บท
ตั้งค่า

Chapter 8 : ปีศาจตะขาบยักษ์

Chapter 8

‘ปีศาจตะขาบ’

ยอดเขาซูเซียว

“ปีศาจตะขาบที่เจ้าไล่ตามมา มันมาถึงที่นี่เลยหรือ?” หลันเฉินเซียนหันไปถามสหายสนิทที่รีบเร่งมาหาเขาถึงที่นี่เพราะเรื่องนี้

“ใช่ ตัวมันใหญ่แต่กลับซ่อนกายเก่งนัก”

ชิวฮุ่ยหมินโบกสะบัดพัดไม้ในมือไปมาเบา ๆ ที่เขารีบเร่งมาถึงแคว้นเยี่ยนเช่นนี้ก็เพราะมาตามหาปีศาจตะขาบที่หนีการไล่ล่ามาจากหอสารทฤดู มันมุดดินเก่งนักแถมยังมีอาคมซ่อนเร้นกายอีกการจะจับมันยากนัก

“ถึงว่าช่วงนี้มีชาวบ้านร้องทุกข์มาว่าสัตว์เลี้ยงหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือทิ้งไว้แต่รอยขูดยาวบนพื้นดินพื้นหญ้า”

“มันมีอาคมซ่อนเร้นกาย เป็นปีศาจระดับสูง”

“ที่นี่มีเขามากมาย ป่ารกทึบหลายแห่ง คงเป็นสถานที่หลบซ่อนชั้นดี”

“มันอาจจะซ่อนกายในป่าหมอก”

“คงเป็นเช่นนั้น งั้นไว้ไปดูกัน”

“อืม”

ชิวฮุ่ยหมินพยักหน้ารับเล็กน้อยแต่สายตากลับทอดมองออกไปยังด้านนอก ตรงไปยังลานกว้างที่มีเหล่าศิษย์ซูเซียวซานกำลังฝึกซ้อมเพลงกระบี่กันอยู่ แต่คนที่เขาสนใจมากที่สุดคงจะเป็นเหรินฟางเซียนที่กำลังฝึกควบคุมกระบี่คู่บารมีผสานจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่ามกลางเหล่าศิษย์พี่ที่เป็นบุรุษไม่แปลกเลยที่นางจะโดดเด่นเรียกสายตาผู้คนให้จับจ้อง ไหนจะความงามที่เลื่องลืออีก นี่ถ้านางได้ออกไปท่องยุทธภพมีหวังบุรุษทั่วทุกแคว้นจะต้องเพ้อหาอยากจะสู่ขอนางเป็นแน่

“เจียวซิ่นของเจ้าช่างเป็นเด็กดีนัก”

ลู่หลันฉิงหันมาชมกระบี่คู่บารมีของเหรินฟางเซียนที่มันช่างผสานเป็นหนึ่งเดียวกับนางไม่เหมือนกระบี่ไห่หานของเขาที่ตอนแรกพยศนักกว่าจะปราบลงได้ก็ด่าทอจิตวิญญาณกระบี่ตนเองอยู่เสียหลายวัน ยอมขึ้นมาจากสระบัวเซียนเพื่อเป็นอาวุธของเขาแต่กลับดื้อรั้นอยู่นานกว่าจะยอมให้เขาดึงออกจากฝัก

“บางทีไห่หานของท่านอาจจะเพิ่งรู้ตัวว่าขึ้นมาหาผิดคนเลยดื้อรั้นไม่ยอมรับใช้ท่าน”

ลู่จิงฉิงหันมาพูดก่อนจะยกหอกฉือต๋าของตนเองขึ้นมาโอ้อวด ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องมีเขาเพียงคนเดียวที่ได้อาวุธเซียนเป็นหอกนอกนั้นก็กระบี่หมดทุกคนแม้แต่อาจารย์ ตอนแรกก็รู้สึกแปลกเพราะต่างจากผู้อื่นแต่อาจารย์ก็บอกว่าอาวุธเลือกนายไม่ใช่นายเลือกอาวุธและนี่คือสิ่งที่เทพเซียนประทานมาให้

“ดูฉือต๋าของข้าสิสง่างามและเชื่อฟัง”

“รั่วหลิวแสนงามของข้า เจ้าจะยอมออกจากฝักได้หรือยัง ข้าชมเจ้ามาหลายคำแล้ว” ซานเว่ยตูที่ไม่ได้ฟังศิษย์พี่ศิษย์น้องคุยกันสักนิดเพราะมัวแต่กล่าวชื่นชมกระบี่ของตนอยู่ สมแล้วที่เป็นจิตวิญญาณสาวงามที่ค่อนข้างจะหลงตนเอง

“รั่วหลิวแสนงามเจ้ายอมให้ศิษย์พี่สามข้าดึงออกจากฝักเถิด เจ้างามที่สุด งามกว่ากระบี่เล่มไหนเลย” เหรินฟางเซียนหันมากล่าวกับกระบี่รั่วหลิวในอ้อมแขนของศิษย์พี่สาม

“ใช่ ยอมข้าเถิดรั่วหลิวงดงาม”

ซานเว่ยตูพยายามดึงกระบี่รั่วหลิวออกจากฝักอีกครั้งครั้งนี้จิตวิญญาณยอมศิโรราบแด่นายของมันทำเอาศิษย์พี่สามรีบลุกขึ้นกระโดดด้วยความดีอกดีใจจนทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมาแต่เขาก็เคยชินเสียแล้วเพราะรั่วหลิวของเขาช่างดื้อรั้นเสียจริง ๆ ไหนจะน้อยเนื้อต่ำใจเก่งอีกถ้าให้เทียบกับอาวุธเซียนของคนอื่น อาวุธเซียนของเขาต่อต้านเก่งที่สุด ต่อต้านตั้งแต่วันแรกที่ได้มายันวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม โชคดีที่เวลามีภัยร้ายรั่วหลิวจะรู้หน้าที่ของตนดีและไม่เคยดื้อรั้นเลย ไม่อย่างงั้นป่านนี้คงตายเพราะชักกระบี่ออกจากฝักไม่ได้นานแล้ว

“กะ... กลิ่น กลิ่นอันใดกัน?” เหรินฟางเซียนที่ได้กลิ่นเหมือนควันไฟก็หันมองซ้ายมองขวาก่อนที่สายตาจะเห็นกลุ่มควันดำที่พวยพุ่งออกมาจากหมู่บ้านข้างล่างเขา “ศิษย์พี่! ไฟไหม้! ไฟไหม้หมู่บ้านข้างล่าง!”

“ศิษย์น้องสามเจ้ารีบไปแจ้งอาจารย์เดี๋ยวนี้” ศิษย์พี่ใหญ่รีบหันไปสั่งการ ศิษย์น้องสามเลยรีบกระโดดออกไปในทันที

ทุกคนต่างพากันขี่กระบี่ลงมายังเมืองจี้ด้านล่างที่มีกลุ่มควันไฟลอยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ผู้คนต่างพากันแตกตื่นวิ่งหนีตาย เสียงร้องโหยหวนดังก้องกังวานก่อนจะปรากฏเงาร่างของตะขาบยักษ์ที่เคลื่อนกายเลื้อยไปมาน่าขยะแขยงนักแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้บำเพ็ญตนหวาดหวั่นยกเว้นคนเดียวก็คือเหรินฟางเซียนที่นางยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอตะขาบตัวใหญ่กว่าบ้านขนาดนี้

"ตั้งค่ายกลปกป้องชาวบ้านเอาไว้!" หลันเฉินเซียวหันไปสั่งลูกศิษย์

ลู่หลันฉิง ลู่จิงฉิง และซานเว่ยตูรีบวิ่งไปข้างหลังก่อนจะวาดวงเวทย์ขึ้นมาแต่มันก็ไม่ครบเพราะต้องใช้ถึงสี่อันรอบทิศ ขาดก็แต่เหรินฟางเซียนที่ยังคงยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่ยอมมา "เซียนเอ๋อร์เจ้ามัวแต่ทำอันใดมานี่สิ!"

"ขะ... ข้า ข้า" เหรินฟางเซียนหันกลับไปมองตามเสียงเรียกของศิษย์พี่ใหญ่ แต่นางก็ทั้งหวาดกลัว ทั้งตกใจเกินกว่าจะก้าวขาเดินออกไปได้

"อาเซียนค่ายกลต้องใช้สี่คน" หลันเฉินเซียวหันมาพูดกับศิษย์หญิงที่เอาแต่ยืนนิ่ง

"ข้าก้าวขาไม่ออก"

"อาเซียน!"

"เซียนเอ๋อร์!"

เสียงเรียกของบรรดาศิษย์พี่ดังขึ้นในตอนนี้เหรินฟางเซียนเหมือนคนไร้จิตวิญญาณจนแทบจะล้มทั้งยืนอยู่แล้วเพราะเดิมทีตอนที่ยังเป็นฮวาหลินนางก็เกลียดและกลัวตะขาบมาก ขนาดตะขาบตัวเท่านิ้วก้อยนางยังกรี๊ดลั่นบ้าน วิ่งหนีไปยันหน้าปากซอยนู้น แล้วนี่มันตัวใหญ่กว่าบ้านอีก ไม่ช็อกตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว

เมื่อเห็นว่าเหรินฟางเซียนไม่ขยับ ปีศาจตะขาบก็กำลังใกล้เข้ามาชิวฮุ่ยหมินเลยรับหน้าที่แทนนางด้วยการวาดวงเวทย์ขึ้นกลางอากาศแล้วดันไปหาชาวบ้าน เมื่อวงเวทย์ทั้งสี่ผสานตัวก็ปรากฏค่ายกลขึ้น ม่านพลังครอบเหล่าชาวบ้านเอาไว้ด้านในก่อนที่เซียนฝึกหัดทั้งสามแห่งสำนักซูเซียวซานจะพุ่งทะยานไปในอากาศมุ่งตรงไปหาปีศาจตะขาบยักษ์

ไห่หาน ฉือต๋า และรั่วหลิว อาวุธเซียนประจำกายถูกนำออกมาวาดลวดลายโชว์ลีลาที่พร่ำเรียนมาให้ประจักษ์ต่อสายตาของผู้คน ศิษย์พี่ทั้งสามต่างเข้าต่อสู้กับปีศาจอย่างอาจหาญเว้นก็เสียแต่เหรินฟางเซียนที่ยังคงยืนมองด้วยความหวาดหวั่นไม่กล้าเข้าใกล้มัน

จะให้คนกลัวตะขาบเข้าใกล้ตะขาบได้ยังไง

เหล่าศิษย์พี่ต่างต่อสู้อย่างสุดกำลังแต่ตะขาบตัวนี้ก็ฤทธิ์เยอะ ล้มไม่ได้ง่าย ๆ มันถอยไปยังป่าหมอกที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายความชั่วร้ายในนั้นมีปีศาจมากมายเร้นกายหลบซ่อน ทุกคนเหินกระบี่ตามมันมาติด ๆ รวมถึงเหรินฟางเซียนด้วยเพราะนางอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกจนมาหยุดที่หน้าผาสูงชันที่ด้านล่างเป็นป่าหมอก

“อย่าให้มันกลับลงไปในป่าหมอกได้ ไม่งั้นพลังมันจะยิ่งสูง”

ชิวฮุ่ยหมินและหลันเฉินเซียวเหินขึ้นไปในอากาศแล้วใช้กระบี่เซียนของตนฟาดฟันใส่ปีศาจตะขาบ วิชาเวทย์ถูกดึงออกมาใช้เป็นกำลังเสริมโดยเฉพาะชิวฮุ่ยหมินที่จะเก่งกาจวิชาแบบนี้เป็นพิเศษโดยมีเหล่าศิษย์ยืนมองดูอาจารย์และผู้อาวุโสต่อสู้ให้เป็นบุญตา แต่ปีศาจตัวนี้ฤทธิ์เยอะนัก มันเองก็สู้กลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน

การต่อสู้ดำเนินมาสักพักใหญ่ ต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้นราบเป็นหน้ากลอง แสงจากพลังเซียนที่ปล่อยออกมาสว่างวาบจากการต่อสู้ที่ดุเดือด ชิวฮุ่ยหมินและหลันเฉินเซียวต่างร่วมมือกันย้อนภาพวันวานสมัยยังหนุ่มที่เคยออกท่องยุทธภพไปด้วยกันเพื่อไล่ปราบภูตผีปีศาจ แต่เมื่อโตขึ้นมีภาระหน้าที่ของเจ้าสำนักต้องดูแลเลยไม่ได้ทำเช่นนั้นอีกแล้ว

สุดท้ายแล้วปีศาจตะขาบก็ถูกปราบลง มันสิ้นท่าแทบหมดลมหายใจแต่ก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ถึงแม้จะใกล้ตาย มันกลับใช้ส่วนหางของมันปัดป่ายไปทางที่ศิษย์ซูเซียวซานยืนอยู่ เหรินฟางเซียนที่กลัวตะขาบจนหายใจหายคอแทบไม่ออกได้แต่ยืนตัวสั่นเทาเลยถูกหางฟาดเข้าเต็ม ๆ จนร่างกระเด็นลอยออกไปยังหุบเหวลึก

"อาเซียน!"

"เซียนเอ๋อร์!"

เป็นชิวฮุ่ยหมินที่ไวกว่าทุกคน เขาแทบไม่ต้องคิดอะไรเลยด้วยซ้ำพอเห็นเหรินฟางเซียนกำลังจะตกลงสู่ก้นหุบเหวหมอกก็รีบกระโดดตามนางลงมาในทันทีพร้อมเสียงร้องตะโกนไล่หลัง เขาพยายามคว้าตัวหญิงสาวที่หมดสติไปแล้วเอาไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ พวกเขาตกลงสู่ก้นหุบเหวเร็วมากเพราะมีพลังชั่วร้ายฉุดดึง แต่ก่อนจะถึงพื้นก็คว้าตัวนางได้สำเร็จ ดึงเข้ามากอดในอ้อมแขนแน่น แต่กว่าจะจับได้เวลาก็หมดเสียแล้ว

ประมุขหอสารทฤดูโอบกอดศิษย์น้องเล็กแห่งซูเซียวซานเอาไว้แน่นก่อนจะหมุนให้ตัวเองอยู่ข้างล่าง เหรินฟางเซียนอยู่ข้างบนก่อนที่ร่างกายจะกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนพลังเซียนระเบิดออกมาต้นไม้ใบหญ้ารอบ ๆ หักโค่น ชิวฮุ่ยหมินนอนแผ่บนพื้นดินชื้นแฉะบนอกกว้างมีเหรินฟางเซียนที่ยังคงหมดสติอยู่ในอ้อมแขน

โชคดีแล้วที่ไม่ได้รับอันตราย

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เหรินฟางเซียนลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากะพริบถี่เพื่อพยายามปรับภาพตรงหน้าให้ชัดก่อนที่จมูกจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นควันไฟและความอบอุ่นที่กระทบผิวกายจึงรีบลืมตามองก็พบว่าข้างตัวมีกองไฟถูกจุดเอาไว้ มองไปด้านหลังกองไฟก็เห็นชิวฮุ่ยหมินกำลังนั่งสมาธิอยู่ รอบตัวของเขามีพลังเซียนเปล่งประกายออกมา

ช่างดูสง่างามเหมือนไม่มีอยู่จริง

"ฟื้นแล้วหรือ?" เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมดวงตาของชิวฮุ่ยหมินที่ลืมขึ้นสบตากับนาง

"จะ... เจ้าค่ะ เกิดอันใดขึ้นหรือ ทำไมเราอยู่ที่นี่กัน?" เหรินฟางเซียนมองไปรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยป่ารกทึบแต่พอเงยมองบนหัวกลับมีแต่หมอกปกคลุมจนไม่เห็นข้างบน ภายใต้นี้ก็อากาศเย็นจนหนาว

"เจ้าโดนปีศาจตะขาบทำร้ายจนตกลงมา"

เมื่อได้ยินคำว่าตะขาบขนแขนนางก็ลุกซู่ซ่าเนื้อตัวสั่นเทาหน้าซีดขึ้นมาทันที นางเริ่มมองไปตามพื้นชื้นแฉะด้วยความหวาดระแวงเพราะสถานที่แบบเนี่ยแหละตะขาบมันชอบนัก ร่างเล็กรีบฝืนสังขารลุกขึ้นยืนแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนโขดหินจนชิวฮุ่ยหมินพอจะมองออกแล้วว่าเหตุใดนางถึงยืนตัวแข็งไม่ยอมเข้าไปสู้กับปีศาจตะขาบ

"เจ้ากลัวตะขาบ"

เหรินฟางเซียนรีบพยักหน้ายอมรับในทันทีแบบไม่เหนียมอายใด ๆ นัยน์ตาสีสวยยังคงกวาดมองที่พื้นด้านล่าง ยิ่งทำให้ชิวฮุ่ยหมินเอ็นดูนาง มองไปมองมานางก็แค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นเองแม้จะถูกฝึกฝนให้แกร่งเยี่ยงบุรุษ แต่ทุกคนล้วนมีสิ่งที่หวาดกลัวในใจ เขาเองก็ยังมี ความกลัวไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย

"ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าร่ายค่ายกลคุ้มกันไว้รอบ ๆ แล้ว ไม่มีสัตว์หรือปีศาจตัวไหนเข้ามาได้หรอก"

เมื่อได้ยินแบบนั้นนางก็โล่งใจขึ้นมาก่อนจะเงยสบตากับเขา "ว่าแต่ทำไมท่านประมุขถึงอยู่ที่นี่เจ้าคะ?"

"เด็กโง่"

"มะ... มาด่าข้าทำไมเจ้าคะ?" นางยกมือขึ้นเกาหัวอย่างไม่เข้าใจถามดี ๆ แต่ได้คำด่ามาแทนคำตอบ

"เจ้ากลัวปีศาจตะขาบจนสมองไม่สั่งการอะไรแล้วหรือ?"

"ที่ข้าอยู่ที่นี่ก็เพราะข้าตามลงมาช่วยเจ้า โง่สิ้นดีแค่นี้เจ้าก็ยังคิดไม่ได้หรือ?"

เมื่อได้ฟังแบบนั้นเหรินฟางเซียนก็ตาโตในทันที นัยน์ตาสีสวยจับจ้องไปยังใบหน้างดงามภายใต้แสงไฟ ดวงตาสบผสานกันอย่างเงียบงัน แต่ภายในหัวใจกลับเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอกขนาดที่ว่าได้ยินเสียงหัวใจตนเอง

"ข้าขอบคุณน้ำใจท่านประมุขชิวที่ช่วยข้าไว้ ข้าติดหนี้ชีวิตท่านแล้ว ภายภาคหน้าหากท่านมีอันใดที่ข้าสามารถช่วยได้ ข้ายินดีจะช่วยท่านแบบไม่มีข้อแม้ใด ๆ" เหรินฟางเซียนรีบลุกขึ้นยืนคารวะชิวฮุ่ยหมินเมื่อได้สติกลับมา แต่ยังคงไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย

"นั่งลงเถิด”

ชิวฮุ่ยหมินกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังเหรินฟางเซียนที่นั่งลงแล้วแต่กลับนั่งหันหลังให้เสียอย่างงั้น ลมหายใจหนักถูกพ่นออกมา เห็นแล้วมันก็หงุดหงิดที่นางมักจะชอบทำตัวซื่อในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เหมือนจะรู้มากมายแต่ก็ไม่ใช่ เรื่องคนอื่นรู้หมดว่าชอบพอผู้ใด แต่เรื่องตัวเองกลับไม่รู้ มองไม่ออก ว่าผู้ใดที่ชอบพอตนจนยอมกระโดดลงมาช่วยในหุบเหวลึกแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel