บท
ตั้งค่า

Chapter 4 : รอยยิ้มของท่านที่ให้ข้า

Chapter 4

‘รอยยิ้มของท่านที่ให้ข้า’

ยามซื่อ [1]

เหรินฟางเซียนนั่งสัปหงกหัวตกเหมือนจะหลับในเสียหลายครั้งเพราะเมื่อคืนเข้านอนยามโฉ่วแต่ต้องตื่นเสียตั้งแต่ยามเหม่าทำให้รู้สึกนอนไม่พอเท่าไหร่จะหลับเสียอยู่หลายครั้ง พยายามตั้งสติยังไงก็ไม่สำเร็จยิ่งต้องมานั่งอ่านตำราแบบนี้อีก ผู้ใดมันจะทนอ่านไหวกันเมาตัวหนังสือแล้วเนี่ย

“เซียนเอ๋อร์เจ้าตั้งใจหน่อย” ศิษย์พี่ใหญ่ที่นั่งข้าง ๆ หันมากระซิบแผ่วเมื่อเห็นศิษย์ผู้น้องตาปรือเหมือนจะนั่งหลับ

“ข้าง่วงนอนมากเลยศิษย์พี่ใหญ่” ไม่พูดเปล่ายังหาวจนปากกว้างเป็นเครื่องยืนยันคำพูดด้วย

“สำรวมหน่อยศิษย์น้องสี่” ศิษย์พี่สามที่นั่งอีกข้างพูดขึ้นจนเหรินฟางเซียนกลอกตามองบน ซ้ายก็บ่นขวาก็บ่น!

“ก็อาเซียนง่วงนอนจะอะไรนักหนา”

เสียงกระซิบดุของศิษย์พี่รองผู้ตามใจศิษย์น้องสี่ที่สุดดังขึ้น ทำให้เหรินฟางเซียนยิ้มกว้างในทันทีเพราะแบ็คอัพนางมาแล้ว ถ้าให้กล่าวว่าผู้ใดใจดีกับนางที่สุดคงหนีไม่พ้นศิษย์พี่รองลู่จิงฉิงคนนี้แหละ แบ็คชั้นดีของนางที่คอยหนุนหลังเสมอ

“ศิษย์พี่รองก็ตามใจศิษย์น้องสี่เกินไปหรือบางทีก็คงติดนิสัยไม่ขยันขันแข็งมาจากท่าน” ซานเว่ยตูหันไปจ้องหน้าลู่จิงฉิงศิษย์พี่รองด้วยแววตาปานจะกินเลือดกินเนื้อ เป็นไม้เบื่อไม้เมาที่ถกเถียงกันตลอด

“หุบปากของเจ้าไปเลย ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาจานฝนหมึกขว้างหน้าเจ้า” ลู่จิงฉิงยกจานฝนหมึกขึ้นมาทำท่าจะปาใส่ศิษย์น้องสามเสียจริง ๆ

“โอ๊ย!”

“อ๊ะ!”

อยู่ดี ๆ ก็มีถ้วยชาและจานฝนหมึกลอยมาจากไหนไม่รู้ ถ้วยชากระแทกเข้าหน้าผากของลู่จิงฉิงเต็ม ๆ ส่วนจานฝนหมึกนั้นไปกระแทกเข้าที่หน้าผากของซานเว่ยตูจนสองศิษย์แห่งซูเซียวซานร้องเสียงหลงยกมือขึ้นจับหน้าผากตนที่เจ็บชาไปทั้งหน้า

ทุกคนต่างมองไปยังชิวฮุ่ยหมินที่กำลังจับจ้องมาทางพวกเขาเช่นกัน สายตาคมกริบที่แผ่จิตสังหารออกมานั้นพาขนลุกซู่จนศิษย์ทั้งสี่ต่างเขยิบตัวเข้าหากันแบบไม่ได้นัดหมาย ลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่รับรู้แล้วว่าพวกเขาทำผิดมหันต์

“ข้าล่ะอิจฉาเจ้านักเหรินฟางเซียนที่มีศิษย์พี่คอยเอาอกเอาใจจนถึงขั้นทะเลาะกันเพราะเจ้าเช่นนี้ เป็นสตรีผู้เดียวในสำนักท่ามกลางศิษย์ร่วมสำนักที่เป็นบุรุษเจ้าคงถูกทะนุถนอมอย่างดีสินะและนั่นอาจจะทำให้เจ้ารู้สึกสบายเกินไปหน่อยจนนึกอยากจะทำอะไรก็ทำเพราะมั่นใจนักหนาว่าจะมีเหล่าศิษย์พี่คอยปกป้องสุดชีวิต แม้กระทั่งไม่ตั้งใจร่ำเรียน คิดจะเป็นเซียนแต่ตำราแค่ไม่กี่หน้ายังคร้านจะอ่านแล้วถ้าต้องออกไปเก็บตัวบำเพ็ญเพียรในถ้ำแก้วถึงสามปีเจ้าจะทำได้หรือไม่ตบะแตกหนีออกมาก่อนหรือ?”

เมื่อโดนบ่นเสียยาวเหยียดแบบน้ำไหลไฟดับก็ทำเหรินฟางเซียนหน้าคว่ำหน้างอด้วยความไม่พอใจด้วยนิสัยเดิมก่อนทะลุมิติเข้ามาในนิยายก็เป็นคนไม่ยอมคนอยู่แล้ว พอโดนบ่นแบบนี้มีหรือนางจะสลด หนำซ้ำยังตีสีหน้าไม่พอใจออกไปจนชัดเจนอีกต่างหากทำเอาศิษย์พี่ต่างหวาดหวั่นในสายตาของนางที่จ้องประมุขชิวตาเขม็งมือกำหมัดแน่นกลัวว่าจะลุกไปตบผู้อาวุโสตรงหน้า

สองดวงตาต่างจ้องผสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร นัยน์ตาสวยจดจ่อเข้าไปในแววตาสีดำของผู้อาวุโสกว่าอย่างไร้ความยำเกรง จ้องกันอยู่นานโดยไม่พูดอะไร แต่สุดท้ายก็เป็นเหรินฟางเซียนเองที่ควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ข่มงับอารมณ์โทสะให้กลับลงไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจแล้วลุกขึ้นยืนสองมือประสานเข้าหากันโค้งหัวลงเล็กน้อย

“ข้าขออภัยที่ล่วงเกินท่านประมุข ข้าผิดเองอย่ากล่าวโทษศิษย์พี่เลยถ้าจะทำโทษ ข้าก็ขอรับโทษทัณฑ์นั้นแต่เพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ”

“ดี เจ้ากล้าหาญยิ่งนัก” ประมุขหอสารทฤดูยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหันไปมองศิษย์พี่ทั้งสามของนาง “พวกเจ้าออกไปวิ่งรอบเขาสามรอบ”

“ห๊ะ!” ศิษย์พี่ทั้งสามถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกัน

“ขะ... ข้าบอกแล้วไงว่าให้ลงโทษข้าคนเดียว” เหรินฟางเซียนรีบแย้งเสียงแหลม

“ข้าไม่ได้ทำโทษแต่นี่คือการฝึกฝน” เสียงเรียบเอ่ยออกมา

“ฝึกอันใดกันขนาดอาจารย์ยังไม่เคยสั่งให้พวกข้าออกไปวิ่งรอบเขาถึงสามรอบเลย” ศิษย์ผู้น้องยังคงแย้งเพื่อพยายามปกป้องศิษย์พี่

“ก็นั่นมันอาจารย์เจ้าแต่นี่มันข้า การฝึกมันจะเหมือนกันได้อย่างไร” ดวงตาคู่คมจับจ้องใบหน้านาง

“ไม่เป็นอันใดหรอก ตอนนี้เราร่ำเรียนวิชาจากท่านประมุขก็ต้องเชื่อฟังในคำสั่งสอนถ้าการออกไปวิ่งคือการฝึกฝนของประมุขพวกเราย่อมทำตามขอรับ”

ศิษย์พี่ใหญ่ที่กลัวว่าเรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้เลยน้อมรับคำสั่งแต่โดยดีก่อนจะหันไปมองเหรินฟางเซียนที่กำลังจะอ้าปากพูด ส่งสายตาเข้มให้นางเงียบจนสุดท้ายหญิงสาวก็ต้องยอมสงบปากสงบคำ

“พวกข้าขอลาท่านประมุขออกไปวิ่งขอรับ” ศิษย์พี่ทั้งสามโค้งคำนับก่อนจะพากันหันตัวเดินออกไปจากห้องเรียน

“แล้วข้าเล่า?” เหรินฟางเซียนถามขึ้นเมื่อเหลือนางผู้เดียว

“เจ้านั่งลงแล้วอ่านตำราให้ข้าฟัง”

นางกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมนั่งลงแล้วหยิบเอาตำราขึ้นมาอ่านตัวอักษรมากมายในนั้นที่แค่เห็นก็ง่วงนอนแล้วนี่ยังต้องมาอ่านอีก ไม่คิดเลยว่าการทะลุมิติเข้ามาจะต้องมานั่งลำบากลำบนเรียนอีก ดีนะเรียนการเขียนอ่านอักษรจีนโบราณมาตอนอยู่โลกก่อนไม่เช่นนั้นคงจับพู่กันวาดเขียนไม่ได้แน่ โลกปัจจุบันจับแต่ปากกา

ง่วงนอนชะมัดเลย!

ชิวฮุ่ยหมินวาดพู่กันลงบนแผ่นกระดาษเขียนอักษรด้วยลายมืองดงามในขณะที่หูก็ฟังเสียงหวานที่อ่อนแรงของเหรินฟางเซียนอ่านตำราให้ฟัง ที่บอกว่าอ่อนแรงเพราะเหมือนนางจะหลับกลางอากาศเสียให้ได้ไม่เข้าใจว่ามืดค่ำมั่วแต่ทำการอันใดถึงไม่หลับไม่นอนหรือไม่ใช่ว่าซุกซนออกไปเที่ยวเล่นยามราตรีหาความสำราญหรอกหรือ ดวงตาคู่คมเงยมองดวงหน้างดงามราวกับรูปปั้นเทพธิดาของสตรีน้อยเบื้องหน้า ริมฝีปากหยักได้รูปเอื้อนเอ่ยเสียงหวานออกมา

ความงามของเหรินฟางเซียนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วยุทธภพว่าฉายแววตั้งแต่เยาว์วัย ยิ่งโตก็ยิ่งชัดเจนว่านางงามเพริศพริ้งสมคำร่ำลือแต่เพราะไม่ค่อยได้ลงจากเขา ผู้คนเลยไม่ได้ยลโฉมงามของนางนัก หลันเฉินเซียวก็หวงศิษย์ผู้นี้ไม่น้อยไม่ยอมให้ลงเขา นอกจากงานชุมนุมเซียนหรืองานแข่งขันประชันฝีมือต่าง ๆ เดิมทีนางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่บิดามารดาตายในกองเพลิงสหายสนิทของเขาจึงรับมาอุปการะเพราะรู้สึกถูกชะตาได้เติบโตในสำนักนี้และต่อมาก็ยกน้ำชาฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างที่เห็นตอนนี้

“กลางค่ำกลางคืนเจ้ามัวแต่ทำอันใดไม่หลับนอนถึงได้อ่อนล้าเพลียแรงถึงเพียงนี้?”

“ข้าก็แค่นอนไม่หลับตามประสาวัยคึกคะนอง” นางหยุดอ่านตำราแล้วเงยหน้าสบตากับบุรุษรูปงามตรงหน้า ผมของเขายาวถึงกลางหลังสีออกน้ำตาลเข้มมากกว่าดำสนิทเงางามเหมือนเส้นไหม สวมกวานสีทองดูหรูหรา มีเสน่ห์ไม่น้อยเชียว มองมุมไหนก็งดงามจนไม่อยากจะละสายตา

“เจ้ายังต้องร่ำเรียน ฝึกฝนวิชาที่หนักเพื่อมุ่งหน้าสู่หนทางเซียน ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ไม่เช่นนั้นพลังปราณก็จะอ่อนแอตามร่างกายไปด้วย”

“ท่านว่าท่านพี่ลี่จูเป็นอย่างไรบ้าง?”

คำถามของเหรินฟางเซียนทำให้คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะเขากำลังเอ่ยอีกเรื่องกับนางอยู่แท้ ๆ อุตส่าห์เป็นห่วงพยายามจะพร่ำสอนจากหัวใจแต่ดันได้ความเมินเฉยกลับมา

“ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงถามเรื่องนี้?”

นางเผยยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาแวววาวทะเล้นยามจ้องผสานกับเจ้าหอสารทฤดู “ท่านประมุขข้ามองออกนะว่าท่านมีใจให้ท่านพี่ลี่จู”

“เรื่องแบบนี้หาใช่เรื่องที่เด็กอย่างเจ้าต้องสอดรู้ไม่”

“แหม ๆ นี่ท่านกำลังดึงหน้าวางมาดเพื่อกลบเกลื่อนสินะ” นางพูดหยอกเย้าเมื่อเห็นบุรุษตรงหน้าวางมาดนิ่ง ดึงหน้าเสียจนตึงเชียวเรียกว่าโบท็อกไม่ต้องเลยเพราะตึงเอง

“ดึงหน้า? วางมาด? มันหมายความเช่นใด?” แต่คำสมัยใหม่ที่เหรินฟางเซียนเอ่ยออกไปมันกลับทำให้ชิวฮุ่ยหมินไม่เข้าใจจนคิ้วทะนงขมวดนิ่ว

“ก็หมายความว่าท่านแสดงท่าทีเคร่งขรึมเหมือนไม่คิดอะไรเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกจริงในหัวใจไง”

นางรีบอธิบายออกไปด้วยรอยยิ้ม ตัวเองก็กำลังกลบเกลื่อนเหมือนกันนั่นแหละเผลอไม่ได้เชียวต้องหลุดคำสมัยใหม่ออกไปตลอด ครั้งนี้ยังโชคดีที่ชิวฮุ่ยหมินยอมเชื่อไม่คิดจะถามให้มากความอะไร

“ข้าจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ไม่ใช่การอันใดของเจ้า เอาเวลายุ่มย่ามเรื่องผู้อื่นมาตั้งใจร่ำเรียนดีกว่า แบบนั้นอาจารย์ของเจ้าคงภาคภูมิใจมากกว่า”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของผู้อาวุโสตรงหน้าก็ทำเอาเหรินฟางเซียนเบื่อหน่าย หมดคำจะพูด!นางเลยหยิบเอาตำราขึ้นมาบังใบหน้าของตนแล้วเริ่มเปล่งเสียงอ่านอีกครั้งเพื่อตัดบทสนทนาระหว่างนางกับเขาที่ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิดใจนัก

‘ชิวฮุ่ยหมินนะชิวฮุ่ยหมินท่านจะรู้หรือไม่ว่าฉากจบสุดท้ายของท่านคือ ความตาย! ที่ข้าพยายามทำอยู่นี้ก็เพื่อช่วยท่านให้หลุดพ้นจากชะตากรรมอันโหดร้ายเพราะเห็นอกเห็นใจ เห็นแก่ท่านที่แสนดีเหลือคณานับ แต่ตอนนี้สิกลับปฏิเสธไมตรีของข้าเสียได้ แล้วข้าจะเลือกอะไรได้บ้าง ใจตอนนี้ก็ไม่อยากจะช่วยแล้วอยากจะตัดหางปล่อยวัดไปเสีย จะตายห่าตายโหงก็เรื่องของท่าน! แต่มันดันติดตรงที่ว่าภารกิจของข้าคือท่านไง ถ้าข้าไม่ช่วยให้ท่านสมหวังก็จะไม่ได้ออกจากนิยายเล่มนี้ วิญญาณไม่ได้ไปสู่สุคติในโลกหน้า โลกปัจจุบันที่ข้าจากมา ข้าไม่อยากตายอยู่ในนี้หรอกนะเพราะไม่รู้ว่าตายในนิยายแล้ววิญญาณจะไปไหน’

ยามซวี [2]

ตลาดยามค่ำคืน

“ศิษย์พี่ใหญ่ข้าอยากกินน้ำตาลปั้น”

เหรินฟางเซียนรีบลากแขนลู่หลันฉิงให้เดินตามมายังร้านน้ำตาลปั้นหมายมั่นจะให้อีกฝ่ายจ่ายเงินให้นั่นแหละเพราะศิษย์พี่น่ะรวยจะตายออกปราบภูตผีได้เงินทองมาไม่น้อยแถมไม่ค่อยได้ใช้อีกด้วยเพราะอาหารการกินบนสำนักก็เป็นอาจารย์ที่ออกเงินซื้อข้าวของมา วันนี้อาจารย์สุดหล่อของนางก็พาเหล่าศิษย์ลงมาเดินเล่นที่ตลาดยามค่ำคืนเพื่อพักผ่อนจิตใจจากการฝึกฝนอันหนักหน่วง

แน่นอนว่านางตื่นเต้นมากเพราะอยากสัมผัสบรรยากาศตลาดยุคโบราณแบบในซีรีส์มานานแล้ว ของจริงสวยกว่าในฉากที่ถูกเซ็ตติ้งขึ้นมาเสียอีก ผู้คนมากหน้าหลายตา ได้เห็นอาภรณ์เครื่องประดับที่พวกเขาใส่แตกต่างกันไป สวยงามเหมือนลานแฟชั่นเลย

“เจ้าจะเอารูปอันใด?” ลู่หลันฉิงหันมาถามศิษย์น้องรักที่ตาเป็นประกายเชียวพอได้ออกมาท่องเที่ยว

เหรินฟางเซียนครุ่นคิดรูปที่อยากได้แต่ก็นึกไม่ออกเลยหันมองซ้ายมองขวาตอนนั้นสายตาก็ปะทะเข้ากับชิวฮุ่ยหมินที่กำลังนั่งอยู่บนโรงเตี๊ยมกับอาจารย์และเยี่ยนลี่จู ก็นึกขึ้นได้ว่านางตั้งฉายาให้พระรองผู้นี้ตอนอ่านนิยายว่า ‘ไอ้ลูกหมา’ แหม! ก็ตอนนั้นเป็นคนอ่านก็เลยตั้งด้วยความเอ็นดูรักใคร่ตามนิสัยของเขาที่ออกแนวจะซื่อสัตย์ภักดีต่อนางเอกมากประหนึ่งหมาที่กระดิกหางหาเจ้าของทุกวัน ถึงตอนนี้มันจะดูแปลก ๆ ก็เถอะที่เรียกอีกฝ่ายที่อาวุโสกว่าว่าลูกหมาเนี่ย

“ข้าเอารูปหมา หมาสีดำด้วย” นางกล่าวกับคนขายเพราะชิวฮุ่ยหมินมักชอบสวมใส่ชุดสีดำ

“หมาสีดำมันน่ากินตรงไหน?” ศิษย์พี่รองขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ก็ข้าชอบหนิ”

นางหันไปมองประมุขหอสารทฤดูที่อยู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมด้วยรอยยิ้ม แต่อีกฝ่ายก็หันมามองนางพอดีจนสองตาผสานกัน รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซียนหนุ่มจนเหรินฟางเซียนยืนนิ่งค้างเหมือนถูกสาป สมองกำลังประมวลผลด้วยสูตรคำนวณมากมาย

เอ๋?

เขายิ้มให้ข้าหรือ?

เอ๋? ไม่ใช่หรอกมั้ง

นางหันมองข้างหลังของตนก็ไม่พบผู้ใด ลองขยับตัวมาทางซ้ายสายตาคู่คมก็มองตาม งั้นลองขยับตัวทางขวาอีกฝ่ายก็ยังมองตามไม่ละสายตา ‘ชัดเจน!’ รอยยิ้มนั้นมันมอบให้นาง หญิงสาวถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลยรีบหันหลังให้ประมุขหอสารทฤดูพยายามตั้งสติด้วยการกำหนดลมหายใจให้มั่น สวรรค์นะสวรรค์นี่คิดจะกลั่นแกล้งนางจริง ๆ สินะ ทำไมอยู่ดี ๆ ชิวฮุ่ยหมินมายิ้มให้แบบนั้น ไม่หนำซ้ำนางขยับไปทางไหนก็มองตามเป็นเรดาร์ไปได้

ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!

-------------------------------------------------------

[1] ยามซื่อ (巳:sì) คือ 09.00 – 10.59 น.

[2] ยามซวี (戌:xū) คือ 19.00 – 20.59 น.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel