Chapter 9 : จังหวะนรกส่ง
Chapter 9
‘จังหวะนรกส่ง’
สามวันต่อมา
ยอดเขาซูเซียว
"เจ้ารู้ในความผิดของเจ้าหรือไม่ฟางเซียน"
เสียงเข้มของหลันเฉินเซียวเอ่ยถามเหรินฟางเซียนที่กำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้า ท่ามกลางสายตาของศิษย์คนอื่นรวมถึงชิวฮุ่ยหมินด้วย นางขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อยมือกำชายกระโปรงแน่น รับรู้ได้ทันทีว่าอาจารย์คงโกรธจริงเสียแล้ว ปกติจะเรียกนางว่าอาเซียนไม่ใช่นามเต็มยศแบบนี้
"ข้าถามว่าเจ้ารู้ในความผิดหรือไม่?" เสียงดุดันย้ำขึ้นอีกครั้ง
"ศะ... ศิษย์... ศิษย์รู้เจ้าค่ะ"
นางตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ความรู้สึกหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจเมื่อต้องรู้แล้วว่าคราวนี้คงจะโดนลงโทษเข้าแล้ว นางรู้ดีว่าตนเองทำผิดอะไรในฐานะผู้ฝึกตนที่คอยช่วยเหลือผู้คน ยามที่ชาวบ้านเดือดร้อนนางกลับยืนนิ่งไม่ทำอะไรเลย เพราะมีเหล่าศิษย์พี่และอาจารย์อยู่ทุกอย่างเลยผ่านไปได้ด้วยดีแต่ถ้านางต้องออกท่องไปในยุทธภพเพียงลำพังแล้วเจอเหตุการณ์แบบนี้โดยไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ การยืนแน่นิ่งของนางอาจจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนถึงแก่ชีวิตได้
"งั้นกล่าวมาว่าความผิดของเจ้าคืออันใด?"
"ศิษย์ละเลยต่อหน้าที่ของตน" เหรินฟางเซียนยกมือขึ้นประสานกัน ก้มหน้าลงมองพื้นอย่างสำนึกผิด
"เจ้าสาบานเป็นผู้ฝึกตน สาบานว่าจะคอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายบรรเทาทุกข์ให้ผู้คน แต่เมื่อยามนั้นมาถึงเจ้ากลับยืนนิ่งไม่ไหวติง ละเลยต่อหน้าที่ของตนไม่สนใจคำสัตย์สาบาน ความผิดนี้เจ้ายอมรับหรือไม่?"
"ศิษย์น้อมรับความผิด ท่านอาจารย์โปรดลงโทษเจ้าค่ะ"
"เจ้าจงไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่เรือนรำลึก งดอาหารเจ็ดวันเจ็ดคืน"
หลันเฉินเซียวเอ่ยบทลงโทษออกไปตามกฎของสำนักที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่โทษนั้นกลับทำให้เหล่าศิษย์พี่ต่างตกใจรีบพากันนั่งคุกเข่ายกฝ่ามือขึ้นประสานกันเพื่อขอความเมตตาแด่ศิษย์น้องหญิง
"อาจารย์โปรดเมตตาด้วย อาเซียนเป็นเพียงสตรีร่างน้อย จะให้นางนั่งคุกเข่า อดอาหารถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนได้อย่างไรกันขอรับ" ศิษย์พี่รองรีบกล่าวขึ้นในทันที
"อาจารย์โปรดเมตตา โปรดเปลี่ยนบทลงโทษเถิดขอรับ" ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวเสริมอีกคน
"ใช่ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องสี่เพิ่งจะทำผิดเป็นครั้งแรก เจ็ดวันเจ็ดคืนไม่มากไปหน่อยหรือขอรับ?" ศิษย์พี่สามกล่าว
ศิษย์พี่ทั้งสามคนต่างขอร้องอ้อนวอนผู้เป็นอาจารย์สุดความสามารถแต่เมื่อเห็นหลันเฉินเซียวยังคงนิ่งเงียบจึงรีบโขกหน้าผากลงกับพื้นเพื่อร้องขอความเมตตาจากอาจารย์
"หยุดเถิดศิษย์พี่ ข้าไม่เป็นไร ข้ากระทำความผิดจริง ข้าน้อมรับผิดแต่โดยดี"
เหรินฟางเซียนลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นศิษย์พี่กำลังเอาหัวโขกพื้นเพื่อขอลดโทษให้นาง ในเมื่อนางละเลยต่อหน้าที่จริง ๆ เกือบทำคนอื่นเดือดร้อนก็ยอมรับผิดทุกอย่าง
หอรำลึก
เหรินฟางเซียนนั่งคุกเข่าต่อหน้าป้ายวิญญาณอาจารย์และลูกศิษย์ผู้ล่วงลับของสำนักซูเซียวซานแห่งนี้อย่างสำนึกผิดจากใจ ทั้งที่มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลยสาวแก่นแบบนางควรจะนอนหลับอย่างสบายใจหรือไม่ก็แอบหนีออกไปเสียมากกว่ามาทำอะไรแบบนี้ แต่ความคิดและจิตใจมันกลับสวนทาง หัวใจมันบังคับให้นางนั่งคุกเข่าอยู่แบบนี้ตามคำสั่งของอาจารย์
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังอินกับนิยาย อินกับคาแรคเตอร์ของเหรินฟางเซียนเข้าไปทุกวัน เหมือนนางเริ่มจะเป็นเหรินฟางเซียนจริง ๆ ประหนึ่งเกิดและเติบโตในนี้ ไม่ใช่ฮวาหลินที่ประสบอุบัติเหตุจนตายแล้วโดนดูดวิญญาณเข้ามาในหนังสือเล่มนี้ เหมือนบทบาทของเหรินฟางเซียนกำลังกลืนกินนาง กำลังทำให้นางลืมเลือนชาติภพที่จากมาอย่างช้า ๆ
และสักวันนางอาจจะจำไม่ได้อีกเลยว่าฮวาหลินคือใคร
จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นวัน หนึ่งวันกว่าจะผ่านพ้นช่างยาวนานแสนเข็ญ
หัวเข่าที่กดลงกับพื้นไม้หยาบเริ่มเจ็บ ขาเริ่มปวดร้าวลากยาวจนมาถึงกลางหลังจนแทบจะนั่งไม่ไหว แต่เหรินฟางเซียนก็ยังคงอดทนยังคงนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่เดิมหน้าป้ายวิญญาณบรรพชนคนกล้าแห่งสำนักซูเซียวซานให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นเป็นสักขีพยาน แม้ว่าท้องจะร้องหิวจนไส้จะขาดก็ตาม นางพยายามใช้พลังปราณของตนกดความรู้สึกทรมานเหล่านั้นเอาไว้แต่มันก็คงทำได้อีกไม่นานเพราะถ้าไม่ได้กินข้าวไม่ได้พักผ่อนร่างกายก็จะอ่อนล้าพลังปราณก็จะอ่อนแอตามไปด้วย
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นที่ด้านหลังตอนแรกเหรินฟางเซียนคิดว่ามันเป็นเพียงเสียงหลอนที่จิตใจของนางสร้างขึ้นมาเท่านั้น แต่เสียงนั้นกลับดังขึ้นอีกพร้อมร่างสูงของใครบางคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ เมื่อหันไปมองก็ต้องประหลาดใจที่คนเข้ามาหานางคือชิวฮุ่ยหมิน
“ประมุขชิว ทำไมท่านอยู่ที่นี่ ท่านก็โดนทำโทษเช่นกันหรือ?”
“เด็กโง่ข้าจะโดนทำโทษกับเจ้าได้อย่างไร ข้าเป็นประมุขหอสารทฤดูนะ” ชิวฮุ่ยหมินวางกล่องข้าวไม้ลงตรงหน้าของเหรินฟางเซียน
“ข้าวหรือ ทำไมท่านเอาข้าวมาให้ข้า อาจารย์ให้ข้ากินข้าวแล้วหรือ?”
“เปล่า แต่ข้าจะให้เจ้ากิน”
“งั้นข้าคงกินไม่ได้มันจะผิดต่ออาจารย์เจ้าค่ะ”
“พลังปราณของเจ้ากำลังอ่อนแอ ถ้าเจ้าไม่กินข้าวร่างกายก็จะรับไม่ไหว”
“ข้าทนไหวเจ้าค่ะ”
“ไม่ไหวหรอก กินซะเดี๋ยวข้าป้อน”
มือใหญ่คีบข้าวหน้าปลาย่างป้อนให้นางแต่เหรินฟางเซียนก็ยังคงดื้อรั้นไม่ยอมกิน มันทำให้เขาไม่มีทางเลือกต้องใช้กำลังบีบบังคับกันสักหน่อย มือใหญ่บีบลงบนแก้มนุ่มออกแรงเล็กน้อยแต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ริมฝีปากเล็กอ้าออก เขารีบใช้จังหวะนั้นยัดข้าวใส่ปากในทันทีก่อนที่มือจะเลื่อนมาปิดปากแทนแม้นางจะส่งเสียงร้องประท้วงในลำคอแต่เขาก็หาได้สนใจไม่
“เคี้ยว”
คำสั้น ๆ แต่เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันเชิงบังคับมันทำให้เหรินฟางเซียนไม่มีทางเลือกเพราะข้าวมันอยู่เต็มปากของนางเลย สุดท้ายเลยต้องยอมเคี้ยวและกลืนลงคอตามความต้องการของบุรุษตรงหน้าที่อายุก็ไม่น้อยแล้วยังเอาแต่ใจเป็นเด็ก
“ยอมกินดี ๆ แต่แรกข้าก็ไม่ต้องบังคับแล้ว”
“ก็ข้า”
“ไม่ต้องพูดแล้ว กิน!” ข้าวคำต่อมาถูกป้อนให้นางอีกครั้ง
“ข้ากินเองได้ ท่านไม่ต้องป้อนข้าหรอกเจ้าค่ะ”
“ขืนให้เจ้ากินเองคงมัวแต่ชักช้า ไม่ยอมกินเสียที” ข้าวอีกคำถูกคีบป้อนนางจนต้องอ้าปากรับ
เหรินฟางเซียนเคี้ยวข้าวที่ชิวฮุ่ยหมินป้อนให้จนแก้มตุ่ยในเมื่อเขาอยากป้อนก็ตามใจเลย นางเบื่อจะต่อต้านแล้วเพราะช่างเป็นบุรุษที่เอาแต่ใจตนยิ่งนัก สำหรับคนภายนอกเขาอาจจะเป็นเหมือนเทพสวรรค์ รูปงาม ร่ำรวย สูงส่ง แต่เข้าถึงยากเหมือนไม่มีอยู่จริง แต่ใครจะรู้ว่าลับหลังสายตาของผู้คนหลังม่านคุณธรรมที่เขาตั้งฉากบังเอาไว้จะเป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่ใจดี ไม่ถือตัว ชอบเข้าหาผู้อื่น เหมือนตอนนี้ที่กำลังนั่งป้อนข้าวนางอยู่ ถ้าไปเล่าให้ผู้ใดฟังต้องไม่มีผู้ใดเชื่อแถมจะหาว่านางบ้าอีก คนอย่างประมุขหอสารทฤดูหรือจะมานั่งเอาอกเอาใจป้อนข้าวเด็กสาว
เทคโนโลยีกล้องน่าจะมีในยุคนี้จริง ๆ จะจับภาพเอาไว้แฉ!
“ข้าไม่น่ากินข้าวเลย” เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็ย่อมหย่อนยานเป็นธรรมดา ริมฝีปากบางหวานอ้าหาวจนกว้างยามเทพนิทราเริ่มเข้าครอบคลุมจิตใจจนร่างกายเริ่มโอนเอน
“ถ้าง่วงก็นอน”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ข้าจะต้องนั่งคุกเข่าแบบนี้ ไม่เป็นไรข้านั่งหลับได้ ข้าเก่ง…”
ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดจบด้วยซ้ำเสียงหวานก็กลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อร่างกายเข้าสู่ห้วงฝันกลางอากาศจนโอนเอนไปมาเหมือนจะล้มตึงลงไปตามแรงโน้มถ่วง แต่ชิวฮุ่ยหมินก็คว้าตัวนางเอาไว้แล้วดึงดวงหน้างามเข้ามาซบที่อกกว้าง ให้นางได้นั่งหลับในท่าที่นางต้องการ โดยมีเขาที่นั่งเป็นเพื่อนและเป็นเสาให้นางได้พักพิงร่างกายที่เหนื่อยล้า
นัยน์ตาคมจับจ้องดวงหน้าสวยที่หลับพริ้มภายในอ้อมแขนพลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นเล็กน้อย ยามเหรินฟางเซียนหลับใหลมันช่างเป็นภาพที่น่ามองนัก
ชมชอบภาพตอนนี้ที่สุดและอยากมองเช่นนี้ในทุกคืนวัน
หลันเฉินเซียวที่แวะมาดูเหรินฟางเซียนเพราะเป็นห่วงแต่เมื่อมาถึงก็เห็นว่าชิวฮุ่ยหมินอยู่กับเหรินฟางเซียนเสียแล้วเลยไม่อยากจะเข้าไปขัดเหมือนว่าตอนนี้ศิษย์ที่เปรียบดั่งลูกสาวคนนี้จะมีคนคอยห่วงใยเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว แต่อาจจะแตกต่างจากผู้อื่นตรงที่ความห่วงใยนั้นไม่เหมือนพวกเขาออกจะพิเศษมากกว่า
อรุณวันใหม่
"อาเซียน อาจารย์…"
ลู่จิงฉิงที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้มาตามตัวเหรินฟางเซียนออกจากหอรำลึกแต่เมื่อก้าวเข้ามาก็ต้องตกใจจนเสียงที่กำลังร้องเรียกนางอย่างอารมณ์ดีกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อภาพตรงหน้าคือภาพของศิษย์ผู้น้องที่กำลังนอนกกกอดอยู่กับประมุขชิวราวกับคู่รักไม่มีผิด
"มัวแต่ทำอันใดอยู่ฉิงเอ๋อร์"
เพล้ง!
ศิษย์พี่ใหญ่ที่เดินผ่านมาพอดีเห็นน้องชายของตนยืนนิ่งไม่ยอมขยับจึงแวะเข้ามาดู แต่เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าภาพเดียวกับลู่จิงฉิงถาดน้ำชาในมือก็ร่วงสู่พื้นส่งเสียงกระทบออกมาจนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งหอรำลึก คนที่หลับใหลกันอยู่ต่างพากันสะดุ้งตื่นเมื่อสายตาของเหรินฟางเซียนมองมาเห็นศิษย์พี่ก็ตกใจรีบดันตัวออกจากอ้อมแขนประมุขชิวด้วยท่าทางเขินอายจนหูแดง
"เกิดอันใดขึ้น?" ซานเว่ยตูวิ่งเข้ามาในเรือนอีกคนเมื่อได้ยินเสียงดัง แต่ก็นิ่งชะงักไปอีกคนเมื่อเจอประมุขชิวอยู่ในห้องนี้ด้วย สภาพเหมือนคนเพิ่งตื่น
"นี่เจ้านอนกับประมุขชิวหรือศิษย์น้องสี่?"
"เจ้าถามอันใดของเจ้าเนี่ย!" ศิษย์พี่รองรีบหันไปเอ็ด
"แล้วทำไมข้าจะถามไม่ได้ ก็ … อือ!" ศิษย์พี่สามที่กำลังพูดเสียงก็กลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีเมื่อโดนฝ่ามือของศิษย์พี่รองปิดปากเอาไว้
"พวกเจ้ามารวมตัวอะไรกันอยู่ที่นี่?" เยี่ยนลี่จูก้าวเข้ามาสมทบอีกคนและเช่นเดิมนางเองก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกันเมื่อเห็นเหรินฟางเซียนนั่งอยู่ข้าง ๆ ชิวฮุ่ยหมินไหนจะอาภรณ์ที่เหมือนจะไม่เรียบร้อยอีก
"ทำไมพวกเจ้า?"
"ไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างที่พวกท่านคิดนะ!"
เหรินฟางเซียนรีบยกมือขึ้นห้ามในทันที ตอนนี้อยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตายนัก ทำไมจังหวะนรกต้องมาพร้อมกันแบบนี้ด้วย ไม่มีอะไรทำหรือไงถึงได้มารวมตัวกันแบบนี้และนางก็รู้นะว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่
ยุคสมัยนี้ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ยิ่งอยู่ด้วยกันสองต่อสองยิ่งแล้วใหญ่ ป่านนี้คิดไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว
จังหวะนรกส่งจริง ๆ
"ว่าแต่ท่านเถอะทำไมมานอนกับข้าได้เล่า?" นางหันไปถามชิวฮุ่ยหมินที่ยังคงนั่งเงียบ
"เมื่อคืนข้าจะกลับแล้วแต่เจ้ากอดข้าไม่ปล่อยเอง"
"ห๊ะ!" คำพูดของชิวฮุ่ยหมินที่กล่าวออกมาด้วยท่าทางนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่กลับทำให้ทุกคนตกใจรวมถึงเหรินฟางเซียนด้วย
"ขะ... ข้าน่ะหรือกอดท่าน?" นางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
"ย่อมใช่" ชิวฮุ่ยหมินตอบเพียงสั้น ๆ แต่เกือบทำเหรินฟางเซียนเป็นลม
"ฉิง ฉิงเอ๋อร์ ระ... รับข้าที"
"ศิษย์พี่!" แต่เหมือนคนที่เป็นลมไปก่อนแล้วจะเป็นลู่หลันฉิงเสียแทน เกิดอาการสภาวะทิ้งตัวจนลู่จิงฉิงต้องรีบเข้ามารับตัวพี่ชายเอาไว้
"ข้าขอเรียนเชิญท่านประมุขชิวไปคุยกันที่เรือนไผ่หน่อย"
เยี่ยนลี่จูกล่าวเสียงเข้มก่อนจะสะบัดตัวเดินออกไปด้วยท่าทางเหมือนไม่พอใจ นั่นยิ่งทำให้เหรินฟางเซียนเครียดมากกว่าเดิม มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ นางเข้ามาในนิยายนี้เพื่อช่วยให้พระรองแบบชิวฮุ่ยหมินสมหวังไม่ใช่หรือ?
แต่ทำไมเรื่องมันกลับตาลปัตรไปหมด ตอนนี้กลายเป็นนางที่นอนข้างชิวฮุ่ยหมินแทนเยี่ยนลี่จูไปเสียแล้ว มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิหรือเพราะนางตกลงไปในหุบเหวหมอกมันเลยทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนแปลงไปหมด ตาย ตาย ตาย! แบบนี้นางจะได้หลุดออกไปจากหนังสือบ้า ๆ เล่มนี้ไหมเนี่ย…
