บทที่ 10 เดิมพันหน่อยไหม
พูดถึงที่นี่ นางก็เจตนามองไปทางฉู่หว่านเอ๋อร์"ถ้าหากข้าชนะ เจ้าฉู่หว่านเอ๋อร์จะต้องกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้งต่อข้าในจวนเฉิงเซี่ยงนี้ ส่วนท่านเฮ่อหลัน ต้องรับปากเรื่องสามอย่างกับข้า พวกเจ้ากล้าหรือเปล่า?"
ฉู่หว่านเอ๋อร์ทำเป็นตื่นตกใจ"พระชายาใช้อารมณ์ตัดสินใจไปเพื่อไรล่ะ"
"เฮ้อ ช่างเถอะ ในเมื่อพระชายาขอร้องขนาดนี้แล้ว หว่านเอ๋อร์ก็ต้องสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า ข้าตกลงเพคะ ถ้าเกิดพี่ใหญ่หายดี ครอบครัวเราก็สามารถอยู่ดีมีสุขกัน หมอเทวดาเฮ่อหลัน ท่านให้พระชายาลองดูเถอะ"
เชอะ เหลือขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ก็จะสามารถเหยียบไอ้หญิงขี้เหร่นี้ลงไป
กระทั่งหมอเทวดาที่มีประสบการณ์สุดในเมืองหลวงยังพูดเลย ตัวเองก็รอไอ้หญิงขี้เหร่คนนี้หน้าแตกก็พอ
ฉู่เนี่ยนซีที่หน้าตาขี้เหร่และไม่ฉลาดคนนี้ มีสิทธิ์อะไรเป็นที่โปรดปรานของคนทั้งจวนเฉิงเซี่ยง?
วันนี้นางรนหาความตาย จะโทษคนอื่นไม่ได้
ฉู่เจี้ยนอี้ที่ไม่ได้พูดตลอดนั้นอยู่ๆก็ยิ้มขึ้นมา ทุกคนล้วนกันสายตาไปที่เขา
เห็นแต่เขาตบไหล่ของพี่สะใภ้ใหญ่เบาๆ แล้วพูดอย่างอ่อนโยน"น้องสาวสามารถสาบานหนักขนาดนี้เพื่อรักษาขาของข้า ข้าในฐานะที่เป็นพี่ชายก็ต้องสนับสนุนคนแรก"
หมอเทวดาตกใจมาก เกือบจะถือกล่องยาไม่ไหวด้วยซ้ำ ตะโกนออกมาเสียงหนึ่ง"คุณชายใหญ่ห้ามนำชีวิตของตัวเองมาล้อเล่นขอรับ!"
"ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าแค่เชื่อน้องสาวของข้าเท่านั้น"น้ำเสียงของฉู่เจี้ยนอี้สงบมาก สายตาของเขามองไปทางฉู่หว่านเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น และย้ายออกอย่างเงียบๆ เหมือนกับว่านางไม่ได้อยู่ในนี้
เพียงแค่สายตา ฉู่เฉิงเซี่ยงก็เข้าใจความคิดในใจของลูกชาย
พี่สะใภ้ใหญ่มองฉู่เจี้ยนอี้อย่างตกใจ และมองไปทางฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาที่ซับซ้อน ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ค่อยๆเก็บมือที่ห้ามฉู่เนี่ยนซีไว้กลับมา
ลำคอของฉู่เนี่ยนซีสั่นเบาๆ ถึงแม้ภายนอกยังคงเป็นลักษณะที่ใจเย็น แต่เมื่อกี้หัวใจของนางเกือบจะกระโดดออกมาจากลำคอ คิดไม่ถึงว่าฉู่เจี้ยนอี้จะเชื่อนางขนาดนี้โดยไร้เงื่อนไข!
หมอเทวดาเฮ่อหลันเห็นว่าคนทั้งบ้านล้วนยอมรับ ถึงแม้รู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะเป็นเรื่องของคนอื่น เขาจะไปบังคับก็ไม่ได้
ฉู่เนี่ยนซีได้รับคำตอบ ก็คุกเข่าอยู่ข้างหน้าของฉู่เจี้ยนอี้ใหม่ ในขณะเดียวกันเข็มแรกก็แทงเข้าไปในจุดบริเวณขาของฉู่เจี้ยนอี้แล้ว
ในขณะที่เข็มเงินแทงเข้าไปในร่างกาย อยู่ๆจ้าวโม่เหยียนก็หันหน้าไป พร้อมหลับตา ขนตายังสั่นไปด้วย
ฉู่เฉิงเซี่ยงกลัวว่าคนอื่นอยู่ที่นี่จะรบกวนสติของฉู่เนี่ยนซี กวาดมองไปที่ฉู่หว่านเอ๋อร์ทีหนึ่ง ฉู่หว่านเอ๋อร์กัดฟัน มีแต่ต้องยกชายกระโปรงขึ้นมา แล้วถอยลงไปอย่างไม่ยินยอม
ส่วนหมอเทวดาที่อยู่ข้างๆกลับซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ สีหน้าจริงจังมาก และถอนหายใจออกมาเป็นครั้งคราว เหมือนเสียดายแทนฉู่เจี้ยนอี้ล่วงหน้า
ในห้องเงียบมาก ทุกคนล้วนกลั้นหายใจไว้ สายตาล้วนจับจ้องไปที่เข็มในมือของฉู่เนี่ยนซี
ส่วนฉู่เนี่ยนซีกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย หาจุดฝังเข็มอย่างใจเย็น ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง กว่าจะเห็นนางโล่งใจลงมาได้
เดิมทีฉู่เจี้ยนอี้บนเตียงไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ผ่านไปสักครู่หนึ่งกลับขมวดคิ้วและไอออกมาอย่างแรง
จ้าวโม่เหยียนตกใจมาก ส่วนหมอเทวดาเฮ่อหลันก็วิ่งมาทันที เหมือนคำพูดที่จะตำหนินางนั้นใกล้จะพูดออกมาแล้ว
แต่พอเขาจับไปที่ชีพจรของฉู่เจี้ยนอี้ กลับเลิกคิ้วอย่างเหลือเชื่อ
ฉู่เนี่ยนซียิ้มเบาๆ"หมอเทวดาเฮ่อหลันไม่ต้องเป็นห่วง สารพิษจะไม่เข้าสู่หัวใจแน่นอน"
หมอเทวดาเฮ่อหลันไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่ตรวจสอบชีพจรของฉู่เจี้ยนอี้อย่างละเอียด ดวงตาที่แก่หง่อมปรากฏความเหลือเชื่อขึ้น
เป็นไปไม่ได้!
เขาในฐานะที่เป็นหมอเทวดา มีประสบการณ์มากว่าสี่สิบปี ไม่เคยเห็นการถอนพิษที่สะสมไว้มาหลายปีจะสามารถเห็นผลได้เร็วขนาดนี้ แต่ว่า......
ถึงแม้ปกปิดหัวใจได้จริงๆ คนป๋วยนั่งรถเข็นมาหลายปีนี้ บริเวณขาสูญเสียแรงไปตั้งนานแล้ว อยากจะยืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็เป็นไปไม่ได้
หมอเทวดาเฮ่อหลันมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน แต่กลับเห็นว่านางแค่ฝังเข็มต่อ สีหน้าใจเย็นมาก ไม่มีความอยากจะประชดใดๆ
สามวันต่อมา ฉู่เนี่ยนซีถอนพิษให้ฉู่เนี่ยนซีทุกวัน จ้าวโม่เหยียนก็เฝ้าอยู่ตลอด เดิมทีดวงตาก็ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ทีหนึ่งแดงยิ่งกว่าเดิม
จนถึงวันที่ห้า ตอนรับประทานอาหารเที่ยง ฉู่เจี้ยนอี้ยืมแรงนั่งขึ้นมาจากเตียง เพิ่งจะรับชามที่จ้าวโม่เหยียนยื่นมา อยู่ๆก็อึ้งไปเลย
จ้าวโม่เหยียนนึกว่าเขาไม่สบายตรงไหนอีก เพิ่งคิดจะถามด้วยความเป็นห่วง ก็เห็นเขาวางนิ้วมือที่เรียวยาวไว้บนขา และจับอีกแรงทีหนึ่ง
"เหยียนเอ๋อร์ ข้า......"
ฉู่เจี้ยนอี้ยังพูดไม่จบ แต่การหายใจกลับรีบร้อนขึ้นมาแล้ว