Chapter 6 : จิ้งจอกน้อยแห่งซูเซียว
Chapter 6
'จิ้งจอกน้อยแห่งซูเซียว'
หนึ่งปีถัดมา
หอสารทฤดู หุบผาเชียงเหมียน
ชิวฮุ่ยหมินประมุขหอสารทฤดูที่งดงามก้าวเท้าเดินไปรอบดินแดนของตนเพื่อชมนกชมไม้อย่างเช่นทุกวัน เขาเดินออกมายังด้านหน้าที่มองเห็นน้ำตกเจ็ดชั้น ประตูสู่เมืองผีที่งดงามแต่ก็แฝงไปด้วยอันตราย ไอเย็นจากน้ำที่กระทบใบหน้ามันทำให้หวนนึกถึงเมื่อครั้งอดีตยามที่ตนเคยกระโดดลงไปช่วยเหรินฟางเซียนจากเอื้อมมือผีที่สิงสู่ใต้ธารานั้น
สาวน้อยวัยแรกรุ่นผู้แก่นกล้าที่ชอบทำอะไรอวดดีจนพลั้งพลาดถ้าตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่แถวนั้นนางคงได้ไปเมืองผีเสียจริง ๆ เพราะลำพังศิษย์พี่ของนางก็ไม่มีกำลังภายในมากพอที่จะสู้กระแสน้ำวนใต้นั้นได้หรอก ไหนจะพลังชั่วร้ายที่ถูกกักขังไว้ใต้สายธารใสนั่นอีก
เขายังจำดวงหน้างดงามนั้นได้เป็นอย่างดี ยามผมยาวดุจเส้นไหมล่องลอยไปในสายน้ำลึก ดวงตาหลับพริ้มปล่อยร่างกายจมดิ่งอย่างไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน มันช่างเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาดเทพวารี อาจจะแปลกไปสักหน่อยก็เถอะแต่เขาชื่นชอบเวลาเหรินฟางเซียนหลับที่สุด เรือนร่างที่ไม่ต่อต้านมันน่ามองเสียจริง ๆ
"ท่านประมุขมีข่าวจากซูเซียวซานขอรับ" ‘มู่เซวียหลง’ ศิษย์เอกของชิวฮุ่ยหมินเดินเข้ามารายงาน
"ข้าฟังอยู่"
"ตอนนี้เหรินฟางเซียนยังเก็บตัวบำเพ็ญเพียรในถ้ำ ไม่มีอะไรผิดปกติขอรับ"
"หึ! ใจแน่วแน่กว่าที่คิดไว้"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังออกมาพร้อมรอยยิ้มมุมปากจากประมุขหอสารทฤดูที่ทำเอาศิษย์เอกยังประหลาดใจเพราะอาจารย์ของเขานั้นเป็นเสือยิ้มยาก มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นภาพตรงหน้าที่ต้องรีบเก็บเอาไว้ในความทรงจำเพราะมันช่างเป็นภาพที่หายาก
เหรินฟางเซียนเป็นสตรีแบบไหนกันถึงทำให้อาจารย์ของเขายิ้มได้เช่นนี้ ไหนจะส่งคนไปคอยสอดส่องแถวถ้ำแก้วของซูเซียวซานอีกต่างหากว่าคนในถ้ำนั้นตบะแตกหนีออกมาหรือยัง ทำไมต้องใส่ใจใคร่รู้ถึงขนาดนั้นหรือนางกับอาจารย์เขาจะมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
"เจ้าไปช่วยศิษย์น้องฝึกวิชาเถิด"
"ขอรับ ศิษย์ขอลา" มู่เซวียหลงเดินออกไป
"ข้าหวังว่าเจ้าจะอดทนได้ถึงสามปีนะเจ้าจิ้งจอกน้อย"
ชิวฮุ่ยหมินยิ้มมุมปากเล็กน้อยจะว่าไปรอยยิ้มของเขาไม่ได้จางหายไปตั้งแต่เมื่อครู่มากกว่า ยอมรับว่าเป็นห่วงเหรินฟางเซียนกลัวว่านางจะบำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จจนต้องส่งคนไปคอยเฝ้าดูกะว่าถ้านางหนีออกมาจากถ้ำ เขาเนี่ยแหละจะให้คนทุบหัวแล้วลากนางกลับเข้าไปในถ้ำเหมือนเดิม
"จิ้งจอกน้อย… อีกสองปีข้างหน้า ตอนที่ได้พบกันใหม่เจ้าคงไม่น้อยแล้วสินะ"
สามปีถัดมา
ถ้ำแก้วสำนักซูเซียวซาน
เหรินฟางเซียนลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากบำเพ็ญเพียรมาสามปี ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอประกายแวววาวกวาดมองรอบตัวที่เหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยในตอนนี้นางรู้สึกได้เลยว่าในร่างกายมีอะไรแปลกใหม่ด้วยความร้อนวิชานางจึงเกร็งหน้าท้องรวบรวมลมปราณมาที่ฝ่ามือแล้วโบกสะบัดออกไปพลันต้นหญ้าแถวนั้นก็ปลิวไสวโอนเอนราบลงไปกับพื้นราวกับต้องลมแต่ไม่ใช่มันคือพลังปราณของนางที่แกร่งกล้าขึ้นต่างหาก
“ว๊าว! นะ... นี่ข้ามีพลังหรือ ให้ตายสิไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตนี้จะได้ทำอะไรแบบนี้”
นางเอ่ยด้วยความตื่นเต้นที่ตัวเองมีกำลังภายในเพราะอะไรแบบนี้ในโลกสมัยใหม่ที่นางจากมามันไม่มีหรอก มันเป็นเรื่องเพ้อฝันเสียด้วยซ้ำไปก็มีแค่ในนิยายและซีรีส์เท่านั้นแหละ แต่ในตอนนี้นางได้สัมผัสมันแล้วก็ไม่แปลกถ้าจะตื่นเต้นจนใจสั่น น้ำตาแทบไหลขนาดนี้ มันดี... ดีจริง ๆ ความรู้สึกเหมือนได้กลายเป็นเทพเลยแฮะ!
“ได้เวลาต้องออกไปแล้วสินะ”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยล้าที่นั่งมานานจนต้องยืดแข้งยืดขาปัดป่ายไปมาประหนึ่งจะรำไทเก๊กเสียให้ได้เมื่อมั่นใจแล้วว่าร่างกายกลับมาเป็นปกติเลยก้าวเท้าเดินออกมาจากถ้ำด้วยรอยยิ้มอย่างสดใส รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเปลี่ยนไปมาก สูงขึ้นกว่าเมื่อสามปีที่แล้วไหนจะหน้าอกและก้นที่ขยายออกมาจนชัดเจนอีก
ก็นางอายุ 18 แล้วหนิ!
"ศิษย์น้องสี่!"
เสียงตะโกนร้องดังไปทั่วยอดเขาซูเซียวอันสูงส่ง บรรดาศิษย์พี่ต่างวิ่งกรูกันเข้ามาหาเหรินฟางเซียนที่เดินสวย ๆ เข้ามาในสำนัก นางรีบยกฝ่ามือขึ้นประสานกันก่อนจะโค้งคำนับพวกศิษย์พี่
"ศิษย์น้องสี่ขอคารวะศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง และศิษย์พี่สาม" ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานให้ทั้งสามคน "ไม่ทราบว่าสามปีมานี้พวกท่านสบายดีหรือไม่?"
"พวกข้าสบายดี เจ้านั่นแหละเป็นอย่างไรบ้าง?" ศิษย์พี่ใหญ่ถามด้วยความเป็นห่วงเพราะศิษย์น้องหญิงเก็บตัวในถ้ำตั้งสามปี
"ข้าสบายดีพวกท่านไม่ต้องกังวลไป"
"งั้นก็ดีแล้ว เจ้ารีบไปหาอาจารย์เถิด" ศิษย์พี่ใหญ่กล่าว
"นั่นสินะ งั้นข้าขอตัวลา"
นางโค้งลาบรรดาศิษย์พี่ก่อนจะหันตัวเดินไปยังหอตำราเพราะอาจารย์ของนางมักอยู่ในนั้น มันเลยเป็นทั้งห้องเก็บตำราและห้องทำงานของอาจารย์ในเวลาเดียวกัน ร่างอรชรย่างก้าวเท้าเข้ามาในหอตำราอย่างแผ่วเบาเพราะประตูมันเปิดเอาไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท นัยน์ตาสีสวยจับจ้องไปยังเงาร่างสูงของหลันเฉินเซียวที่นั่งเขียนอะไรสักอย่างอยู่เมื่อมั่นใจว่าเข้ามาในระยะแล้วนางก็กระโดดออกจากที่ซ่อนยกไม้ยกมือแลบลิ้นปลิ้นตาจ๊ะเอ๋คนตรงหน้า
“อาจารย์!!!”
เสียงใสหวานตะโกนจนดังลั่นไปทั้งหอตำรากะว่าอาจารย์ต้องตกใจจนจานฝนหมึกกระเด็นแน่นอน แต่มันกลับไม่เป็นไปตามคาดเพราะหลันเฉินเซียวกลับนั่งนิ่งเงยหน้ามองนางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันทำให้เหรินฟางเซียนชักสีหน้ามุ่ยที่หยอกเย้าคนตรงหน้าไม่สำเร็จ
“อาจารย์อ่า ไม่ตกใจหน่อยหรือ?”
“ข้าเป็นเซียนนะ ข้ารู้ว่าเจ้ามาตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้ามาในหอตำราเสียด้วยซ้ำ” หลันเฉินเซียวกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาเหรินฟางเซียน กำปั้นถูกยกขึ้นก่อนจะเขกลงบนหัวของศิษย์รักที่มาหยอกเย้าอาจารย์เป็นเพื่อนเล่น
“โอ๊ย! จะ... เจ็บนะท่านอาจารย์” ปากนางบู้มุ่ยเหมือนเด็กน้อย
“ก็ทำให้เจ็บไง มีอย่างที่ไหนมาหยอกเย้าอาจารย์เป็นเพื่อนเล่นเช่นนี้”
“ขะ... ขอโทษเจ้าค่ะ” เหรินฟางเซียนรีบก้าวถอยหลังออกมาก่อนจะยกมือขึ้นประสานกันโค้งหัวลงเล็กน้อย “ข้าเหรินฟางเซียนขอคารวะท่านอาจารย์ ข้าบำเพ็ญเพียรสำเร็จแล้วจึงออกมาจากถ้ำแก้วเจ้าค่ะ”
“ดีมาก” หลันเฉินเซียวเลื่อนมือมาลูบหัวศิษย์รักด้วยความภาคภูมิใจในฐานะอาจารย์ผู้พร่ำสอนมันย่อมตื้นตันใจที่ได้เห็นลูกศิษย์ต่างสำเร็จวิชา
ลูกศิษย์ทั้งสี่คนที่เฝ้าฟูมฟักมา วิ่งซุกซนป่วนสำนักจนแต่ละวันเต็มไปด้วยสีสันทั้งเสียงโวยวาย เสียงร้องไห้ และเสียงหัวเราะ บัดนี้ได้เติบใหญ่ขึ้นมาอย่างเข้มแข็งและเก่งกาจโดยเฉพาะเหรินฟางเซียนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดเพราะนางเป็นสตรีมีความอ่อนแอจากเพศกำเนิดอยู่แล้วจะให้มีเรี่ยวแรงมีจิตใจแกร่งเยี่ยงบุรุษคงเป็นไปไม่ได้ แต่นางก็พิสูจน์แล้วว่านางเองก็เก่งกาจไม่แพ้ศิษย์พี่ทั้งสามเลย
“ดูเจ้าสิ จากเด็กน้อยในวันนั้น ตอนนี้เติบใหญ่เสียแล้ว ข้ายังจำวันแรกที่เจอเจ้าได้แววตาเศร้าหมองหมดสิ้นความหวังในชีวิต แต่ตอนนี้แววตานั้นกลับไม่มีเสียแล้ว เจ้าในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวัง ศรัทธาในตัวเอง ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก”
“นั่นก็เพราะได้ท่านอาจารย์เฝ้าพร่ำสอนเจ้าค่ะ”
“การสอนของข้าคงไม่ได้ผลถ้าเจ้าไม่มีวินัยในการร่ำเรียน”
“ข้าขอยกความดีความชอบให้ท่านอาจารย์ทั้งหมดเจ้าค่ะ”
“หึ! เจ้านี่มันเป็นเจ้าจริง ๆ นะอาเซียนน้อย” มือใหญ่ลูบลงบนผมนุ่มของศิษย์รักด้วยความเอ็นดูและภูมิใจจนใบหน้าที่เคยนิ่งเรียบสุขุมแลยิ้มไม่หุบเลยตั้งแต่เหรินฟางเซียนปรากฏตัว
กว่าจะคุยกับอาจารย์เสร็จก็ปาไปครึ่งชั่วยาม นั่งคุยกันเสียเหน็บกิน ร่างเล็กเดินออกมาจากหอตำราก่อนจะยืดเส้นยืดสายด้วยการกางแข้งกางขาจนกว้างอย่างกับจะเล่นยิมนาสติกลีลา สองมือยกขึ้นบิดขี้เกียจสายตาก็มองไปเรื่อยเปื่อยเพื่อหาอะไรชมจึงเหลือบไปเห็นเยี่ยนลี่จูที่กำลังคุมคนงานเอาเสบียงเข้าไปเก็บในห้องจึงรีบวิ่งไปหาอย่างกับลิงโลด
“ท่านพี่ลี่จู!” เสียงใสหวานตะโกนดังลั่นทำเอาคนงานหรือแม้แต่เยี่ยนลี่จูยังตกใจ แต่เมื่อผู้เปรียบเสมือนพี่สาวหันมามองก็ต้องรีบขึ้นเสียงเอ็ดนางในทันที
“หยุดนะฟางเซียน ทำไมเจ้าวิ่งแบบนั้นมันไม่งามเลย!”
เหรินฟางเซียนเบรกตัวกะทันหันจนหัวแทบทิ่มก่อนจะค่อย ๆ ย่างก้าวเท้าลงบนพื้นเดินไปหาเยี่ยนลี่จูช้า ๆ เยี่ยงกุลสตรีผู้เพียบพร้อมจะวิ่งเป็นลิงเป็นค่างไม่ได้เพราะมันไม่งาม “คารวะท่านพี่ลี่จู ไม่เจอกันสามปีท่านงามขึ้นนะ”
“เจ้าก็ปากหวานขึ้นเช่นกัน” เยี่ยนลี่จูแย้มยิ้มด้วยท่าทางเขินอาย
“ก็ข้าพูดจริง ๆ หนิ ว่าแต่ท่านพี่มีอะไรให้ข้ากินบ้าง ข้าหิวเหลือเกิน”
“มีสิ ตามข้ามา”
เยี่ยนลี่จูเดินนำเหรินฟางเซียนออกไปด้วยท่าทางเรียบร้อยงดงาม เก็บไม้เก็บมือไม่ปล่อยให้ปัดป่ายไปในอากาศต่างกับสาวน้อยด้านหลังสิ้นเชิงที่ตอนนี้เดินกางแขนเหวี่ยงไปมาอย่างแก่นเซี้ยวจนมาถึงห้องครัวก็ถูกคนที่เป็นเหมือนพี่สาวจับให้นั่งที่เก้าอี้หันไปตักน้ำซุปหัวปลามาให้นาง
“ขอบคุณท่านพี่” นางลงมือกินซุปหัวปลาที่เยี่ยนลี่จูยกมาให้ด้วยความหิวแต่ก็ไม่ลืมจะชวนอีกฝ่ายคุยเพราะมีเรื่องอยากถามมากมาย
สามปีมานี่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
“ท่านพี่กับประมุขชิวคบหาดูใจกันหรือยัง?”
เพล้ง!
พอได้ยินคำถามนั้นจากน้องสาวเยี่ยนลี่จูก็ถึงกับทำฝาหม้อในมือตกพื้นเสียงดังสนั่นไปทั้งห้องครัวจนเหรินฟางเซียนยังตกใจ “เจ้าถามอันใดของเจ้าเนี่ย นี่ใช่เรื่องสลักสำคัญหรือ แทนที่จะถามว่าสามปีมานี่สำนักเป็นอย่างไรบ้าง”
“สำคัญสิในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ข้าคาดหวังก่อนจะเข้าถ้ำบำเพ็ญตน” นางกล่าวพลางหยิบหัวปลาขึ้นมาแทะแบบหาความเป็นกุลสตรีไม่เจอจนเยี่ยนลี่จูถึงกับถอนหายใจรีบเดินมาดึงหัวปลาจากปากน้องสาวแล้วใส่ลงไปในถ้วยเหมือนเดิม
“มีตะเกียบไยไม่ใช้ตะเกียบ มายกแทะแบบนี้ได้อย่างไรกันมันไม่งาม”
“ทีน่องไก่เรายังยกแทะเลย”
“ก็นั่นมันของแห้งนี่มันของน้ำ เจ้ายกแทะเช่นนั้นน้ำมันก็หกเลอะเทอะไปหมด”
“ตรงนี้มันก็มีแค่ท่านกับข้าเอง”
“ต่อให้มีเจ้าคนเดียวก็ไม่ควรทำมันจะติดเป็นนิสัย”
“ช่างมันเถอะ เรื่องของข้ามันไม่สำคัญ ข้าถามท่านอยู่นะท่านยังไม่ตอบข้าเลยว่าคบหากับประมุขชิวหรือยัง?”
“ยะ... ยัง” เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นใบหน้าหวานก้มต่ำลงเล็กน้อยคล้ายจะหลบสายตาของเหรินฟางเซียน
“ห๊ะ! ทำไมล่ะ ข้าเสี้ยม เอ๊ย! ข้าบอกท่านไปขนาดนั้นแล้ว ไยท่านยังชักช้า นี่มันสามปีแล้วนะท่านพี่ถ้ารักกันป่านนี้แต่งงานกันไปแล้วมั้ง”
เหรินฟางเซียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็หงุดหงิดใจขึ้นมาที่แผนการของนางที่วางไว้มันดันไม่สำเร็จ อุตส่าห์เสี้ยมไปเสียขนาดนั้นแต่นี่ผ่านไปสามปีกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คาดหวังไว้ว่าออกมาจากถ้ำแก้วจะได้ฟังข่าวดีของสองคนนี้แต่ที่ไหนได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในกอไผ่ทั้งนั้น เป็นนางละก็ไม่ปล่อยหรอกจะรีบกระโดดตะครุบชิวฮุ่ยหมินมัดมือลากมากราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันเสียให้ได้ เผลอ ๆ ป่านนี้ท้องแล้วด้วยถ้าเป็นนาง
รักต้องพุ่ง! พุ่งเข้าใส่ผู้ชายโลด!
“ประมุขชิวไม่ได้มีใจให้ข้าหรอก” เยี่ยนลี่จูกล่าวเสียงแผ่ว
“มะ... ไม่มีใจหรือ ท่านรู้ได้อย่างไร ทำไมไม่เชื่อข้า?” เออ! ทำไม! ทำไมไม่เชื่อคนที่อ่านนิยายมาแบบนาง ในนิยายชิวฮุ่ยหมินเป็นพระรองช้ำรักจะไม่มีใจให้นางเอกแบบเยี่ยนลี่จูได้ยังไงกัน
“ก็เวลาที่ข้าเจอประมุขชิวอีกฝ่ายก็ดูจะไม่ได้สนใจข้านัก”
ยังจะมาเถียงอีกมันน่าทุบด้วยหัวปลาเสียจริง ๆ
“เชื่อข้าเถอะ เขามีใจให้ท่าน ข้ามองจากดาวอังคารยังมองออกเลย”
“มองจากดาวอังคาร คะ... คืออันใด?” เยี่ยนลี่จูขมวดคิ้วไม่เข้าใจในคำกล่าวของเหรินฟางเซียนที่ประหลาดนัก
“อ๋อ ก็มองจากสวรรค์ชั้นฟ้าไง เนี่ยเทพเซียนทั้งหลายบนฟ้ายังมองออก เชื่อข้าเถอะ” นางชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าแบบเนียน ๆ อยากจะตบปากตัวเองที่มักเผลอพูดคำสมัยใหม่ออกไป ยังดีนะที่หาข้อแก้ตัวได้
“ข้าเป็นสตรีจะเข้าหาบุรุษก่อนได้อย่างไร เขาไม่เข้าหาข้าแล้วจะให้ข้าเข้าหาเขาหรือไง มันไม่งามเจ้าก็รู้”
เหอะ! ถ้าเป็นนางนะป่านนี้ได้เสียเป็นผัวเมียกันไปแล้ว!
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะผู้ใดมาได้ยินมันจะไม่ดี ยังไงประมุขชิวก็สูงส่งมีคนนับหน้าถือตาทั่วยุทธภพ ไม่ใช่ข้าที่จะเสียหายเขาเองก็เช่นกัน ถ้าเขามีใจรักชอบข้าจริง ๆ ก็ให้เขามาบอกข้าเองแล้วกัน ตอนนั้นข้าจะตัดสินใจเอง” ว่าจบเยี่ยนลี่จูก็หันตัวเดินออกไปจากห้องครัวทิ้งให้เหรินฟางเซียนนั่งหน้าบูดบึ้งปากคว่ำปากงออยู่คนเดียว
นางพ่นลมหายใจออกจากปากจนปอยผมหน้าม้าปลิว มือหยิบเอาหัวปลาตรงหน้าขึ้นมาแทะด้วยความหงุดหงิดจนต้องหาอะไรมากระแทกปาก ชิชะ! ทำเป็นวางมาดกุลสตรี ใช่สิเขาเป็นพระรองหนิลองเป็นพระเอกสิแทบจะหลอมละลายเข้าใส่ หรือนางจะต้องไปขอพรผู้เฒ่าจันทร์แรมให้ผูกด้ายแดงกับสองคนนี้แทนนะ ในเมื่อพยายามเล่นเป็นกามเทพเองแล้วแต่ดูท่าไม่น่าจะสำเร็จ
