บทที่ 22
“อยากได้ผ้าเนื้อดีสำหรับตัดตู้โตวให้กับคนรักของข้า เจ้ายังคิดอยากจะช่วยหรือไม่” คำตอบของเฉินฟาหยางทำให้คุณหนูนางนั้นแทบกระอักเลือด แต่นั่นยังน้อยนักหากเทียบกับสายตาเย็นชาที่กวาดมองโดยรอบ ทำเอาเหล่าสาวงามต่างพากันก้มหน้า ที่เลือกผ้าอยู่ก็เปลี่ยนใจไม่เลือกแล้ว ส่วนที่เลือกได้แล้วก็รีบจ่ายเงินก่อนออกจากร้านไป
หลี่จินหมิงที่เพิ่งมาถึงเห็นคุณหนูหลายนางออกจากร้านอย่างพร้อมเพรียงกันก็ให้เกิดความสงสัย แต่พอเห็นว่าผู้ใดอยู่ในร้านก็ถึงกับส่ายหน้า ทราบดีแล้วว่าตวนอ๋องเฉินฟาหยางใช้ความเย็นชาปานน้ำแข็ง ไล่เตะพวกนางเสียจนกระเด็น
“ท่านทำให้ข้าเสียลูกค้า เรื่องนี้เห็นทีต้องชดใช้ ปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด”
“พวกนางน่ารำคาญ มองอยู่ได้ ไม่เคยเห็นบุรุษหรืออย่างไร”
“บุรุษในเมืองนี้เดิมทีงามที่สุดเห็นจะเป็นข้า แต่อย่างไรก็พ่ายแพ้ให้กับศิษย์พี่ใหญ่ คงต้องรออีกยี่สิบปี ให้ผมท่านกลายเป็นสีขาว ข้าค่อยกล้าพูดว่าตัวเองรูปงามที่สุดอีกครั้ง ถึงวันนั้นเหล่าสาวงามคงไม่จ้องมองให้ท่านต้องลำบากใจแล้ว”
หลี่จินหมิงหยอกล้อตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์ เผื่อว่าจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ลืมนึกไปว่าเรื่องอายุที่แตกต่างกันหลายปี อาจทำให้อีกฝ่ายกังวลจนโทสะพุ่งสูงเสียยิ่งกว่าเดิม
“ต่อให้ผมข้าขาวโพลนทั่วศีรษะ เจ้าก็ยังไม่มีวันเอาชนะได้อยู่ดี!”
“ฮ่า ฮ่า ถึงเวลานั้นเราค่อยมาว่ากันอีกครั้งเถิด ว่าแต่ท่านมีธุระอันใด อยากตัดเสื้อผ้าใหม่หรือ” หลี่จินหมิงยังคงไม่รู้ตัวว่าได้ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ เร่งสอบถามเอาความเผื่อว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกอันใดได้บ้าง
“ถูกต้อง อยากได้ผ้าไหมที่ดีที่สุดสำหรับตัดเสื้อให้ซือชิง ข้าไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผาเช่นเจ้า เสื้อตัวในรวมถึงตู้โตวของนางล้วนแต่ฉีกขาดไปหมดแล้ว”
“นี่ท่าน! เหตุใดจึงพูดจาหน้าไม่อายเช่นนี้ มิห่วงชื่อเสียงนางบ้างหรือ!”
“นางเป็นสตรีของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องออกความเห็น ทำเพียงจัดเตรียมข้าวของให้นางโดยเร็ว ยามค่ำคืนจะได้ไม่หนาวเนื้อจนเกินไปนัก จริงสิ ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจำหน่ายสมุนไพรด้วยหรือไม่ หากไม่รบกวนจนเกินไป ช่วยหาขี้ผึ้งให้ข้าสักสี่ห้าตลับ คราวก่อนนางเจ็บช้ำไปหลายวัน กว่าจะเดินเหินสะดวกต้องใช้เวลา...”
“พอได้แล้ว! ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดท่านจึงพูดจาทำลายเกียรตินาง ทำร้ายจิตใจข้า มิใช่ว่าข้าสัญญาแล้วหรือว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว มิใช่ท่านสัญญาแล้วหรือว่าจะดูแลนางให้ดี!”
ได้ยินคำถามเช่นนั้นแล้ว เฉินฟาหยางก็พลันได้สติ ทว่ายังเชิดหน้าสูง ไม่ใส่ใจคำตัดพ้อต่อว่าของบุรุษที่เยาว์วัยกว่า
เหตุใดเขาจึงกลายเป็นบุรุษที่ควบคุมอารมณ์ของตนมิได้เล่า!
เสียงตวาดของคุณชายหลี่จินหมิงเรียกความสนใจของสตรีที่เพิ่งวัดสัดส่วนรูปร่างแล้วเสร็จได้เป็นอย่างดี นางเดาได้ว่าทั้งคู่มีปากเสียงกัน แต่ในเมื่อตนเรียกได้ว่าเป็นคนนอก ออกความเห็นอันใดไปคงไม่เหมาะ อีกอย่างคือนางไม่ทราบว่าสองบุรุษทะเลาะกันเพราะเรื่องใดแน่
“คุณชายหลี่สบายดีหรือไม่เจ้าคะ” เสวียนซือชิงทักทายตามมารยาท สังเกตเห็นชัดว่าบุรุษที่มากับนาง กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว เส้นเลือดปูดโปน มองดูหน้าแล้วเย็นชาเสียยิ่งกว่าทุกวัน
“ข้าสบายดี แล้วคุณหนูเสวียนเล่า สบายดีหรือไม่”
“สบายดีเจ้าค่ะ คุณชายเฉินดูแลข้าเป็นอย่างดี วันนี้ก็พามาเที่ยวตลาด จึงหายเหงาไปได้บ้าง นี่ก็กำลังคิดว่าจะไปซื้อน้ำเต้าหู้ร้านโปรดเจ้าค่ะ” เมื่อเห็น ว่ามือหนาของคุณชายคลายความแน่นลง เสวียนซือชิงจึงเข้าใจว่าต้องยิ้มหวานให้มาก เขาจึงจะกลับมาอารมณ์ดีดังเดิม
เสวียนซือชิงมิทราบว่าคุณชายเฉินหยางมักแสดงสีหน้าเรียบเฉยและจะยิ้มก็ต่อเมื่อเห็นหน้านางเท่านั้น
“เจ้าวัดตัวเสร็จแล้วก็ดี เมื่อครู่คุณชายหลี่กล่าวว่าต้องการให้สองสาวใช้อยู่ประจำที่บ้านเรา อ้างว่ากลัวคนของตวนอ๋องต้องลำบากทำงานหนัก ข้าเองก็เห็นด้วยเพราะไม่อยากให้เจ้าเหนื่อยจนเกินไป ส่วนเรื่องน้ำเต้าหู้ ข้ามิค่อยชอบ แต่ยืนรอเป็นเพื่อนเจ้าได้”
เฉินฟาหยางทอดมองนางด้วยสายตาที่อธิบายได้ยาก ทว่าหลี่จินหมิง ย่อมทราบดีว่าศิษย์พี่ของเขากำลังคิดเรื่องไม่ดี แต่การขอสองสาวใช้ให้อยู่ประจำที่บ้าน ย่อมเป็นเพราะต้องการดูแลเสวียนซือชิงมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเขาจึงยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล่า
“เช่นนั้นเสร็จจากซื้อน้ำเต้าหู้แล้ว ท่านพี่อยากเดินดูสินค้าที่ใดต่อหรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานออดอ้อนของเสวียนซือชิงทำให้บรรยากาศดีขึ้น ความมืดหม่นที่แผ่กระจายโดยรอบหายไปทันตาเห็น
หากหลี่จินหมิงตาไม่ฝาด เขามั่นใจว่าชั่วหนึ่งจิบน้ำชานั้นได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของตวนอ๋อง และรอยยิ้มนั้นมิใช่รอยยิ้มที่สตรีใดในใต้หล้าเคยได้เห็นมาก่อน กระทั่งศิษย์น้องคนโปรดอย่างตัวเขาเองก็มิเคยได้รับมันเช่นกัน
“ซือชิง เราไปนั่งดูละครที่โรงน้ำชาดีหรือไม่ หรือเจ้าอยากเลือกด้ายสำหรับปักผ้า ข้าจะได้ช่วยดู”
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางกล่าวต่อพระชายาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คนรอบข้างได้ยินแล้วลุ่มหลงคล้ายตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แม้กระทั่งบุรุษที่ไม่สบายใจอย่างมากยังเผลอไผลคลายความกังวล
หลี่จินหมิงเคยเห็นบุรุษตรงหน้าออดอ้อนสตรีให้ตกหลุมพรางอยู่บ้าง ย่อมแยกแยะได้ว่าประโยคที่เอ่ยคือความสัตย์จริงหรือแค่หลอกลวงให้เชื่อฟัง
ปรากฏว่าความห่วงใยที่ฉายออกมาจากดวงตาของตวนอ๋องเฉินฟาหยาง จริงใจมากกว่านั้นไม่ได้แล้ว
