Chapter 3 : พระรองมาแล้ว!
Chapter 3
'พระรองมาแล้ว'
เหรินฟางเซียนเดินคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อเทียบเคียงกับในนิยาย เรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาก็ได้บทสรุปว่าช่วงเวลานี้น่าจะเป็นช่วงหลังจากที่นางตกลงไปในน้ำตกเจ็ดชั้นเพราะแก่นกะโหลกไปหน่อย อยากจะอวดเก่งอวดดีต่อหน้าศิษย์พี่ด้วยการไปเดินริมขอบน้ำตกแต่ดันพลาดเหยียบหินที่มีตะไคร่น้ำจนลื่นตกลงไป แม้แต่ศิษย์พี่ทั้งสามก็มาคว้าเอาไว้ไม่ทัน โชคดีที่พ่อพระรองคนอบอุ่นดั่งไมโครเวฟมาช่วยทันไม่งั้นคงได้ไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว
งั้นตอนนี้ก็น่าจะเป็นช่วงที่พระเอก พระรอง และนางเอกมาเจอกัน ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสักพักเพราะว่าชิวฮุ่ยหมินถูกอาจารย์ที่เป็นพระเอกขอให้มาสอนเรื่องการเขียนยันต์เพราะหอสารทฤดูเก่งเรื่องวาดยันต์ วาดวงเวทย์มาก วิชาออกจะกึ่งเซียนกึ่งมารด้วยซ้ำไปเลยต้องมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนและนั่นคือจุดเริ่มต้นรักสามเส้าที่สุดท้ายต้องมีคนเสียสละ
“ไม่ได้ จะให้มันเกิดแบบนั้นไม่ได้ พระรองต้องไม่ตาย!”
“ศิษย์น้องเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ว้าย!” เหรินฟางเซียนสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหน้าเพราะกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เมื่อมองไปก็พบว่าเป็นศิษย์พี่สามของตนที่มีนามว่า ‘ซานเว่ยตู’
“ศิษย์พี่สามท่านทำข้าตกใจจนใจหายแว๊บ”
“อะไรนะ เจ้าพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ อะไรคือหายแว๊บ?”
“อ๋อ ก็แบบหัวใจหายไปไง”
“หัวใจหายไปหรือ ห๊ะ!”
“อ๊ะ! ศิษย์พี่สามท่านทำอันใด?” นางร้องออกมาเสียงหลงเมื่ออยู่ดี ๆ ผู้เป็นศิษย์พี่ก็พุ่งตรงเข้ามาหาพร้อมคว้าข้อมือของนางไปตรวจจับตรงชีพจรด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ก็เจ้าบอกหัวใจหาย งั้นเจ้ามีชีวิตได้อย่างไร?”
ซานเว่ยตูยังคงพยายามตรวจจับชีพจรและลมปราณของศิษย์ผู้น้องด้วยความตื่นตระหนกเพราะกลัวว่านางจะตายเสียแล้วและไม่รู้ตัวเป็นวิญญาณเดินไปเดินมา
“หะ… หาไม่ศิษย์พี่สาม ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น หัวใจข้า หัวใจข้ายังอยู่ดี”
นางรีบคว้ามือของศิษย์พี่สามขึ้นมาวางบนหน้าอกของตัวเองอย่างลืมตัวเพื่อให้สัมผัสการเต้นของหัวใจที่ยังคงมีอยู่ แต่นั่นกลับทำให้ซานเว่ยตูตกใจรีบกระโดดตัวลอยถอยหลังออกไป ใบหน้าซีดเผือดเหงื่อแตกพลั่ก
“ศิษย์พี่ท่านเป็นอันใด มีอะไรในตัวข้าแปลกไปหรือ หรือว่า หรือว่าหัวใจข้าไม่เต้น!” เมื่อเห็นท่าทางของศิษย์พี่นางเองก็ตกใจจนต้องรีบกุมหน้าอกตัวเองเอาไว้แน่น
“เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้าศิษย์น้องสี่”
“ทำ? ข้าทำอันใด อ๋อ ข้าก็จะให้ท่านจับหัวใจของข้าไงจะได้รู้ว่าหัวใจข้ายังเต้นอยู่ ข้ายังไม่ตาย ไม่ใช่ผีหรือวิญญาณอะไรทั้งนั้น ข้ายังหายใจด้วยถ้าท่านไม่มั่นใจมาจับอีกรอบก็ได้”
เหรินฟางเซียนไม่พูดเปล่ายังแอ่นหน้าอกนูนใส่ซานเว่ยตูด้วยจนศิษย์พี่สามลมแทบจับรีบก้าวถอยหลังหนีอย่างกับนางเป็นผีร้าย
“ไร้ยางอาย”
“ห๊ะ?” เสียงเข้มที่ออกจะดุดันดังขึ้นด้านข้างจนศิษย์ซูเซียวซานทั้งสองหันไปมอง คิ้วโก่งขมวดเข้าหากัน ดวงตาดอกท้อหรี่ลงจ้องมองคนตรงหน้าที่ปรากฏตัวพร้อมฉากหลังที่เป็นแสงอาทิตย์อันเจิดจรัส เปิดตัวมาแบบนี้คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากชิวฮุ่ยหมินพระรองผู้แสนดี อบอุ่น ดั่งไมโครเวฟจนอยากจะจับตัวเองเข้าไปเวฟ
แต่เดี๋ยวนะ… เมื่อครู่เขาด่านางว่าไร้ยางอายหรือ?
“ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?” นางเปล่งเสียงถามออกไปอย่างกล้าหาญจนศิษย์พี่สามต้องรีบพุ่งตัวเข้ามาหาแล้วดันหัวของนางให้ก้มลงเพื่อคำนับอาจารย์คนใหม่
“คารวะท่านอาจารย์ชิว” ซานเว่ยตูยกมือขึ้นประสานกันเพื่อโค้งคำนับผู้อาวุโสตรงหน้าเช่นเดียวกับเหรินฟางเซียนที่ไม่มีทางเลือกเพราะโดนศิษย์พี่สามกดหัวจนหน้าแทบทิ่มเลยต้องจำใจคารวะคนที่เพิ่งด่านางว่าไร้ยางอาย
“เรียกข้าประมุขชิวเถิด ข้าแค่มาสอนพวกเจ้าชั่วคราว”
ชิวฮุ่ยหมินเอ่ยเสียงเรียบ ท่าทางสุขุมในแบบของเขา มันไม่ได้ดูอ่อนโยนแต่กลับดูสง่างามดูสูงส่งเหมือนเทพเซียนเสียมากกว่า
หยิ่งยโส โอหัง!
เหรินฟางเซียนอดจะเบะปากไม่ได้ แต่สายตาอันเฉียบคมของชิวฮุ่ยหมินก็ตวัดมองมา “ปากเจ้าเป็นอันใด?”
“ข้าเพิ่งฟื้นเส้นเลยอาจจะกระตุกเพราะไม่ได้ขยับหน้าขยับปากมานาน” นางหันไปตอบประมุขชิวด้วยท่าทีเรียบเฉย วางมาดมาก็วางมาดกลับไม่โกงอยู่แล้ว ไอ้เรื่องดึงหน้าเนี่ยถนัดนักแหละ
“หึ!” อีกฝ่ายเพียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มเล็กน้อย
“งั้นข้าจะพาประมุขชิวไปพบท่านอาจารย์เอง” เหรินฟางเซียนขยับตัวถอยหนึ่งก้าวแล้วผายมือเชื้อเชิญผู้อาวุโสให้เดินนำไปก่อน
ประมุขแห่งหอสารทฤดูเดินนำออกมาโดยมีหญิงสาวเดินตามมาด้านหลังเพราะรู้ดีว่าผู้น้อยไม่อาจจะเดินเทียบเคียงผู้อาวุโสได้ ในเมื่อต้องอยู่ในร่างนี้ก็ต้องทำตัวเป็นผู้ฝึกตนที่ดีเสียหน่อยเดี๋ยวเขาจะตำหนิติเตียนถึงอาจารย์ ศิษย์แย่ผู้ใดเล่าจะโดนร่างแหไปด้วยก็ไม่พ้นสำนักและอาจารย์ที่สอนสั่งมา ด้วยความที่คิดอะไรเพลินไปหน่อยไม่ทันได้ระมัดระวังเหรินฟางเซียนเลยไม่รู้ว่าในตอนนี้ชิวฮุ่ยหมินหยุดฝีเท้าลงแล้วและหันมาหานางกว่าจะรู้ตัวนางก็ชนเข้ากับอกกว้างเต็ม ๆ จนเกือบหงายหลังโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่แน่ใจที่วงแขนใหญ่ของประมุขชิวคว้าเอวดึงตัวไว้ได้ทัน
“ว้าย!”
เสียงหวานร้องอุทานออกมาพร้อมหลับตาปี๋เตรียมรับแรงกระแทกแต่ก็ไม่เป็นดังนั้นกลับสัมผัสได้ถึงท่อนแขนใหญ่ที่โอบรัดเอวแทนด้วยความตกใจจึงรีบกระโดดออกจากอ้อมแขนของประมุขหอสารทฤดูทันที
“ข้าขออภัยท่านประมุขเจ้าค่ะ” นางรีบโค้งคำนับอีกฝ่ายเมื่อล่วงเกินเข้าแล้ว
“เจ้าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ประสาอะไรกับอีแค่จะหกล้มยังยันตัวไว้ไม่ได้” เสียงดุดันว่ากล่าวออกมาจนเหรินฟางเซียนที่ก้มหน้าอยู่เบะปากขึ้นอีกครั้งแต่พอเงยหน้ามองกลับแย้มยิ้มหวานให้ผู้อาวุโสตรงหน้าแทน
“ก็ข้าเพิ่งฟื้น ร่างกายยังไม่เข้าที่เข้าทาง ท่านประมุขโปรดเข้าใจด้วย”
“ช่างเถิด รีบไป”
เออ! ก็รีบไงแล้วจะหยุดเพื่อ?
นางได้แต่กู่ร้องในใจอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมประมุขหอสารทฤดูผู้นี้จะต้องหยุดแล้วหันหลังมาหาด้วยจนชนเข้าให้ แต่จะว่าไปอกก็กว้างดีนะเนี่ย เพียงนิดที่สัมผัสก็ปลุกไฟในตัวให้ลุกโชน เนี่ย! ไมโครเวฟเคลื่อนที่ขนาดนี้ทำไมนางเอกอย่างเยี่ยนลี่จูถึงไม่ชอบนะ ออกจะดีงาม
“เจ้ามาแล้ว” หลันเฉินเซียวที่กำลังยืนมองดอกไม้อยู่หันกลับมายิ้มให้สหายคนสนิท
“ท่านพี่เฉินเซียว!”
เสียงหวานดังขึ้นแทรกจนเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมอง เยี่ยนลี่จูกำลังวิ่งเข้ามาหาหลันเฉินเซียวด้วยรอยยิ้ม ภาพนี้มัน! เหรินฟางเซียนเบิกตากว้างในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหนึ่งในฉากที่จะสานสัมพันธ์รักของพระเอกและนางเอกคือฉากนี้ ฉากที่เยี่ยนลี่จูวิ่งมาแล้วนางจะต้องสะดุดล้มเข้าไปในอ้อมแขนของหลันเฉินเซียวสบตากันปิ๊ง ๆ จุดเริ่มต้นของดอกรักที่เบ่งบาน
ไม่ได้การ! นางจะต้องขัดขวางไม่ให้มันเกิดขึ้น!
เพราะนางเอกต้องเป็นของพระรองเท่านั้น!
“ท่านพี่ลี่จูท่านอย่าวิ่งสิ เดี๋ยวก็ล้มหรอก!” เหรินฟางเซียนตะโกนออกไปพร้อมทั้งรีบพุ่งตัวหมายจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างพระนางเพราะจังหวะที่เยี่ยนลี่จูล้มนางจะได้รับอีกฝ่ายไว้เอง
แต่ใครมันจะไปคิดว่าคนที่จะสะดุดล้มดันเป็นนางเองที่รีบร้อนจนไม่ได้ดูตาม้าตาเรือปลายเท้าจึงสะดุดเข้ากับพื้นต่างระดับตรงหน้า ร่างกายหมุนโค้งโอนเอนเตรียมหน้าจะทิ่ม เสียงร้องหลงของเยี่ยนลี่จูและหลันเฉินเซียวดังขึ้นด้วยท่าทีตื่นตระหนก ทุกคนต่างเหมือนจะพุ่งตัวเข้ามารับนางแบบพร้อมเพรียงใจก่อนที่ร่างกายจะถูกท่อนแขนใหญ่ของใครบางคนโอบรัดเอวและกระชับเข้าสู่อ้อมแขนอย่างรวดเร็ว
ต้องเป็นท่านอาจารย์แน่นอน ท่านคงไม่ปล่อยให้ศิษย์เยี่ยงนางหกล้มหน้าทิ่มพื้นหรอก! เปลือกตาสวยลืมขึ้นกะพริบตาเล็กน้อยเพื่อให้ภาพตรงหน้าชัดเจน แต่รอยยิ้มก็หุบลงเหลือเพียงใบหน้าฉงนสงสัย
เอ๋?
นางหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะส่ายหัวแล้วลืมตามองอีกรอบแต่ภาพตรงหน้าก็ยังคงเป็น ชิวฮุ่ยหมิน ดะ... เดี๋ยวนะ! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ นี่มันบทอะไรกัน นางต้องอยู่ในอ้อมแขนอาจารย์แทนเยี่ยนลี่จูสิ ข้าเป็นลมได้ไหม? ไม่ได้อีกถ้าเป็นลมจะต้องโดนอุ้มแทนเป็นแน่ อดทนไว้เหรินฟางเซียน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
จังหวะนรกชัด ๆ!
“เจ้าจะยืนเองได้หรือยัง?” เสียงเข้มดังขึ้นจากคนที่โอบกอดนางเอาไว้
“อะ… เออ อะไรเนี่ย!”
เสียงหวานอุทานออกไปอย่างหงุดหงิดก่อนจะผละตัวออกมาจากอ้อมแขนใหญ่ ไม่มีคำกล่าวใด ๆ อีกแม้แต่คำลา นางเลือกจะสับขาวิ่งหนีออกมาในทันที วิ่งแบบไม่สนใจเสียงของผู้ใดทั้งนั้น ทำไมบทมันถึงผิดเพี้ยนแบบนี้ ทำไมเป็นนางที่ตกไปอยู่ในอ้อมแขนของชิวฮุ่ยหมิน ไม่สิ! นี่มันต้องจังหวะผิดใจไม่ใช่หรือ จังหวะที่นางร้ายแบบนางหมุนควงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนพระเอกต่อหน้านางเอกแทนสิ อยากจะสร้างจังหวะร้าวฉาน
แต่ทำไมกลายเป็นนางที่เหมือนจะร้าวฉานเสียเอง!
“สวรรค์กลั่นแกล้งข้าแล้ว ข้าจะเผาศาลพวกท่านคอยดู!”
