพียงแต่เขาและนาง มิอาจอยู่ร่วมกันได้…..
“เจ้าเงียบไปตั้งแต่เข้าประชุม ตอนนี้ไม่มีอะไรจะคุยกับข้างั้นหรือ”
“ไม่….มี….ข้าอยากพบมี่อิน”
“หึ ที่เงียบมาตลอดนี่เพราะเรื่องนี้งั้นหรือ เช่นนั้นข้าขอคิดดูก่อนนะ”
“มี่อินคือสาวใช้ ที่นางทำไปล้วนเพราะเป็นคำสั่งของข้า ท่านคงมีมโนธรรมมากพอที่จะไม่ดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”
เฟิ่งอ๋องหยุดเดินและหันมามองหน้าผู้ที่เหมือนกำลังจะขอร้องเขาอยู่ หลินเย่เองก็ดูเหมือนจะหันไปมองหน้าเขาเล็กน้อยเพื่อฟังการตัดสินใจของเขาเช่นกัน
“หากอยากให้ข้าปล่อยนาง ก็ต้องดูพฤติกรรมของเจ้าก่อน หากเจ้าทำตัวดีๆไม่พยศอีก ข้าก็จะเอาไปคิดดู”
“หึ สุดท้ายก็ได้แค่ข่มขู่สินะ ท่านไม่คิดจะปล่อยพวกเราไปด้วยซ้ำเหตุใดจึงไม่ฆ่าพวกเราเสียเล่า”
"นั่นเพราะว่าพวกเจ้าไม่ควรตายง่ายเกินไป ความทรมานที่เจ้าได้รับมันยังน้อยเกินไปที่พี่สาวเลวของเจ้าทำเอาไว้"
“แต่ดีร้ายเช่นไรนางก็เป็นพระสนมของท่าน เป็นท่านที่ปกป้องนางแล้วทำให้ผู้อื่นรับเคราะห์แทน พวกท่านล้วนสมควรตายไปด้วยกันทั้งคู่”
เฟิ่งอ๋องมองหลินเย่ด้วยความรู้สึกแปลกใจ นี่นางกำลังพูดสิ่งใดกัน เหตุใดจึงบอกว่าพี่สาวของตัวเองก็สมควรตาย นางไปรู้อะไรมากันแน่
“เจ้ามิได้รักและห่วงใยพี่สาวของตนเองงั้นหรือ ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าเป็นพี่น้องร่วมบิดากันจะรักใคร่กันมากกว่านี้เสียอีก”
หลินเย่ไม่ตอบเขา ใบหน้านางตอนนี้นิ่งเฉยและพยายามข่มใจเพื่อไม่ให้ทำร้ายเขาเพราะนางต้องช่วยมี่อินออกมาให้ได้ก่อน มี่อินอยู่ในมือของเขาทำให้นางไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
“เรื่องนี้…ไม่เกี่ยวกับท่าน”
“ชุนฮัวคงมิได้คิดไม่ซื่อส่งองค์หญิงปลอมมาแต่งงานกับข้าหรอกกระมัง เพราะหากเป็นเช่นนั้น….ข้าก็จะไม่ปล่อยเอาไว้เช่นกัน”
“นี่ท่าน!! ….หึ สุดท้ายก็เป็นดังตามคำร่ำลือ ท่านก็แค่คนมักมากที่ต้องการสตรีรายล้อมไม่ขาด ที่พาข้าไปประชุมด้วยในวันนี้เพียงเพื่อแสดงละครให้ข้าดูสินะ”
เฟิ่งอ๋องหันมารวบตัวนางเอาไว้ ท่ามกลางสายตาของสาวใช้ที่เดินตามพวกเขามา แต่ว่าแต่ละคนต่างก็ก้มหน้าลงไม่กล้าเงยหน้ามองพวกเขา จื่อหลิงก้มหน้าลงมาแทบจะชิดหลินเย่เพื่อให้นางได้ยินเพียงคนเดียว
“ข้าจะมักมากหรือไม่ เจ้าอยู่ไปก็จะรู้เอง แต่หากเมื่อใดที่ข้าต้องการ พระสนมก็ต้องปรนนิบัติตามหน้าที่ มิให้บกพร่องเจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ฝันไปเถอะ จะไม่มีวันเกิดเรื่องเช่นเมื่อคืนนี้อีกเป็นอันขาด”
“เช่นนั้นพระสนมก็รอรับแขนข้างซ้ายของสาวใช้เจ้าในตอนบ่ายนี้ได้เลย”
“คนต่ำช้า รังแกคนไม่มีทางสู้ ท่านมันทรราช คนสารเลว”
“พระสนม!!”
“ท่านอ๋อง มีรายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
หลงอี้ องครักษ์คนสนิทของเฟิ่งอ๋องรุดหน้าเข้ามาเพื่อรายงานข่าวสำคัญแม้ว่าตอนนี้ทั้งท่านอ๋องและพระสนมจะเอาแต่จ้องสบตากันราวกับว่าจะให้อีกฝ่ายตายลงไปตรงหน้าเสียให้ได้
“มีสิ่งใดเร่งด่วน”
“รายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งจื่อหลิงละสายตาจากหลินเย่ไป เขาทราบในทันทีด้วยน้ำเสียงขององครักษ์ที่มาแจ้งข่าว เขาจึงยอมปล่อยพระสนมออกจากวงแขน
“พวกเจ้าพาพระสนมกลับตำหนักก่อน ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามนางออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกโดยเด็ดขาด”
“เพคะ”
“ทางที่ดีท่านควรขังข้าพร้อมกับมี่อิน มิเช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยท่านเอาไว้แน่”
“พาตัวนางไป”
สาวใช้รีบพาตัวหลินเย่ออกจากที่นั่นโดยเร็ว พวกนางทั้งขอร้องทั้งลากและดันให้หลินเย่ยอมเดินกลับตำหนัก นางไม่ทิ้งโอกาสส่งสายตาเกลียดชังให้เขาแม่แต่ครั้งเดียว
“หึ เกลียดข้าถึงเพียงนี้เชียว คิดว่าข้าสนหรืออย่างไร เจ้ามีอะไรหลงอี้”
“ท่านอ๋องคนของเรารายงานมาว่าผู้ที่ถูกส่งมาครั้งนี้มิใช่องค์หญิงจินลั่วเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!!”