4
“ไปทำงานไหวหรือตาสัณฑ์ แม่นึกว่าเราจะไปไม่ไหวเสียแล้ววันนี้”
เสียงทักทายจากมารดาเมื่อเห็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัวศุภศิริศิลป์ เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร ด้วยใบหน้าสดใสไม่อิดโรยทั้งที่เมื่อคืนนี้เขานอนไม่กี่ชั่วโมง
“ไม่ไหวก็ต้องไหวครับแม่”
เศรษฐ์สัณฑ์ยิ้ม พร้อมกับนั่งตรงเก้าอี้ประจำของตนเอง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับมารดา ท่านมักจะจัดการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เช่น ทาแยมบนขนมปัง หรือว่ารินกาแฟให้เขา ตักกับข้าวให้กับลูกชายคนเดียวบ้าง แบบนี้ทุกมื้อจนบางทีบิดาก็อดแขวะอย่างหมั่นไส้ไม่ได้ว่า ชายหนุ่มอ้อนแม่ไม่เลิกทั้งๆ ที่โตมาจนน่าจะมีเมียเป็นของตัวเองได้แล้ว
“ใช่แล้วไอ้ลูกชาย ไม่ไหวก็ต้องไหว วันนี้มีการประชุมผู้ถือหุ้นด้วย เมื่อวานพ่อให้แกไปขับรถที่แกรักแล้วแบบสุดเหวี่ยง วันนี้ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่เหมือนเวลาที่แกขับรถด้วยล่ะลูกรัก”
คำพูดเปรยๆ ของบิดาที่ดังขึ้นหลังหนังสือพิมพ์ธุรกิจที่ท่านกำลังกางอ่านอยู่ ทำให้คุณสรียาค้อนขวับให้กับสามี ส่วนบุตรชายคนเดียวอมยิ้ม เมื่อถูกท่านว่าเข้าแบบนั้น เมื่อก่อนตอนที่เขายังเป็นนักแข่งรถกับเพื่อนร่วมแก๊ง ก็มักจะถูกห้ามปราม ต่อต้านจากท่านอยู่เสมอ จนบางครั้งก็ทะเลาะกัน แต่ก็จบลงได้ด้วยดี เนื่องจากมารดาเป็นกาวใจประสานความสัมพันธ์ให้กับพ่อลูก เศรษฐ์สัณฑ์ตกลงกับบิดาว่าเขาจะเลิกการแข่งรถอาชีพและมาช่วยงานท่านเต็มที่เมื่ออายุครบสามสิบสองปี ซึ่งเขาก็ทำตามที่พูดจริงๆ และเมื่อท่านเห็นว่าบุตรชายทำได้ตามนั้น เศรษฐาก็วางใจได้มาก แม้จะมีนึกเป็นห่วงบางคราว ยามที่บุตรชายไปรวมกลุ่มกับแก๊งโฟว์เดวิล เพื่อไปทำกิจกรรมกันตามประสาหนุ่มโสด แต่ก็ยังห่วงน้อยกว่าสมัยที่บุตรชายยังโลดโผนกับการแข่งรถ ที่มันเสี่ยงนาทีเป็นนาทีตายได้เกือบตลอดเวลา
“ครับผม ท่านประธาน ยังไงผมก็ต้องเต็มที่อยู่แล้วครับ กลัวโดนตัดเงินเดือน”
“ดีมาก แล้วของขวัญโบนัสปลายปีนี้ ถ้าเกิดว่ากำไรได้มาตามเป้าแล้วล่ะก็ พ่อจะให้ของรางวัลสำหรับการทำงานหนักของแกมาทั้งปี เป็นคันที่แกอยากได้เป็นรางวัลยังไงล่ะ”
“พ่อหมายถึง...”
หนนี้บุตรชายถึงกับทำตาโตเลยทันที เมื่อได้ยินดังนั้น เขาจำได้ว่าเคยเอารูปรถยนต์ยี่ห้อโปรดคันหนึ่งให้ท่านดู แล้วบ่นว่าอยากได้ กำลังพยายามหาเงินเพื่อจะซื้อคันนี้ให้ได้ เศรษฐาแซวว่าต้องรอปันผลอีกหลายปีเลยกว่าจะซื้อลัมเบอร์กินี่คันที่บุตรชายอยากได้มาครอบครอง
“คันนั้นแหละ ถ้าแกทำได้ พ่อซื้อให้เลย”
ท่านว่าอย่างใจป้ำ เล่นเอาบุตรชายยิ้มแก้มแทบปริ เพราะรู้ๆ กันว่าราคาของรถยนต์ลัมเบอร์กินี่รุ่นนี้ ไม่ใช่แค่ล้านสองล้าน หากแต่ราคาของมันอยู่ในระดับเกือบยี่สิบล้านต้นๆ กันเลยทีเดียว มีสินรางวัลล่อใจขนาดนี้ เขาต้องทุ่มเททำงานให้เต็มที่แน่นอน
“พ่ออย่าพูดแล้วคืนคำนะครับ ถ้าผมทำได้จริงๆ ผมทวงนะครับ”
ชายหนุ่มว่า มารดาที่กำลังทาแยมบนขนมปังปิ้งให้กับบุตรชาย เงยหน้าขึ้นมองหน้าสามี แล้วเอ่ยขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
“แม่ก็ได้ยินเต็มหูเลย เดี๋ยวช่วยทวงอีกคนหนึ่งจ้ะ”
“แหม...”
เศรษฐาหัวเราะ แล้วเอื้อมมือตบบ่าบุตรชายแรงๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มจริงจัง
“แกทำได้ พ่อให้อยู่แล้วล่ะน่า เออ...จริงสิ เกือบลืมไป เย็นนี้แกไม่มีนัดที่ไหนใช่ไหมวะไอ้เสือร้าย”
“ไม่มีครับพ่อ”
มือเขารับขนมปังมาจากมารดาแล้วป้อนเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างหิวจัด เมื่อวานสงสัยจะใช้พลังงานมากไปหน่อย เช้ามาถึงได้หิวมากขนาดนี้ แล้วยกกาแฟดำขึ้นจิบกลั้วคอตามลงไป เศรษฐ์สัณฑ์ตั้งใจจะหันไปขอไข่ดาวจากมารดาอีกสักฟอง เพื่อเพิ่มพลังตอนเช้า แต่ประโยคต่อไปที่ได้ยินจากบิดา เล่นเอาเขาถึงกับชะงัก แล้วแทบจะสำลักกาแฟกันเลยทีเดียว
“วันนี้ยายแซนตี้จะกลับมาเมืองไทย ไปรับน้องหน่อยสิ”
“แค่กๆ”
นั่นยังไงเล่า สำลักเข้าจนได้ เมื่อได้รับรู้ชัดๆ ว่าบิดาพูดถึงใคร อาการสำลักกระอักกระไอของบุตรชายทำให้สรียาหันมายื่นแก้วน้ำให้เขาอย่างเป็นห่วง พลางลูบหลังลูบไหล่เพื่อให้บุตรชายคลายจากอาการสำลัก
“เป็นอะไรไปน่ะตาสัณฑ์ จู่ๆ ก็สำลัก กาแฟขมไปหรือเปล่าลูก?”
“เปล่าหรอกครับ”
เมื่อหายสำลักแล้ว ชายหนุ่มก็หันมายิ้มแหยให้กับท่าน แล้วหันไปมองหน้าบิดาที่ตอนนี้ลดหนังสือพิมพ์ลง ใบหน้าของท่านมีรอยยิ้มแปลกประหลาด ที่บุตรชายตีความได้ว่ามันเป็นยิ้มเยาะหยันกันชัดๆ
“พ่อว่าอะไรนะครับ จะให้ผมไปรับใคร?”
หนนี้ยิ้มของเศรษฐากว้างกว่าเดิม แม้บุตรชายจะตีความว่าเป็นยิ้มเยาะ แต่ผู้เป็นพ่อรู้ดีว่าตนเองยิ้มแบบนั้นเขาก็จงใจเย้ยลูกชายจริงๆ นั่นแหละ
เขาอยากจะเห็นเสือหนุ่มกับสิงห์สาว ปะทะคารมกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบสี่ปีเต็ม แล้วแม่สิงห์สาวที่ว่า ลึกๆ แล้วใจของเศรษฐาก็ชอบเจ้าหล่อนมากเสียด้วย ถึงกับภาวนาให้เธอยังไม่เจอใครแล้วก็ได้ใครมาเป็นคู่ เพราะนานครั้งหรอกจะเห็นคนที่บุตรชายคนเดียวต้อง ‘ยอมแพ้’ ในบางเรื่อง จึงแอบลงความเห็นในใจ ว่าช่างเหมาะสมกันเสียจริงๆ
“แซนตี้น้องสาวคนสวยของเรายังไงล่ะตาสัณฑ์ หึๆ ไม่ได้เจอกันนาน จำน้องได้หรือเปล่า?”
บิดาเอ่ยกระเซ้า พ่อลูกชายถึงกับทำหน้าเบ้เลยทีเดียวเมื่อได้ยินดังนั้น ภาพของหญิงสาวตัวเล็ก หน้าหวาน ตาโตกลมใส ผมยาวเกือบถึงสะโพกที่ เมื่อปล่อยผมยาวสยายล้อมกรอบหน้าหวานแอร่มนั้น ยิ่งทำให้เธอดูหวาน สวย สดใสราวกับเจ้าหญิงตัวน้อยๆ
‘เจ้าหญิงอย่างนั้นหรือ....แม่มดมากกว่า’
ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะดึงตัวเองให้กลับมาอยู่กับการสนทนากับบิดา เลิกคิดถึงภาพของคนหน้าหวานสดใสเสีย ยิ่งคิดถึงเธอทีไร อารมณ์หมั่นไส้และอยากจะเอาชนะคะคานก็ผุดขึ้นมาเสียทุกที เมื่อนึกถึงอดีตในวันวาน แซนตี้หรือโชติกา ลูกพี่ลูกน้องของเขา ลูกสาวบุญธรรมของชายิกาผู้เป็นอา ที่เจ้าหล่อนจะต้องถูกยกมาเปรียบเทียบกับเขาเสียทุกครั้ง ในทุกเรื่องเสียด้วย แล้วก็ให้เศรษฐ์สัณฑ์แพ้ต่อเธอไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ความสามารถพิเศษ เขาก็ต้องแพ้แก่ยายเด็กผมเปียหน้าหวานเสียทุกหน อะไรไม่น่าเจ็บใจเท่าที่พอรู้ว่าตนเองชนะเขาได้ โชติกาก็จะทำหน้าเชิดใส่เขาด้วยความสะใจอีกด้วย