บทที่ 14
เสวียนซือชิงดวงหน้าแดงจัดราวกับดอกเหมยกุ้ย ยามแรกแย้ม นางอายุได้สิบแปดปีแล้ว ทว่าหลังจากพิธีปักปิ่นก็แทบมิได้สนทนากับบุรุษใด กระทั่งคุณชายหลี่ที่คอยให้ความช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนสินค้ากันหลายหน แวะเวียนมาดูแลการซ่อมบำรุงตำหนักตามคำสั่งของตวนอ๋อง ยังมิเคยพูดจาให้นางต้องอึดอัดมากมายถึงเพียงนี้
มิแน่ใจว่ายามที่คุณชายเฉินหยางเอ่ยถ้อยความเหล่านั้น มีผู้ใดได้ยินบ้าง แต่อย่างน้อยคุณชายหลี่ย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้น เขาคือคนสนิทของตวนอ๋อง รวมถึงบุรุษผู้นั้นด้วย จึงเป็นไปได้ว่าเรื่องที่ตำหนักเยว่ฉีและตัวนางถูกยกให้กับผู้อื่น เขาอาจทราบเรื่องด้วยเช่นกัน
ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว นางยังจะกล้ามองหน้าผู้ใดอยู่อีกหรือ
หลังจากข่มความอดสู กล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคอได้แล้ว เสวียนซือชิงก็มาถึงตำหนักเยว่ฉี และเอ่ยลาคนงานที่เฝ้าตำหนักอย่างมีมารยาท
พอได้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง จิตใจที่ฝืนเข้มแข็งมาโดยตลอดก็พลันอ่อนแอ นางเร่งเดินไปยังหลังตำหนัก เผื่อว่าความงดงามของแปลงดอกไม้จะทำให้อารมณ์หมองเศร้าดีขึ้นมาบ้าง
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!” เจ้าของเรือนร่างบอบบางรีบวิ่งตามคนงานทั้งสอง ร้องถามว่าเหตุใดจึงถอนทำลายดอกไม้ที่ปลูกไว้จนไม่เหลือเลยสักต้น นางได้รับคำตอบกลับมาว่า คุณชายผู้อ้างตนว่าเป็นเจ้าของบ้าน กล่าวว่าไม่ชอบกลิ่นของดอกโมลี่ฮวา ทั้งยังสั่งให้ลงต้นเหมยกุ้ยในภายหลัง
จากที่เสียใจอยู่แล้วก็อาการหนักยิ่งกว่าเดิม แม้ยังควบคุมตนเองมิให้ร้องไห้ได้ ทว่าดวงตากลมโตกลับแดงก่ำ สองมือเรียวเล็กเปรอะเปื้อนดินสีดำ พยายามเก็บดอกไม้สีขาวสะอาดลงตะกร้าใบเล็ก แม้จะไม่สามารถปลูกดอกไม้ที่บิดาชื่นชอบได้แล้ว แต่นางก็ยังอยากจะเก็บมันไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสวียนซือชิงจำได้ดีถึงวันที่ทหารคนสนิทของบิดา ลอบพานางไปยังคุกหลวงอันเป็นสถานที่กักขังรองแม่ทัพเสวียนซือเหยา ยามนั้นนางอายุเพียงสิบห้าปีก็ได้รับข่าวร้าย ว่าบิดากำลังรอรับโอสถพิษพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ แต่หากพูดตามความจริงแล้ว โทษของบิดานางหนักกว่านั้นมาก ทว่าองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝูยืนยันว่าอย่างไรรองแม่ทัพเสวียนก็เป็นที่ปรึกษาที่ดี ทั้งยังช่วยชีวิตขององค์ชายทั้งสามไว้หลายหน เรื่องตัดสินใจผิดพลาดจนก่อให้เกิดความสูญเสียนั้นเป็นเหตุสุดวิสัยโดยแท้
‘ตวนอ๋องแม้มีท่าทีเย็นชาคล้ายบุรุษไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก แต่แท้จริงแล้วใจอ่อนอย่างมาก หากมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เจ้าจงใช้ความดีเอาชนะใจ และหากไม่อับจนหนทาง จงจำไว้ว่าห้ามหย่าขาดจากตวนอ๋องเฉินฟาหยางโดยเด็ดขาด’
‘แล้วหากอับจนหนทางล่ะเจ้าคะ’
‘หากรู้สึกว่าหัวใจเจ็บเกินทน เจ้าก็มิจำเป็นต้องทน’
‘ท่านพ่อ แล้วเหตุใดข้าจึงต้องอดทนล่ะเจ้าคะ’
‘ตวนอ๋องไม่ผิดในเรื่องนี้ ทั้งยังต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะพ่อเป็นเหตุ หากทำอันใดให้เขาพึงพอใจได้ก็จงทำ ซือชิง เมื่อพ่อจากไปแล้ว เจ้าจงอดทนให้มาก เข้มแข็งให้มาก สัญญากับพ่อได้หรือไม่’
‘เจ้าค่ะ ท่านพ่อ’
หัวใจเจ็บเกินทนคือความรู้สึกเช่นไร เสวียนซือชิงยังมิค่อยเข้าใจนัก แต่หากทนไม่ไหววันใด นางคงจะทราบเอง และในเมื่อการทำตามความต้องการของตวนอ๋องคือความปรารถนาของท่านพ่อ นางก็จะปฏิบัติตามอย่างสุดความสามารถ แต่กระนั้นเสวียนซือชิงก็ยังคงภาวนา ให้คุณชายเฉินหยางมิได้กลับมาพร้อมกับหลักฐานสำคัญ
หลังจากนั่งเหม่อลอยอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม บุรุษที่นางไม่ปรารถนาจะพบหน้ามากที่สุดก็ปรากฏตัวที่หน้าตำหนักเยว่ฉี เขามิได้มาตามลำพัง แต่พาสาวใช้ทั้งสองของคุณชายหลี่มาด้วย นอกจากนั้นยังมีคนงานรูปร่างกำยำอีกสองคน
“นั่นท่านจะทำอะไร!”
ป้ายชื่อของตำหนักเยว่ฉีถูกปลดลงอย่างรวดเร็ว นางยังพูดมิทันจบประโยคเสียด้วยซ้ำ
“ดูเหมือนเจ้าจะทำให้ศิษย์ผู้น้องของตวนอ๋อง หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว จินหมิงยืนยันว่ายามกลางวัน ให้สาวใช้ของเขาแวะเวียนมาช่วยดูแลทำงานหนัก คนงานสองคนนั้นก็เช่นกัน”
