พรหมจรรย์ขายขาด

67.0K · จบแล้ว
โยธกา ดรินทร์ น้ำอ้อม
37
บท
11.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ในวัยเพียงสิบหกปี น้อยกลายเป็นที่หมายปองของคนพาล จนผู้เป็นตาต้องพาเจ้านกกระจิบตัวน้อย ไปฝากไว้กับหมอรัญชน์ผู้เปรียบดั่งนกอินทรีที่จะปกป้องดูแลแม่นกกระจิบไปจนบินโบยได้ด้วยตนเอง ทว่าหัวใจของหนุ่มใหญ่กลับอ่อนไหวกับสาวน้อยที่แสนซื่อ แสนไร้เดียงสา เขาไม่ใช่โคเฒ่านะไอ้หมอ แต่เธอก็ช่างน่ารักแสนดีเหลือเกิน มือของเขาเอื้อมจับมือของน้อยมากุมไว้ ก่อนจะดึงน้อยเข้ามาใกล้ น้อยรีบยกมือยันอกหมอไว้ แล้วทำหน้าตาตื่น “หมอจะกอดน้อยอีกเหรอ?” “เอ่อ...เอ้อ...” เด็กมันรู้ทันเสียแล้ว เขาจะทำยังไงได้ หมอรัญชน์กระแอม น้อยรีบเอ่ยเสียงแจ๋ว “ถ้าหมอกอดน้อย แล้วเผลอจะ...จูบน้อยเหมือนเมื่อคืนอีก มันก็จะซ้ำอีกหนนะ น้อยอาจจะท้องก็ได้” “หืม?” หนนี้คิ้วของหมอรัญชน์พันกันยุ่งเลยล่ะ แม่คุณ แม่เด็กน้อยเอ๋ย...นี่เรียนสุขศึกษาหรือยังนะ แค่กอด...กับจูบ มันท้องที่ไหนกันเล่า น้อยของเขา จูบ... เขาจูบน้อยด้วยหรือนั่น? จำไม่ได้ แต่ก็รู้สึกดีเป็นบ้า... “น้อยจ๋า ฉันจะบอกอะไรให้ คือว่าถ้าแค่นี้ น้อยไม่ท้องหรอก” “คือถ้าแค่กอด ไม่ได้นอน แล้วก็ไม่ได้จูบ น้อยจะไม่ท้องใช่ไหม?” หล่อนมองเขาตาแป๋ว อย่างสนใจ ใคร่รู้ ยิ่งถาม ก็ยิ่งอธิบายยาก หมอรัญชน์หัวเราะเบาๆ เอาเถิด เดี๋ยวเวลาและประสบการณ์ก็จะทำให้น้อยรู้เองนั่นแหละ ว่าเด็กๆ ถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร และเขา...อาจจะชวนเธอสร้างเด็กๆ เหล่านั้นก็ได้ “อืม...” ตีความคำว่าอืมของหมอ เป็นคำว่าใช่ไปแล้ว น้อยก็ลืมตัวถอนใจเฮือก แล้วทำหน้ายุ่ง พูดออกมาอย่างใสซื่อ “น้อยนึกว่าการสร้างเด็กจะยากกว่านี้เสียอีก มิน่าตาถึงให้ระวังตัว” “ใช่...มันง่ายแบบนี้นั่นแหละ น้อย จำไว้ก็แล้วกัน ว่าน้อยเป็นของฉันแล้ว ก็อย่าให้ใครไปกอด” ว่าแล้วหมอรัญชน์ก็ดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้แน่น น้อยทำตาโต เบิกตามองหน้าหมอรัญชน์ วันนี้เขาไม่ได้สวมแว่นตาอย่างเคย เพราะเช้าสุดฉุกละหุกนี้ ทำให้ทำอะไรกันแทบไม่ทัน ข้าวก็ยังไม่กินเลยด้วยซ้ำ เขากับน้อยถูกคุณหญิงสุดา พาชำระความกับศาลเตี้ยของท่านอยู่ “อย่าให้ใคร...” ใบหน้าคมสันนั้นก้มลงเรื่อยๆ ต่ำลง จนจมูกของหมอจรดจมูกน้อย น้อยนิ่งราวกับถูกสะกดจิต ด้วยนัยน์ตาคมคู่สวยแพรวพราวของหมอรัญชน์ “จูบ...”

นิยายรักโรแมนติกหมอคนต่ำต้อยพลิกชีวิตรักแรกพบฟินๆเศรษฐีรักหวานๆโรแมนติก

บทที่ 1

เสียงไอถี่ๆ ของชายชรา ทำให้สาวน้อยที่กำลังทำครัวอยู่ รีบวางมือลงจากงานของตน ร่างเล็กค่อนข้างผอม รีบวิ่งออกมาจากหลังบ้าน เธอรีบตรงไปลูบหลังลูบไหล่ที่กำลังสะเทือนไหวเพราะอาการไอของตาบุญ

"ตาจ๋า ถ้าไม่ดีขึ้นแบบนี้ เราไปหาหมอกันนะ"

"อื้มๆ ตาไม่เป็นอะไร แค่กๆๆ"

"ไอจนแทบไม่ได้นอนเลยเมื่อคืน"

เสียงเล็กใสบ่นพึม เธอถอนใจในความดื้อดึงของตา ตาบุญไอมาหลายวันแล้ว แต่ก็ดื้อไม่ยอมไปโรงพยาบาล ทั้งที่มีเจ้าหน้าที่อบต. สงสารเธอและท่าน ช่วยเหลือวิ่งเต้นจนได้สิทธิ์รักษามาแล้วแท้ๆ

"เอาน่า เดี๋ยวตาก็หายเองนั่นแหละ กินยาต้มอยู่"

"ไปหาหมอก็ไม่ต้องใช้เงินนี่จ๊ะ" น้อยบอกเสียงซื่อ อย่างจะรู้ว่าข้อจำกัดของครอบครัวคืออะไร ตาบุญหัวเราะทั้งไอ แล้วลูบหัวหลานสาวสุดที่รักของแก

"ค่าเดินทางไปอีก อย่างน้อยก็ต้องมีเป็นร้อยนั่นแหละไปหาแต่ล่ะที ตาไม่เป็นไรจริงๆ ลูก หิวแล้วด้วย วันนี้ทำอะไรกิน"

"ผักคะน้ากำลังออกงามเลย หนูเลยตัดมาทำผัดผักคะน้า หลวงตาท่านเรียกให้ไปเอาข้าวสาร กับพวกเครื่องของกระป๋องเมื่อตอนบ่าย วันนี้ก็เลยทำยำปลากระป๋องของโปรดตาให้อีกอย่างหนึ่งด้วย กินกับข้าวต้มนะตาจ๋า ตายังไออยู่"

"อืม..."

"หนูไปทำยำต่อก่อนนะจ๊ะ"

"อืม..."

ตาบุญตอบเพียงเท่านั้น ไม่อยากพูดยาวๆ ให้ระคายคอตนเอง ตาของแกมองตามหลังของหลานสาว พลางถอนใจ ความลำบากยากจนนี้แกไม่เคยกลัว สู้กับมันมาตลอดด้วยซ้ำ แม้จะเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ชีวิตซวนรวนเรไปนับหนไม่ถ้วนก็ตาม แต่แกก็ประคองอยู่มาได้ แกไม่ได้อะไรกับชีวิตไปแล้ว ตื่นมาหากินคือเก็บขยะขายที่ทำเป็นอาชีพ ค่ำมาก็นอน

ที่พักของแกเป็นเพิง ที่ได้หลวงตาเจ้าอาวาสท่านใจดีให้ไม้ สังกะสี ไม้อัด มาพอมุงทำเป็นเพิงเล็กๆ ตั้งอยู่ใกล้กับป่าช้า แกใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่ที่เมียตาย และลูกสี่คนของแกโกงที่ดิน ที่ทำมาหากินของแกไป จนทำให้แกหมดสิ้นเนื้อประดาตัว กลายเป็นคนร่อนเร่ ค่ำไหนนอนนั่น จนมาได้ที่พักพิงที่ถาวรคือที่แห่งนี้ หลวงตาท่านเมตตา ให้เขาได้มีที่พึ่งอาศัย ตาบุญเป็นคนไม่อะไรใคร เจียมเนื้อเจียมตัว ขยันขันแข็ง จึงทำให้มีคนรักมากกว่าคนเกลียดแก แม้แกจะเป็นแค่คนเก็บขยะ ตาบุญตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปจนกว่าลมหายใจของแกจะหลุดไปจากร่าง

ชีวิตของตาบุญควรจะดำเนินไปตามยถากรรม ไม่ได้เอาอะไรมาเป็นภาระเพิ่ม นอกจากหมาจรจัดสองตัวที่เลี้ยงไว้ ตอนนี้พวกมันก็ยังอยู่กับเขา อิ่มหมีพีมันดีเพราะนายเลี้ยงดีทุกมื้อ แต่แล้วเมื่อสามปีก่อน ชีวิตแกก็กลับมีสิ่งที่ทำให้ตาบุญหนักอึ้ง...และรู้สึกว่าแกจะตายไม่ได้

สิ่งนั้นคือหลานสาว...เด็กที่ผอมจนแทบจะเห็นหนังหุ้มกระดูก หากหล่อนยังมีรอยยิ้มเซื่องๆ ส่งให้เขา ลูกสาวคนที่สามของเขาร้องห่มร้องไห้ กราบเท้าขออภัยเขา และขอมาพึ่งใบบุญเขา เพราะโดนผัวซ้อมมาอย่างหนัก จนต้องหนีระเห็จมาพร้อมกับบุตรสาว

หลานสาวที่เขาเพิ่งเคยจะเห็นหน้า...แล้วก็เวทนานักอยู่กันได้เพียงแค่สามวัน นังนุ่ม แม่ของน้อยก็หนีเตลิดไป หอบของหนีไปยามดึกขณะที่ตาบุญและลูกสาวหลับใหล นุ่มหนีไปกับชู้รักที่นัดแนะกันไว้ให้มารับ หล่อนทิ้งน้อยไว้กับบิดาที่แก่ชรา ทิ้งลูกสาวในวัยสิบสามปีไว้กับพ่ออย่างไม่ใยดี และไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย

นี่มันกรรมเวรอะไรของเขากันล่ะหนอ...

ตาบุญจำต้องเลี้ยงหลานอีกคน น้อยไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง ตาบุญเองก็มีเงินเก็บเพียงเล็กน้อย แกเก็บไว้ยามจำเป็นที่อาจจะต้องรักษาตัว เพราะแกมีโรคประจำตัวอยู่

แต่ภาระอย่างน้อยกลับทำให้ภาระของผู้เป็นตาบรรเทา หล่อนเป็นเด็กดี ขยันขันแข็ง ตัวเล็กนิดเดียวแต่แกร่งและสู้เหลือเกิน น้อยทำให้เขารู้สึกว่านี่แหละ คือทายาทของตนเอง เลือดของตนเองจริงๆ ที่พวกลูกๆ นั้นไม่ได้สิ่งนี้ไปเลยสักกระผีก

น้อยไปรับจ้างล้างจาน ทำงานจิปาถะเท่าที่จะมีคนจ้าง เงินทองเด็กสาวเก็บเอามาให้ผู้เป็นตาทุกบาท และเขาก็เก็บหอมรอบริบไว้ ตาบุญอยากจะให้น้อยได้เรียน เพราะหลานสาวเป็นคนฉลาด ชอบอ่านหนังสือ น้อยอาศัยศาลาหนังสือของวัด เป็นแหล่งหาความรู้ หลวงตาท่านชอบใช้งานเด็กสาว เพราะเจ้าหล่อนคล่องแคล่วฉลาดดี ให้จัดการเรื่องพิมพ์หนังสือบ้าง ส่งอีเมลบ้าง น้อยเลยได้ความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ไปด้วยทางอ้อม

สองตาหลานอยู่ด้วยกัน มีความสุขตามอัตภาพมาสามปีเต็มๆ มาปีนี้ตาบุญเริ่มมีความกังวลใจเพิ่ม คือหนึ่งจากสุขภาพตัวเอง และสองจากร่างกายที่สาวสะพรั่งของน้อย

ที่อยู่ของเขากับหลาน ไม่เหมาะสมอีกต่อไปแล้ว หลวงตาเองท่านก็เรียกใช้น้อย น้อยลงเพราะท่านเกรงคนติฉิน หล่อนเริ่มเป็นสาว และสวย..แม้จะอยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ หน้าตาเป็นมันเพราะทำงานหนัก ร่างกายของน้อยเติบโตตามวัย และแม้จะตากแดดกรำงานขนาดไหน ผิวพรรณของหล่อนก็ยังดูสะอาดสะอ้าน ยิ่งหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก นัยน์ตากลมโตเหมือนตากวางนั่น ทำให้มีหนุ่มๆ เริ่มมองหลานสาวของเขา มันทำให้ตาบุญกังวลใจไม่น้อย

สายตาของใครก็ช่าง เขาไม่กลัว เท่ากับสายตาของกำนันปรุง กำนันจอมอิทธิพลของที่นี่ ยิ่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่กำนันเป็นคนเอ่ยกับเขาเอง แถมยังยัดเงินมาให้อีกห้าร้อย เกินจากค่าขยะที่ขายให้เขา ตาบุญก็ให้นึกแล้วใจสั่นกับถ้อยคำเหล่านั้นนัก

'หลานสาวตาบุญอายุเท่าไหร่แล้ว'

'สิบหกครับ'

'เอ่อ...อยากจะให้มาทำงานที่บ้านฉันไหมละ' สายตาของกำนันทำให้ตาบุญกลืนน้ำลาย ก่อนจะสั่นหน้าดิก

'ไม่เป็นไรครับ นังน้อยมันซุ่มซ่าม กลัวจะทำงานไม่ถูกใจคุณนาย'

'ก็ไม่ได้จะให้มาเป็นคนใช้ พูดตรงๆ เลยก็ได้นะตาบุญ ฉันชอบหลานสาวตาบุญมาก...เท่าไหร่?'

'อะไรนะขอรับ'

'หลานสาวตาบุญจะเรียกเงินทองสักเท่าไหร่ล่ะ เรียกมาได้เลยนะ ฉันจะเอาเข้าบ้าน'

เขาถึงจะยากจน แต่ก็คงไม่ส่งหลานสาวไปทำผิดศีลธรรมด้วยการเป็นเมียน้อยนางบำเรอใคร ตาบุญเคร่งครัดศีลข้อห้า เขาไม่ทำการส่งเสริมการผิดลูกเมียคนอื่นแบบนั้นแน่ เมื่อปฏิเสธไป กำนันปรุงก็ทำให้เขานึกกลัว ด้วยการข่มขู่ลอยๆ มาทุกหนเมื่อบังเอิญเจอะเจอกัน

เขาจะทำอย่างไรดี?

ตาบุญไออีกหน หนนี้มีเลือดติดออกมาด้วยตอนที่เขาขากเสลด ใจของเขาหายวาบ นึกคิดไปในแง่ร้าย และนึกห่วงหวงหลานสาว...ถ้าเขาเป็นอะไรไปแล้ว ยัยน้อยจะอยู่อย่างไรนะ

ไอ้กำนันปรุงคงจะไม่ปล่อยหลานสาวเขาไว้ลอยนวลนานแน่

เขาไม่อยากให้น้อย...ไปอยู่กับคนแบบนั้น

เขาควรจะทำอย่างไรดี

ความคิดบางอย่างวาบขึ้นมาในสมองของตาบุญ

แกครุ่นคิดเรื่องนี้ซ้ำไปวนมาทั้งคืน...

แกนึกถึงปีกอินทรีที่จะปกป้องนกกระจิบน้อยของแก...

หมอรัญชน์…คือคนที่แกพอจะนึกได้และเห็นเป็นที่พึ่ง

ตาบุญเม้มปาก ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เพราะถ้าเกิดว่าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง...กำนันปรุงคงจะมาพาน้อยไปเป็นเมียน้อยเข้าจริงๆ