บทที่ 11
“ว่าอย่างไร! หากไม่ขายก็ไปให้พ้นทางได้แล้ว!”
“ราคาต่ำจนน่าเกลียด คนโง่เท่านั้นที่ยอมขาย” ทว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นมิใช่เสียงของเสวียนซือชิง
เสียงทุ้มต่ำและเยียบเย็นดังขึ้นจากเบื้องหลัง เสวียนซือชิงมิจำเป็นต้องหันไปมองก็ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่สุดท้ายก็อดหันกลับไปมองไม่ได้อยู่ดี
ริมฝีปากหยักสวยของบุรุษที่มีนามว่าเฉินหยางนั้นเหยียดยิ้มจนแทบเป็นเส้นตรง เขาสวมเสื้อผ้าสีม่วงเข้ม มองดูแล้วเรียบง่ายอย่างมาก ทว่าแม้แต่คนตาบอดก็ทราบว่าเป็นของมีราคา เถ้าแก่เนี้ยเจียงฉลาดหลักแหลมในเรื่องการค้า นางจึงไม่พลาดโอกาสที่จะประจบเอาใจ
“คุณชายสนใจผ้าปักผืนนี้หรือเจ้าคะ”
“ใช่ ในเมื่อเจ้าไม่สนใจ ข้าจะซื้อจากนาง” เฉินฟาหยางหรี่ตามองสตรีที่คิดขายผ้าในราคาที่ต่ำกว่าทุนอย่างไม่พอใจ หากเขามาไม่ทัน นางจะไม่เสียทั้งกำลังกายและใจโดยเปล่าประโยชน์หรือ
“สนใจสิเจ้าคะ ข้ากำลังจะขึ้นราคาให้นางเดี๋ยวนี้เอง”
“แต่ข้าไม่อนุญาตให้นางขาย” เขาเอ่ยตัดบทสนทนา ก่อนหันไปกล่าวกับเสวียนซือชิงด้วยน้ำเสียงเย็นชาปานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย
“ข้าไปที่บ้านแล้วไม่เห็นเจ้า มีเพียงคนงานที่เฝ้าอยู่เพียงสองคน เหตุใดจึงไม่ดูแลบ้านของข้าให้ดี”
“คุณชาย...คือข้า”
“ที่แท้คุณชายคือเจ้าของตำหนักเยว่ฉี หรือว่าท่านคือ ?”
เถ้าแก่เนี้ยไม่กล้ากล่าว ด้วยหากเป็นเช่นนั้นจริง คงหมายความว่านางได้สร้างความไม่พอใจให้กับท่านอ๋องผู้เย็นชาแล้ว
“ข้าเป็นญาติของตวนอ๋อง เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ เชิญคุณชายดูสินค้าตามสบาย หากต้องการให้ข้าแนะนำ...”
“หนวกหู!” ตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิสนใจคำเชื้อเชิญของสตรีเห็นแก่ตัว รีบกระชากแขนของเสวียนซือชิงและเดินออกจากร้าน ในขณะที่ทำเช่นนั้นก็รู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจอย่างน่าประหลาด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมิต้องการให้ผู้ใดพูดจาไม่ดีกับบุตรสาวของรองแม่ทัพเสวียน
อย่างไรเสวียนซือชิงก็ได้ชื่อว่าเป็นถึงพระชายา หากมีผู้ใดคิดทำไม่ดีกับนาง คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นตวนอ๋องเฉินฟาหยางเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“คุณชายปล่อยมือข้านะเจ้าคะ”
นางรีบดึงมือออกจากการเกาะกุมก่อนถึงประตูร้าน ตวนอ๋องเลื่องชื่อมิเคยถูกปฏิเสธรุนแรงเช่นนี้มาก่อนก็ให้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจ แต่พอสำนึกได้ว่าตนมิได้แสดงฐานะแท้จริง จึงยังพอข่มอารมณ์ร้อนลงได้บ้าง ทั้งยังไม่เอ่ยอันใดเมื่อนางวิ่งกลับเข้าไปหาเถ้าแก่เนี้ยเจียงอีกครั้ง
โง่เง่าเป็นที่สุด!
เฉินฟาหยางสบถในใจ ยามเห็นว่านางมอบผ้าปักลายนั้นให้กับเถ้าแก่เนี้ยเจียง ซ้ำยังรับเงินกลับคืนมาในจำนวนที่น้อยกว่าที่ตกลงกันไว้เสียอีก
“เหตุใดจึงทำเช่นนั้น เหตุใดจึงยอมให้สตรีนางนั้นเอาเปรียบเจ้า”
เฉินฟาหยางถามเสียงเรียบหลังนางเดินออกมาสมทบที่หน้าร้าน แต่ภายในโทสะกลับคุกรุ่นดั่งเพลิงผลาญ ใกล้จะอดทนมิไหวแล้ว
“ข้าหาได้สนใจเถ้าแก่เนี้ยเจียงไม่ แต่คุณหนูโจวคือลูกค้าที่อยากได้ผ้าปักลายผืนนั้น นางรอข้าปักนานเกือบเดือน หากมาคราวหน้าแล้วยังไม่ได้ของที่ต้องการ ข้าเกรงว่านางจะเสียใจ”
“คิดถึงแต่ผู้อื่น เคยนึกถึงความลำบากของตัวเองบ้างหรือไม่”
“แล้วคุณชายล่ะเจ้าคะ เคยนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่นบ้างหรือไม่”
เสวียนซือชิงตอกกลับเสียงเบา แม้จะเกรงกลัวบุรุษตรงหน้าอย่างมาก แต่ผ้าปักลายผืนนั้นนางเป็นเจ้าของ ย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจมิใช่หรือ
“นี่เจ้ากล้ากล่าววาจายอกย้อน!”
เฉินฟาหยางยังมิทันได้กล่าวโทษนางต่อ เบื้องหน้าก็ปรากฏบุรุษที่มีลักษณะคุ้นตาเดินยิ้มแย้มมาแต่ไกล ทว่าก็หุบยิ้มทันทีที่เห็นหน้าของเขา
“หลี่จินหมิง เห็นหน้าข้าแล้วถึงกับยิ้มไม่ออกเลยหรือนี่!” บุรุษด้วยกันย่อมดูออก ศิษย์น้องพึงใจในตัวของเสวียนซือชิงอย่างมิต้องสงสัยแล้ว
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
หลี่จินหมิงเดิมทีรักใคร่กับศิษย์พี่อย่างมาก ยามเข้าไปในเมืองหลวงมักแวะสังสรรค์กันตามประสาบุรุษรักสนุก นิยมการดื่มสุราเคล้านารี แต่พออีกฝ่ายเดินทางมายังเมืองเล็ก ๆ เพื่อทวงสิทธิ์ของตนโดยชอบธรรม เขากลับปวดใจไม่อยากเห็นหน้า ด้วยกลัวว่าสตรีที่ตนแอบชอบจะต้องเจ็บปวดเพราะบุรุษไร้หัวใจเช่นตวนอ๋องเฉินฟาหยาง
“ไม่นานนัก เมื่อครู่แวะไปที่ตำหนักเห็นคนงานกำลังเก็บกวาดแล้วไม่เห็นนาง ข้าจึงออกมาตามหาดู”
“ท่านทั้งสองรู้จักกันหรือเจ้าคะ”
เสวียนซือชิงอดเสียมารยาทไม่ได้ หากคุณชายเฉินหยางผู้นี้รู้จักมักคุ้นกับพ่อค้าสกุลหลี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์น้องคนสนิทของตวนอ๋อง ไม่แน่ว่าเรื่องที่เขากล่าวมาอาจเป็นความจริง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางยกทุกอย่างในตำหนักเยว่ฉีให้กับเขาแล้วจริง ๆ
“สนิทสนมกันเช่นนี้ย่อมต้องรู้จักกัน เจ้ากลับไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องสนทนากับคุณชายหลี่อีกสักหลายคำ ส่วนเรื่องของเราสองคนเอาไว้สนทนากันยามค่ำ ดีหรือไม่”
เฉินฟาหยางยกยิ้มมุมปาก หยอกเย้าสตรีตรงหน้าโดยไม่สนใจศิษย์น้องที่ยืนนิ่งราวกับหุ่นไม้ ด้านเสวียนซือชิงได้ฟังดังนั้นก็พลันหน้าแดง รีบกล่าวลาหลี่จินหมิงอย่างสุภาพ ไม่ยอมเอ่ยอันใดต่อบุรุษไร้ยางอายแม้เพียงครึ่งคำ
ทว่าเฉินฟาหยางกลับมิได้ถือสาเอาความที่นางไร้มารยาท ยามนี้มิยอมพูดจาต่อความก็มิเป็นไร เพราะอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า เขาจะต้องได้ยินเสียงครางหวานปานน้ำผึ้งของเสวียนซือชิงจนฟ้าสางอย่างแน่นอน
