Chapter 10 : กลับตาลปัตร
Chapter 10
'กลับตาลปัตร'
“ท่านอาจารย์ มันไม่มีอันใดจริง ๆ นะอาจารย์เจ้าคะ”
เหรินฟางเซียนรีบพุ่งตัวเข้าไปหาหลันเฉินเซียว คุกเข่าต่อหน้าของอาจารย์ด้วยแววตาเว้าวอน กลัวว่าครั้งนี้จะโดนทำโทษเฆี่ยนตีหรือหนักสุดอาจจะโดนไล่ออกจากสำนัก
"เจ้าอย่าดุด่านางเลย เป็นข้าที่ผิดเอง" ชิวฮุ่ยหมินเดินออกมายืนตรงหน้าของเหรินฟางเซียน
"ใช่ เป็นเจ้าที่ผิด ลูกศิษย์ข้าจะไปรู้เล่ห์เหลี่ยมคนเช่นเจ้าได้อย่างไร" หลันเฉินเซียวชี้หน้าชิวฮุ่ยหมินด้วยใบหน้ามากล้นด้วยโทสะ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงละครปาหี่ตบตาคนอื่นเท่านั้น จริง ๆ รู้เรื่องนี้มาบ้างพอจะมองออกว่าสหายสนิทมีใจให้ศิษย์ตน
และเมื่อคืนก็เป็นเขาเองที่ปล่อยให้สองคนอยู่ด้วยกัน
"ท่านพี่โปรดระงับโทสะด้วย" เยี่ยนลี่จูกล่าวขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของหลันเฉินเซียวจนเส้นเลือดบนหัวเต้นตุบ
“ชะ... ใช่ท่านอาจารย์ โปรดระงับโทสะขอรับ" ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวเพราะอยากให้ใช้เหตุผลคุยกันมากกว่าอารมณ์
"ระงับโทสะอะไร ประสาทหรือไง!"
แต่เหมือนคนที่จะมีโทสะมากกว่าอาจารย์น่าจะเป็นลู่จิงฉิงน้องชายของตนเองเสียมากกว่าที่ลุกเดินตรงเข้ามาหาชิวฮุ่ยหมินอย่างไม่มีความยำเกรงในฐานะผู้อาวุโสสักนิดเดียว “ศิษย์น้องสี่โดนล่วงเกินจะให้ระงับโทสะอะไรกัน”
“ใจเย็นก่อนศิษย์พี่รอง” ซานเว่ยตูรีบเดินเข้ามาดึงแขนศิษย์พี่รองเอาไว้
“เจ้าประสาทอีกคนหรือไง!” ลู่จิงฉิงหันไปดุศิษย์พี่สามจนหน้าหงอยไปเลย
“ระงับโทสะด้วยลู่จิงฉิง”
กลายเป็นหลันเฉินเซียวที่ต้องห้ามปรามปนอ้อนวอนลูกศิษย์เสียแทนเพราะเหมือนลู่จิงฉิงจะโกรธจริงจังมากกว่าเขาเสียอีก เมื่อโดนอาจารย์ร้องขอคนเป็นศิษย์ก็ทำตาม ศิษย์พี่รองสะบัดแขนเสื้อหันตัวเดินออกไปยืนที่ด้านหลังด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง พยายามระงับโทสะของตนด้วยการยืนห่าง ๆ ไม่อย่างงั้นผู้อาวุโสก็ผู้อาวุโสเถอะ ยอมสู้จนตัวตายเพื่อล้างมลทินให้เหรินฟางเซียน
“ข้าล่วงเกินเหรินฟางเซียนแล้ว ขออภัยทุกท่าน” ชิวฮุ่ยหมินกล่าวขึ้นพร้อมก้มหัวให้ทุกคนเล็กน้อย
“ห๊ะ! ละ... ล่วงเกิน ล่วงเกินอันใด?” เหรินฟางเซียนเงยหน้ามองชิวฮุ่ยหมินด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ข้าทำผิดต่อเจ้าแล้วเหรินฟางเซียน” ชิวฮุ่ยหมินก้มหน้าลงมองนางด้วยรอยยิ้มละมุนละไมแต่สำหรับนางมันกลับดูเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างไงก็ไม่รู้
ช่างไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง!
“ทำผิดอันใดกัน ท่านไม่ได้ทำผิดอันใดต่อข้าทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
“จะไม่ผิดได้อย่างไรอาเซียน เจ้ากับชิวฮุ่ยหมินนอนค้างอ้างแรมด้วยกันทั้งคืน” หลันเฉินเซียวพูดแทรกขึ้นเสียงนุ่ม
“ก็แค่นอนค้าง ไม่ได้ทำอันใดมากกว่านอนเสียหน่อย อีกอย่างนั่นมันหอรำลึกนะอาจารย์” เหรินฟางเซียนรีบหันไปพูดกับอาจารย์เสียงเว้าวอน
“ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันเจ้าก็รู้ นี่พวกเจ้ากลับนอนกกกอดกันทั้งสำนักก็เห็นกันหมด เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องดีหรือ?” หลันเฉินเซียวกล่าวต่อ ท่าทางยังคงสงบนิ่งเหมือนทองไม่รู้ร้อนทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังหน้าบึ้งตึงเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ บนดวงหน้างามอยู่เลย
“โอ๊ย! ข้ากับเขาจะไปทำอันใดบัดสีบัดเถลิงกันได้ พวกท่านคิดมากไปแล้ว!”
เหรินฟางเซียนที่หมดความอดทนกับความคิดโบราณคร่ำครึของทุกคนจึงร้องตะโกนออกมาจนสุดเสียง ร่างเล็กลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปหาชิวฮุ่ยหมินแล้วพุ่งตัวเข้าไปสวมกอดประมุขหอสารทฤดูเอาไว้ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทุกคนโดยเฉพาะศิษย์พี่ใหญ่ที่กำลังจะเป็นลมอีกรอบหนึ่ง ส่วนหลันเฉินเซียวถึงกับต้องยกยาหอมขึ้นมาดม
“เห็นไหมข้ากอดเขา มันก็ปกติไม่เห็นมีอันใดเกิดขึ้น ก็แค่กอดกันเท่านั้น”
เหรินฟางเซียนหันมาพูดกับอาจารย์หน้าซื่อ นัยน์ตาสุกใสหันมองหน้าทุกคนด้วยรอยยิ้มแต่เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวเหมือนไก่ต้มของบรรดาศิษย์พี่ก็ทำให้นางสงสัยไม่น้อยว่าทำไมจะต้องทำหน้ากันเช่นนั้นด้วยจึงหันกลับไปสวมกอดชิวฮุ่ยหมินอีกรอบ ซบใบหน้าลงบนอกกว้างอย่างแนบชิด
“พวกท่านดูสิ ก็แค่กอดมันไม่มีอันใดผิดสักหน่อย คนเรากอดกันมันก็เรื่องปกติไม่ใช่หรือ เพื่อนกอดเพื่อน พี่กอดน้อง บิดามารดากอดลูก”
นางยังคงเปล่งวาจาออกมาหน้าระรื่น แขนยังคงสวมกอดชิวฮุ่ยหมินจนประมุขหอสารทฤดูยืนนิ่งแข็งเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินไปเสียแล้วก็รู้ว่าเหรินฟางเซียนน่ะทั้งซนทั้งดื้อแต่ไม่คิดว่าอาการจะหนักถึงเพียงนี้ คราก่อนที่เขาด่านางเอาไว้ว่า ไร้ยางอาย คงไม่เกินจริง
“ออกมาเลยนะฟางเซียน” เยี่ยนลี่จูรีบดึงตัวผู้เปรียบดั่งน้องสาวออกมาจากตัวบุรุษ
“เจ้ายังจะกล้าทำงามหน้าอีกหรือ?” หลันเฉินเซียวจ้องมองนางด้วยแววตาดุดัน
“งะ... งามหน้า งามหน้าอะไรกันอาจารย์ ก็แค่กอดเองเจ้าค่ะ”
นางยังคงเถียงออกมาตามความคิดสมัยใหม่ของตนเพราะถ้าเป็นโลกปัจจุบันอย่าว่าแต่กอดเลย มีเซ็กซ์กันแบบไม่ผูกมัด เปลี่ยนผู้ชายคืนละคนก็ยังได้ ไม่เห็นจะต้องมารู้สึกผิด รู้สึกอับอายเหมือนไปเดินแก้ผ้าล่อนจ้อนรอบเมืองเยี่ยงนี้
“บุรุษกับสตรีไม่ควรใกล้ชิด เจ้ากับประมุขชิวไม่ใช่สามีภรรยากัน สิ่งแบบนี้มันควรเก็บไว้ทำกับสามีของตน ไม่ใช่เที่ยวทำกับบุรุษอื่นไปทั่วเช่นนี้ เจ้านี่มันไร้ยางอาย”
“นะ... นี่ นี่ท่านด่าข้าหรือ?” เหรินฟางเซียนเงยหน้ามองเยี่ยนลี่จูที่ด่าทอนางออกมา
“ย่อมใช่ ข้าด่าทอเจ้าเพื่อให้เจ้ารู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด ไม่ใช่ทำตัวเจ้าสำราญเป็นบุรุษเกี้ยวพาราสีกับคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ยางอายของเจ้ามันหายไปไหนหมดแล้วเหรินฟางเซียน เจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เจ้าฟื้นขึ้นมาครานั้นเจ้าก็เปลี่ยนไป มันเหมือนไม่ใช่เจ้า”
คำพูดของเยี่ยนลี่จูทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เหรินฟางเซียนเป็นตาเดียวเหมือนคล้ายจะเห็นด้วยกับสิ่งที่นางเอกพูด นางร้ายแบบนางเลยกลายเป็นผู้ต้องหา วันนี้มันวันโลกาวินาศหรืออย่างไรทำไมมีแต่เรื่องวุ่นวาย ตอนแรกก็ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงใจง่ายนอนกับผู้ชาย ตอนนี้ก็ยังต้องมาตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีก
“ตอนนี้ข้ายืนต่อหน้าพวกท่าน ใบหน้าของข้าเป็นผู้ใด น้ำเสียงของข้าเป็นผู้ใด แววตาของข้าเป็นผู้ใดทุกคนย่อมแจ่มแจ้งในสิ่งที่ได้เห็น ข้าจะใช่หรือไม่ใช่ พวกท่านก็ตัดสินเอาเถิด”
นางยืนประจันหน้าต่อทุกคนสู้ทุกสายตาที่มองมาอย่างไม่มีหวาดหวั่นใด ๆ ทั้งนั้น อยากจะวัดกันใช่ไหมก็มาเลยถ้าเรื่องแค่นี้นางยังทำตัวให้โดนจับได้ก็ให้มันรู้ไปสิ
“พอแล้ว พอ ๆ ทำไมท่านถึงพูดเช่นนี้”
ลู่จิงฉิงพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ศิษย์พี่รองแห่งซูเซียวซานเดินขึ้นมาด้านหน้าก่อนจะกางแขนออกแล้วดันตัวเหรินฟางเซียนไปด้านหลังเพื่อปกป้องศิษย์น้องหญิงของตน ต่อให้คนทั้งสำนักไม่เชื่อในตัวของนางแต่เขานี่แหละจะเชื่อเอง
“ท่านพี่ลี่จูท่านกล่าววาจาเช่นนั้นได้อย่างไร ทำไมสงสัยในตัวของอาเซียน นางคือเหรินฟางเซียนเป็นผู้ใดไม่ได้อีก”
“ศะ... ศิษย์พี่รอง”
เหรินฟางเซียนจับลงบนเสื้อของศิษย์พี่รอง ขยุ้มมันเล็กน้อยให้เขารู้สึกว่านางอยากจะส่งความรู้สึกให้ถึงเขา ความรู้สึกขอบคุณจากหัวใจจริง ๆ สุดท้ายแล้วคนที่รักและเชื่อใจ คอยช่วยเหลือนางเสมอก็คือศิษย์พี่รองลู่จิงฉิงคนนี้เนี่ยแหละ
“ข้าก็แค่พูดออกไปตามที่เห็น เหตุใดเจ้าต้องทำเหมือนข้าผิดเพียงนี้?” เยี่ยนลี่จูจ้องมองลู่จิงฉิงด้วยความไม่พอใจที่มาชักสีหน้าใส่นางเช่นนั้น
"พอเถิด เลิกโต้เถียงกันเสียที" หลันเฉินเซียวลุกขึ้นยืนเพื่อห้ามทัพก่อนจะเกิดสงคราม
"มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาพูดตอนนี้" ชิวฮุ่ยหมินกล่าวอีกคนเขาหันมามองเหรินฟางเซียนที่ยืนอยู่ด้านหลังของลู่จิงฉิงก่อนจะหันกลับไปหาหลันเฉินเซียว
"ทั้งหมดข้าผิดเอง งั้นข้าจะแต่งกับเหรินฟางเซียน"
"ห๊ะ! ตะ... แต่งงานหรือ?" เหรินฟางเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนต้องรีบก้าวเท้าขึ้นมายืนข้างหน้า พยายามเก็บสติที่เตลิดของตนเองกลับเข้าที่เดิม
"ไม่แต่ง!" เมื่อได้สตินางก็รีบปฏิเสธเสียงแข็งในทันที
"ทำไม?" หลันเฉินเซียวจ้องดวงหน้างามของศิษย์หญิงอย่างไม่เข้าใจ
"ถ้าการแค่กอดกันมันทำให้ข้าต้องแต่งงาน มันก็ไม่ยุติธรรมกับข้านัก"
นางแย้งเพื่อเรียกร้องให้ตัวเองบ้าง ผู้หญิงจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการพูดเลยหรือ การแค่กอดกับบุรุษนอนค้างอ้างแรมกับบุรุษแล้วต้องโดนจับแต่งงานล้างอาย เช่นนั้นเกิดบุรุษชอบสตรีนางไหนแต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วยก็ฉุดคร่าไปสินะเพราะวิธีนี้ยังไงก็ได้แต่งเพราะงั้นมันเลยไม่ยุติธรรมกับสตรีเลย
"แต่เจ้าอยู่กับประมุขชิวทั้งคืน" เยี่ยนลี่จูกล่าว
"แต่ข้ากับเขาก็ไม่ได้ทำอันใดกัน อีกอย่างแค่นอนกอดกันมันไม่บัดสีบัดเถลิงขนาดนั้นหรอก ข้าไม่อาย ต่อให้คนทั้งเมืองพูดนินทาข้า ข้าก็ไม่อาย"
"เจ้านี่ช่างหน้าหนายิ่งนัก"
"ใช่ข้ามันหน้าหนา ขนาดประมุขชิวยังเคยด่าข้าว่าไร้ยางอายเลย ในยุทธภพนี้คงไม่มีผู้ใดจะหน้าหนาได้เท่าข้าแล้ว"
เยี่ยนลี่จูที่ได้ฟังดังนั้นก็หันหน้าไปมองทางอื่นด้วยท่าทีไม่พอใจที่ไม่สามารถสั่งสอนเหรินฟางเซียนได้ แต่นางก็หาได้สนใจไม่เลือกจะหันไปหาชิวฮุ่ยหมินก่อนจะยกมือขึ้นประสานกัน โค้งหัวลงเล็กน้อย
"ขออภัยท่านประมุขชิวด้วยที่ข้าไม่อาจจะรับน้ำใจไมตรีจากท่านได้ ถ้าจะบังคับให้ข้าแต่งงานกับท่านมันก็คงจะไม่ยุติธรรมกับข้า ดูรังแกข้าจนเกินไป ขอท่านประมุขโปรดเข้าใจด้วยเจ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินถ้อยคำและท่าทางที่เหรินฟางเซียนแสดงออกมาก็ทำให้ชิวฮุ่ยหมินตระหนักแล้วว่านางคงไม่อยากร่วมหอกับเขาจริง ๆ และไม่น่าจะยินยอมง่าย ๆ ถึงแม้จะต้องบังคับก็คงดื้อรั้นจนหนีไปจากสำนัก เขาไม่ต้องการแบบนั้น ในเมื่อนางไม่ยินยอมก็จะเปลี่ยนวิธีใหม่แทน จีบสตรีที่เด็กกว่ามันก็ยากหน่อยเพราะเด็กผู้นี้ช่างเขลาและดื้อรั้นยิ่งนัก
"งั้นก็แล้วแต่เจ้าจะตัดสินเถิด" ชิวฮุ่ยหมินหันมากล่าวกับหลันเฉินเซียว
"ถ้าอาเซียนไม่ยินยอม ข้าก็ไม่อยากจะบังคับใจนาง"
"ขอบคุณท่านอาจารย์ ข้ารักท่านอาจารย์ที่สุด"
เหรินฟางเซียนกระโดดกอดหลันเฉินเซียวด้วยความดีใจ รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสวย เห็นเช่นนั้นทุกคนก็ต่างพากันมีรอยยิ้มตามไปด้วยโดยเฉพาะชิวฮุ่ยหมินที่ปกติแล้วยิ้มยากแต่ก็ยิ้มในความน่าเอ็นดูของนาง
หลังจากเคลียร์ปัญหาเรื่องแต่งงานจบทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน เหรินฟางเซียนเดินมาหาเยี่ยนลี่จูเพื่อหวังจะพูดคุยปรับความเข้าใจกับอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะเคืองนางอยู่ไม่น้อย ก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่ามันเพราะเหตุผลอันใด
"ท่านพี่ลี่จู" นางเอ่ยเรียกคนที่เปรียบเหมือนพี่สาวเสียงแผ่ว
"เจ้าไม่ไปอยู่กับประมุขชิวเล่า?" เยี่ยนลี่จูยังคงมีท่าทีประชดประชันเช่นเดิมจนเหรินฟางเซียนเหนื่อยใจ นางเดินตรงเข้ามาหาก่อนจะก้มหัวลงเล็กน้อย
"ถ้าข้าทำให้ท่านพี่ขุ่นเคืองเรื่องอันใด ข้าขออภัยด้วย"
"เจ้าบอกข้าว่าประมุขชิวชอบข้า บอกให้ข้าเข้าหาเขา แต่เจ้ากลับเข้าหาเขาเหมือนกัน จะให้ข้าคิดอย่างไร?"
"ข้าไม่ได้เข้าหาเขานะ ท่านพี่ก็เห็นว่าเขาเข้ามาหาข้าในหอรำลึกเอง"
"เจ้ายังมีหน้ามาพูดเรื่องน่าละอายอีกหรือ?"
"ข้าแค่พยายามอธิบายให้ท่านฟัง หาได้น่าละอายตรงไหนที่จะกล่าวความจริง"
"โอ๊ย!" เยี่ยนลี่จูพุ่งตัวเข้ามาหาเหรินฟางเซียนก่อนจะจับเข้าที่ต้นแขนเล็กแล้วบีบลงบนเนื้ออ่อนจนนางร้องเสียงหลง
"เจ้ามาพูดให้ข้าฟังว่าประมุขชิวชอบพอข้า มาบอกว่าเขาเฝ้าคะนึงหาข้า แต่ชอบพอเช่นใดกันเล่า ทำไมเขาถึงเข้าหาเจ้าแทนที่จะเป็นข้า!"
"ทะ... ท่านพี่โปรดระงับโทสะ โปรดฟังข้าก่อน"
"เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร เห็นความรู้สึกข้าเป็นเรื่องสนุกของเจ้าหรือ มีความสุขไหมที่ได้ปั่นหัวข้า"
ร่างของเหรินฟางเซียนลอยกระเด็นไปกระแทกเข้ากับผนังเต็มแรงจนร่วงทรุดลงไปกองกับพื้น นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองเยี่ยนลี่จูด้วยความประหลาดใจ แม้จะเจ็บแต่ก็ยังคงเค้นเสียงถามออกไป
"นะ... ไหน ไหนว่าท่านอ่อนแอไงเล่า"
นั่นแหละคือสิ่งที่นางประหลาดใจเป็นอย่างมากเพราะตามเนื้อเรื่องในนิยายเยี่ยนลี่จูไม่มีวรยุทธ์เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่หลันเฉินเซียวและชิวฮุ่ยหมินต้องคอยปกป้องดูแลดั่งไข่ในหิน อ่อนแอปวกเปียกไร้ความสามารถแต่ตอนนี้กลับมีแรงผลักนางกระเด็นออกมาได้ถึงเพียงนี้
"ข้าจะเป็นเช่นไรจะอ่อนแอแข็งแกร่งก็หาใช่สิ่งที่เจ้าต้องสอดรู้" ว่าจบเยี่ยนลี่จูก็หันตัวเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจไยดีคนที่เปรียบเหมือนน้องสาวสักนิด แม้แต่เหลียวมองยังไม่มีให้ได้เห็น
"นี่มันอะไรกัน ทำไมเนื้อเรื่องในนิยายถึงเปลี่ยนไป?"
