บท
ตั้งค่า

Chapter 7 : แม่สื่อแม่ชัก

Chapter 7

'แม่สื่อแม่ชัก'

สุสานเซียน

เหรินฟางเซียนยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าสุสานเซียนด้านในมีเหล่าเซียนผู้ล่วงลับถูกกลบฝังใต้ธรณีมากมายทำให้รอบ ๆ เต็มไปด้วยพลังวิญญาณคุณธรรมที่แรงกล้าส่งผลให้ต้นไม้ดอกไม้แถวนี้งดงามวิจิตรดั่งเช่นสรวงสวรรค์ส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนฝัน

ที่นางต้องมาที่นี่ก็เพื่อมารับอาวุธประจำกายในเมื่อฝึกฝนตนจนสำเร็จก็ถึงเวลาต้องมีกระบี่ข้างกาย แต่ก็รู้แล้วแหละว่าจะได้กระบี่อะไรและชื่ออะไรก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นนักเนื่องจากอ่านนิยายมาแล้ว

"เจ้าจงตั้งใจ ตั้งจิตให้แน่วแน่เดินไปยังศาลากลางสระบัวแล้วตั้งจิตสมาธิให้มั่นเรียกหาอาวุธคู่บารมีของเจ้า" หลันเฉินเซียวกล่าวกับนาง

"ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์"

"ข้าจะรอเจ้าตรงนี้ไม่ไปไหน" ศิษย์พี่สามกล่าว

"ขอบคุณศิษย์พี่ งั้นข้าไปก่อน"

เหรินฟางเซียนก้มหัวลาอาจารย์และศิษย์พี่ทั้งหลายก่อนจะหันตัวเดินก้าวเท้าเข้ามาในสุสานเซียนที่งดงามถึงมันจะเป็นสถานที่ฝังศพแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวสักนิด มีต้นไม้ร่มรื่น ดอกไม้ชูช่อหลายสีสันและส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ไหนจะผีเสื้อที่บินว่อนหาน้ำหวานอีก มันเหมือนสรวงสวรรค์มากกว่าสุสานเสียอีก

นางจำได้ในนิยายฉากนี้นางจะต้องเจอวิญญาณของเหล่าเซียนที่ยังหลงเหลืออยู่เดินผ่านนางไป นั่นทำให้เหรินฟางเซียนรีบขยับตัวหลบไปอีกฝั่งในทันทีเพราะจำได้ว่าวิญญาณนั้นชนตนจนแทบสติแตก แต่นี่รู้แล้วเลยไม่กลัวหรอกเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรก็แค่เดินผ่านไปเท่านั้น

และก็เป็นจริงเหมือนในนิยายที่อ่านมามีบุรุษในชุดขาวสะอาดสองคนเดินมาทางนาง ในมือถือกระบี่ที่งดงาม ท่วงท่าแลดูสุขุมเยือกเย็นแต่กลิ่นอายคุณธรรมล้นเปี่ยมเดินผ่านไปแบบไม่ได้สนใจนางด้วยซ้ำไปเมื่อมองไปด้านซ้ายก็เห็นวิญญาณเซียนสองคนกำลังเล่นหมากล้อมกัน มองไปทางขวาก็เจอวิญญาณเซียนกำลังซ้อมเพลงกระบี่ แต่มันก็ไม่ได้น่ากลัวเลย พวกท่านเซียนผู้ล่วงลับไม่ได้สนใจนางสักนิด

หญิงสาวเดินมาถึงศาลากลางสระบัวที่งดงาม ดอกบัวที่นี่สวยมากซ้ำยังทอประกายแสงระยิบระยับออกมาอีกต่างหาก มองยังไงก็สรวงสวรรค์มากกว่าสุสาน นางนั่งลงขัดสมาธิที่ท่าน้ำในศาลามองลึกลงไปใต้ธาราที่เต็มไปด้วยใบบัวปกปิดมองไม่เห็นด้านล่าง สองมือวางลงบนเข่าแล้วหลับตาลงกำหนดจิตใจให้แน่วแน่ตั้งจิตอันบริสุทธิ์ให้ส่งไปถึงวิญญาณกระบี่

พลันลมแรงก็ปลิวใส่หน้าเหรินฟางเซียนจนพื้นน้ำสั่นสะเทือน นางรู้ได้ทันทีว่าวิญญาณกระบี่ตอบรับแล้ว มือเรียวยื่นออกไปด้านหน้าเอ่ยเสียงหวานแต่หนักแน่น "วิญญาณกระบี่ใดตอบรับข้า จงมาหาข้าเถิด"

พลันผืนน้ำก็แยกออกจากกันปรากฏกระบี่ลอยขึ้นเหนือสายธารตรงมาที่มือของเหรินฟางเซียน แสงประกายเจิดจรัสจนนางต้องหรี่ตามอง มือเล็กคว้าเข้าที่กระบี่คู่บารมีพลันแสงนั้นก็จางหายไปบ่งบอกว่ากระบี่นี้ยอมรับนายของมันแล้ว นางมองดูฝักกระบี่สีดำสลักลายเมฆาสีขาว ตัวด้ามจับก็ลายคล้าย ๆ กัน ช่างเป็นกระบี่ที่งดงาม

"ต่อไปนี้นามของเจ้าคือเจียวซิ่น"

เจียวซิ่น ที่แปลว่า ความศรัทธาที่อ่อนโยน

โรงเตี๊ยมเมืองฮวน

หลันเฉินเซียวเลือกจะพาศิษย์ในสำนักเข้าพักที่โรงเตี๊ยมก่อนเพราะตอนนี้มืดค่ำแล้วเร่งเดินทางกลับก็จะเหนื่อยเปล่าเพราะสุสานเซียนอยู่แคว้นฉิน ส่วนยอดเขาซูเซียวอยู่แคว้นเยี่ยนมีแคว้นจ้าวคั่นกลางเลยต้องแวะพักแรมกันเสียก่อน

"ดูเจียวซิ่นของเจ้าสิ งดงามยิ่งนัก" ศิษย์พี่สามเอ่ยชมกระบี่ของศิษย์น้องหญิงไม่ขาดปาก

"รั่วหลิวของท่านก็งามไม่แพ้กัน" เหรินฟางเซียนหันไปชมกระบี่รั่วหลิวของศิษย์พี่สามที่วางอยู่และเหมือนมันจะรับรู้เพราะกระบี่สั่นไหวตอบสนอง

"ดูท่ากระบี่ของศิษย์พี่จะชอบถูกชม"

"รั่วหลิวกระบี่หลงตัวเอง ข้าต้องชมมันทุกเช้าเย็นไม่เช่นนั้นจะขุ่นหมองใจไม่ยอมให้ข้าดึงออกจากฝัก"

"กระบี่ศิษย์พี่คงมีจิตวิญญาณเป็นสาวงามแน่"

"ข้าก็คิดเช่นนั้น"

"นี่ก็ดึกมากแล้วพวกเจ้าแยกย้ายกันไปนอนได้แล้ว" หลันเฉินเซียวที่ไม่อยากให้ศิษย์เข้านอนดึกดื่นก็เอ่ยไล่เสียงนุ่ม

"ก็ได้ขอรับ งั้นข้าขอลา" ศิษย์พี่สามลุกขึ้นโค้งคำนับเช่นเดียวกับเหรินฟางเซียนก่อนจะพากันเดินออกมาจากห้องของอาจารย์ ทั้งสองคนต่างแยกย้ายไปห้องของตน

เหรินฟางเซียนเดินเข้ามาในห้องพักก่อนจะปิดประตูลงดาลเอาไว้ นางมาที่นี่กับอาจารย์และศิษย์พี่สามเท่านั้น ส่วนศิษย์พี่ใหญ่และพี่รองอยู่สำนักจะขนกันมาหมดไม่ได้ หญิงสาวเดินมายังหน้าต่างก่อนจะมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดจึงกระโดดลงไปยังพื้นเบื้องล่างหวังว่าจะลงสู่พื้นอย่างสวยงามเหมือนในซีรีส์แต่ไม่เป็นดั่งคาดเมื่อนางเกิดเสียหลักกลางอากาศหล่นกระแทกพื้นดังตุบ! ไม่พอยังกลิ้งหลุน ๆ ไถลไปกับพื้นหลายตลบอีกต่างหากจนชายกระโปรงถกขึ้นมาคลุมหัว โชคดีที่ใส่กางเกงเอาไว้ด้านในไม่งั้นอาเซียนตัวน้อยคงได้ออกมาประกาศศักดา

"มะ... แม่งเอ๊ย จะ... จุก" ร่างเล็กดึงชายกระโปรงลงจากหัวค่อย ๆ ดันตัวลุกขึ้นยืนด้วยความจุกและปวดร้าวไปทั้งตัวจนยืนตรงแทบไม่ได้เลย

"ทำไมไม่เหมือนในซีรีส์วะ!"

ดีเท่าไหร่แล้วที่ตรงนี้มันไม่มีผู้คนถ้ามีนางคงอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีที่กลิ้งเป็นลูกบอลขนาดนั้น สภาพดูไม่ได้เชียวกะว่าจะลงอย่างสวย ๆ แลนดิ้งแบบนางพญา สุดท้ายกลายเป็นลูกบอลเฉยเลย นางรีบปัดฝุ่นออกจากชุดประจำสำนักสีดำของตนในมือกำเจียวซิ่นแน่นแล้วเดินขากะเผลกท่องเที่ยวไปในยามค่ำคืนของเมืองฮวนอันครึกครื้น

เหรินฟางเซียนเดินมาหยุดยังร้านหยกร้านหนึ่งที่มีกำไลหยกงดงามยั่วยวนใจวางขายอยู่ ด้วยความเป็นผู้หญิงเลยไม่แปลกถ้านางจะชมชอบอะไรแบบนี้ หญิงสาวหยิบเอากำไลหยกขาวสลักลายเมฆาขึ้นมาดูเพราะมันเข้ากับชุดของนาง แต่ถึงอยากได้ขนาดไหนก็คงต้องวางคืนเพราะนางไม่มีเงินทองหรอก มีแต่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ซื้อหมั่นโถวกินเพราะปกติอาจารย์จะเป็นคนจ่ายเงินให้นางเสมอแต่ตอนนี้มาคนเดียว

“มันเหมาะกับเจ้า”

เสียงเข้มที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลังจนนางต้องหันไปมอง นัยน์ตาสีสวยเบิกกว้างเมื่อคนตรงหน้าคือชิวฮุ่ยหมิน

ทะ... ทำไมเขามาอยู่ที่นี่!

"คารวะท่านประมุขชิว" นางรีบยกมือขึ้นประสานทำความเคารพประมุขแห่งหอสารทฤดูตามฐานะและทำอะไรไม่ถูกด้วยแหละที่มาเจอเขาในที่แบบนี้

"ไม่ต้องมากพิธีหรอก" ชิวฮุ่ยหมินเดินแทรกมาหยิบกำไลหยกขึ้นมาดู ลายสลักเมฆาบนหยกขาวชั้นดี

"ข้าเอาอันนี้" เขายื่นเงินให้พ่อค้าก่อนจะหันกลับมาหาเหรินฟางเซียนที่ยังคงยืนนิ่งงันแล้วยื่นกำไลหยกให้ "ข้าให้เจ้า"

"ห๊ะ?" นางทำหน้าฉงนเล็กน้อย ไม่กล้าจะรับของจากอีกฝ่าย

"รับไปสิ"

"อ๊ะ!" เมื่อเห็นนางยังคงยืนนิ่งเขาเลยยัดกำไลหยกใส่ในมือเล็ก เหรินฟางเซียนไม่มีทางเลือกมากนักเลยกำกำไลหยกแน่นแล้วยกมือขึ้นประสานกันเพื่อขอบคุณ

"ขอบคุณท่านประมุขชิวที่เมตตาข้าเจ้าค่ะ"

"ข้าหวังว่าพรุ่งนี้เจ้าจะใส่มันให้ข้าเห็น" ชิวฮุ่ยหมินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันตัวเดินออกไปเห็นแบบนั้นเหรินฟางเซียนเลยรีบวิ่งตามเพราะยังมีเรื่องสงสัยใคร่รู้

"พรุ่งนี้? หมายความว่ายังไง ท่านจะเจอข้าอีกหรือเจ้าคะ?"

"ก็ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาอาจารย์ของเจ้าแล้วจะกลับขึ้นเขาไปพร้อมกันเพราะมีเรื่องต้องหารือ"

"หารือ? หารือเรื่องอันใด?"

"ใช่เรื่องที่เจ้าต้องสอดรู้หรือ?"

ชิวฮุ่ยหมินหันมามองดวงหน้างดงามของหญิงสาววัย 18 หมาด ๆ คำพูดของเขาทำให้นางนิ่งเงียบแล้วแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานแทน แต่เงียบไปเพียงครู่เดียวเสียงหวานก็เอื้อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"งั้นท่านจะเดินทางไปพร้อมพวกเราใช่ไหมไม่?"

"ใช่"

"ท่านพี่ลี่จูต้องดีใจแน่ ๆ ที่ท่านขึ้นเขา"

"เกี่ยวอันใดกับเยี่ยนลี่จู?" ประมุขหอสารทฤดูหันมามองนางอีกครั้ง

"นี่ท่านไม่รู้หรือเจ้าคะ?" นางแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ

"ไม่รู้" เขาตอบเพียงสั้น ๆ

"ก็ท่านพี่ลี่จูมีใจให้ท่านไง"

คำพูดของเหรินฟางเซียนทำให้ชิวฮุ่ยหมินหยุดเดินนิ่งเงียบไปในทันทีจนนางต้องเงยมองหน้าเขาแต่ใบหน้ากับเรียบเฉยจนเดาความรู้สึกไม่ได้เลย นี่นางเสี้ยมสุดชีวิตเลยนะเพื่อช่วยเขาให้สมหวัง ไม่ใช่แค่เขาหรอกนางเองก็สมหวังเช่นกัน ถ้าชิวฮุ่ยหมินได้ครองรักกับเยี่ยนลี่จูนางก็จะได้หลุดจากนิยายเรื่องนี้ไปสู่ภพภูมิที่ควรจะไปสักที ตอนนี้ไม่กลัวแล้วแหละความตายแต่กลัวต้องวนลูปอยู่ในนิยายเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้นมากกว่า อย่างนั้นก็ไม่ต่างจากโดนกักขังโดนจองจำวิญญาณไว้ในหนังสือเล่มนี้

"เจ้าอยากจะทำตัวเป็นแม่สื่อหรือไง?" ชิวฮุ่ยหมินเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมานานแต่น้ำเสียงของเขากลับดูดุดันมากกว่าเดิม

"ข้าแค่เห็นท่านพี่ลี่จูชอบพอท่านเลยอยากช่วยให้สมหวังในฐานะน้องสาวก็เท่านั้นเอง" นางเงยสบตากับเขาแต่แววตาที่มองมามันกลับฉายแววดุดันจนชวนสั่นไหว นางรีบหลุบตาลงต่ำเพื่อหนีสายตานั้นในทันที

"ทำไมต้องมองข้าด้วยสายตาดุเช่นนั้นด้วย ท่านไม่พอใจหรือ?"

"ย่อมใช่"

เสียงเข้มตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหันตัวเดินนำออกไป เหรินฟางเซียนเงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างภายใต้อาภรณ์สีดำจากออกไปด้วยความหงุดหงิดที่โดนตำหนิ นางเลยเลือกจะไม่ตามเขาไปหันหลังเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมของตน

นางก็ไม่ได้อยากทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชัก กามเทพยิงศรอะไรทั้งนั้นแหละ แต่เลือกอะไรได้บ้างในเมื่อภารกิจของนางคือช่วยให้พระรองได้ครองรักกับนางเอก ถ้านางไม่ทำก็ไม่ได้หลุดจากหนังสือเล่มนี้เช่นกัน นางก็แค่อยากเวียนว่ายตายเกิดเหมือนวิญญาณดวงอื่น ๆ อยากกลับไปยังโลกปัจจุบันที่จากมา ไม่ได้อยากโดนกักขังในนิยายเรื่องนี้ตลอดไปหรอกนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel