บทที่ 12
มากกว่าสิบปีที่เฉินฟาหยางรู้จักคุณชายสกุลหลี่ เขาเห็นหนุ่มน้อยผู้นี้มีโทสะแทบนับครั้งได้ แต่ทุกครั้งที่เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมักเป็นเรื่องสำคัญ เช่นยามที่เขาคัดค้านไม่เห็นด้วยกับองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝู เรื่องละเว้นโทษตายต่อคนสกุลเสวียน ทำเพียงการยึดทรัพย์เข้าท้องพระคลังเท่านั้น
หลี่จินหมิงกล่าวว่ารองแม่ทัพเสวียนตัดสินใจผิดพลาดก็จริง แต่องค์ชายทั้งสามก็อยู่ที่นั่นด้วย ย่อมต้องรับผิดชอบทุกอย่างเท่าเทียมกัน
จำได้ว่าปีนั้นคือครั้งแรกที่เขาทะเลาะกับศิษย์น้องรุนแรง แม้จะมีโอกาสปรับความเข้าใจในภายหลัง แต่เรื่องราวในวันนั้นทั้งเฉินฟาหยางและหลี่จินหมิงยังจำได้ไม่เคยลืม
เมื่อมีเหตุให้คล้ายต้องทะเลาะกันใหม่ ทั้งสาเหตุยังเป็นสตรี สองบุรุษจึงต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด เร่งใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ที่กำลังปะทุอย่างบ้าคลั่งภายในใจ
หลี่จินหมิงตระหนักดีว่าตวนอ๋องเลื่องชื่อมิอยากเปิดเผยตัวตน จึงเชื้อเชิญให้ติดตามสาวใช้ทั้งสองกลับไปดื่มน้ำชารอที่บ้าน ส่วนตนเองขอทำธุระที่ร้านให้เรียบร้อยแล้วจะตามไปในภายหลัง
เฉินฟาหยางไม่ขัดข้องอันใด ด้วยรู้ว่าศิษย์น้องเพียงต้องการเวลาเพื่อสงบสติอารมณ์ ตรึกตรองเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อกลั่นกรองคำพูดออกมาให้ฟังดูแล้วถนอมน้ำใจกันอย่างที่สุด
ในระหว่างจิบน้ำชาอยู่นั้น เขาก็รำลึกถึงโฉมงามจากต่างแคว้นที่นับวันคล้ายเอาแต่ใจมากขึ้นทุกที องค์หญิงไป๋ซู่หลินประชดประชันอย่างมีจริต เมื่อทราบว่าเขากลับมามือเปล่า หาได้มีดอกไม้ที่นางต้องการติดมาด้วย ทั้งยังโอดครวญว่าไม่อยากถือศีลในวัดตามคำสั่งของพระบิดา กล่าวว่าต้องการแต่งงานเข้าจวนของตวนอ๋องในเร็ววัน
แม้ใจเขาอยากทำตามคำขอของโฉมงาม แต่หนังสือหย่าขาดจากบุตรสาวรองแม่ทัพเสวียนยังมิได้ลงนาม ทั้งฮ่องเต้ต่างแคว้นยังกล่าวกำชับเอาไว้ก่อนเดินทางด้วยว่า ให้องค์หญิงไป๋ซู่หลินไว้อาลัยให้กับมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นเวลาครึ่งปี แล้วค่อยคิดถึงเรื่องมงคลในภายหลัง
เรื่องธรรมเนียมการไว้ทุกข์มิใช่เรื่องล้อเล่น เฉินฟาหยางจำต้องปลอบโยนนางว่าช่วงเวลาเพียงหกเดือนนั้นผ่านไปรวดเร็วดั่งสายน้ำไหล เขากอดจูบนางหลายครั้ง แต่กลับไม่ตื่นเต้นอย่างที่เคยเป็นมาตลอดการเดินทาง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเห็นองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝูออกจากกระโจมที่พักของนางกลางดึก หรือเพราะนึกถึงดวงตากลมโตที่มีหยาดน้ำสีใสของเสวียนซือชิง
หลังจากกลับจวนแล้ว เขาได้เรียกอนุภรรยามาปรนนิบัติอย่างที่เคยทำทุกค่ำคืน ทว่าทำแล้วกลับรู้สึกว่ายังไม่อิ่ม กระทั่งเรียกเหล่านางคณิกาที่งามที่สุดในเมืองหลวงมาถึงสามนาง ตักตวงและทำทุกอย่างจนพวกนางตื่นกลัวแทบร้องไห้ เฉินฟาหยางก็ยังรู้สึกว่ายังขาดอะไรไป
แต่พอได้เห็นเสวียนซือชิงยืนทำหน้าเศร้าอยู่ในร้านเถ้าแก่เนี้ยเจียง บุรุษไร้หัวใจก็พลันรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายนั้นกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ยิ่งเห็นว่าศิษย์น้องคนโปรดยิ้มกว้างให้กับนาง ก้อนเนื้อทรยศนั่นยิ่งบีบรัดจนแทบเรียกได้ว่าเจ็บปวด ราวกับต้องอาวุธร้ายของศัตรูมิผิดเพี้ยน
“ชาอู่หลงนั่นได้มาจากทางเหนือ หวังว่ารสชาติจะดีพอสำหรับท่าน”
หลี่จินหมิงกลับมามีรอยยิ้มประดับดวงหน้าดังเดิมแล้ว แม้ดูฝืนใจไปบ้าง ทว่ายังดีกว่าบึ้งตึงจนไม่น่าสนทนาด้วย
“ชาดี อย่าลืมให้คนส่งไปที่ตำหนักด้วยเล่า”
“ข้าว่าเราควรสนทนากันให้เข้าใจ โยกโย้ไปก็มีแต่เสียเวลาเปล่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่”
“ย่อมต้องเห็นด้วย มีสิ่งเดียวที่ไม่เห็นด้วยคือเรื่องที่เจ้าวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของข้า” เฉินฟาหยางเห็นศิษย์น้องเดี๋ยวกำหมัด เดี๋ยวคลายออกอยู่หลายหน แม้เจ้าตัวจะแสดงทีท่าว่าไม่ได้โกรธเคืองแล้วก็ตามที
“หากเห็นว่าข้ายังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีมาแต่เดิม ท่านโปรดตอบมาตามตรงเถิดว่าเหตุใดจึงกลับมาที่นี่ เหตุใดจึงให้ความสนใจต่อนาง”
“เรื่องนี้ตอบไม่ยาก ความจริงข้าลืมไปแล้วว่ามีนาง หากซวี่หยาม้าศึกของข้ามิเกิดอาการตกใจจนทิ้งนายไว้หน้าตำหนักเยว่ฉี ข้าคงลืมไปแล้วว่าตนเองมีเจ้าสาวที่ยังไม่ได้ร่วมหออยู่ที่นั่น”
“ท่านลืมนางจริงหรือ มิใช่คับแค้นรองแม่ทัพเสวียนจนอยากกลั่นแกล้งนางหรอกหรือ”
“หลี่จินหมิง นี่เจ้าคิดว่าข้าแยกแยะไม่ได้ถึงเพียงนั้นเลยหรือ เอาเถิด ในเมื่อเจ้ากล้าถาม ข้าก็จะตอบตามตรง ปีแรกอาจมีขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่านางอยู่อย่างลำบาก จึงตระหนักได้ว่าละเลยนางมากเกินไป และถึงเวลาแล้วที่ต้องทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ส่วนเรื่องวันนั้นที่พูดจาไม่ดี แกล้งเจ้าไปก็เพราะรู้สึกไม่พอใจที่ศิษย์น้องหมายปองสตรีของตน แต่เรื่องน่าโมโหเช่นนั้น เจ้าโทษข้าได้ด้วยหรือ”
เฉินฟาหยางกล่าวด้วยว่าตั้งใจจะอยู่ที่นี่ราวหกเดือน โดยอ้างว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี ปราศจากศึกสงคราม ทั้ง ๆ ที่ความจริงมีแผนร้ายต้องจัดการ ระหว่างรอเวลาให้องค์หญิงต่างแคว้น ออกจากการถือศีลไว้อาลัยให้กับมารดาของนางเท่านั้น
“เรื่องข้าหมายปองนางอยู่นั้น ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าหลี่จินหมิงเคารพธรรมเนียมประเพณี รักหยกถนอมบุปผา ไม่มีทางทำเรื่องอันใดให้คุณหนูเสวียนต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน”
“หากไม่เห็นดวงตาเจ้ายามจ้องมองนาง ข้าคงสบายใจกว่านี้มาก จินหมิง เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นบุรุษที่หวงของอย่างมาก ย่อมไม่พอใจที่เจ้ามองนางเช่นนั้น”
“ศิษย์พี่ใหญ่โปรดระวังคำพูด เปรียบเทียบคุณหนูเสวียนว่าเป็นสิ่งของ หาใช่เรื่องที่บุรุษสมควรกระทำไม่”
“หลี่จินหมิง! สรุปว่านางเป็นชายาของข้า หรือว่าภรรยาของเจ้ากันแน่!”
บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีหลี่ได้ยินดังนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนเองปกป้องสตรีของผู้อื่นหนักเกินไปสักหน่อย แต่นั่นเป็นเพราะแอบมองนางนานเกือบสองปีแล้ว เรื่องจะให้นิ่งเฉยไม่พูดจาเลยคงทำไม่ได้ หากให้แย่งชิงมาครอบครอง เรื่องนั้นก็ทำไม่ได้เช่นกัน
