9.เฟยเอี้ยน
เสี่ยวจูเข้าใจได้ว่าเพราะกู้เฟยหลงเสียชีวิตไป อาการประหลาดของลี่อินจึงค่อย ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง
“ฮูหยิน ท่านแน่ใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝันแน่นะ”
หยางลี่อินพยักหน้าขึ้นลง “ข้ามั่นใจ!!”
เสี่ยวจูสูดลมหายใจเข้าลึกและทำความเข้าใจ หากนายหญิงของนางบอกว่ามั่นใจ ย่อมมีความเป็นไปได้ ต่อให้คนทั้งโลกไม่เชื่อว่าหยางลี่อินมองเห็นดวงวิญญาณ แต่สำหรับเสี่ยวจูแล้วนางได้ประสบพบเจอด้วยตัวเอง
ในอดีต ท่านย่าของนางได้เก็บของต่างหน้าท่านแม่ไว้กับตัว ทว่าท่านย่าจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคชราจึงไม่ได้กล่าวคำสั่งเสียอะไรไว้ และเป็นหยางลี่อินที่สามารถบอกตำแหน่งของปิ่นปักผมหยกที่ท่านย่าเก็บไว้ราวกับว่าสามารถสื่อสารกับท่านย่าที่ล่วงลับไปแล้วได้ นับตั้งแต่นั้นมา เสี่ยวจูจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่านายหญิงของตัวเองสามารถมองเห็นดวงวิญญาณได้จริง ๆ
“ฮูหยิน ชายคนนั้นมีชื่อว่าอะไรเจ้าคะ”
คราวนี้เป็นหยางลี่อินที่ส่ายศีรษะไปมา ตั้งแต่ที่นางพบกับชายผู้นี้ นางก็ยังไม่เคยเข้าไปคุยกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ถ้าฮูหยินมั่นใจว่าดวงวิญญาณของนายท่านอยู่ในร่างของชายคนนั้น ท่านมิสู้ลองไปคุยกับเขาดีหรือไม่เจ้าคะ อย่าลังเลต่อไปอีกเลย” เสี่ยวจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม หากแต่หยางลี่อินตอบกลับมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าเห็นวิญญาณของเขาเข้าไปในร่างชายคนนั้นด้วยสองตาของข้าจริง ๆ เพียงแต่ว่าหากเป็นเฟยหลงจริง เหตุใดเขาถึงไม่กลับมาหาข้า จากที่ข้าเฝ้าดูเขามา เหมือนกับว่าเขากำลังใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีวี่แววที่จะออกตามหาข้าเลย”
ความมั่นใจในความไม่แน่ใจของหยางลี่อินทำให้นางเพียงแต่เฝ้าดู มิได้ลงมือกระทำการสิ่งใดเพื่อให้ได้ใกล้ชิดอีกฝ่าย ถึงแม้นางจะเป็นคนที่มีความมั่นใจและดูเป็นคนแข็งแกร่ง แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่นางไม่กล้าตัดสินใจเช่นกัน เฉกเช่นในเรื่องความรักของตนเอง หยางลี่อินกำลังรอคอยใครสักคนสนับสนุนให้นางกล้าตัดสินใจ และคนคนนั้นก็เป็นสาวใช้ที่ผูกพันประหนึ่งน้องสาวร่วมอุทร
เสี่ยวจูมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสงสาร นางเข้าใจดีว่านายหญิงของตัวเองกำลังหวาดกลัว กลัวว่าหากเมื่อได้ใกล้ชิด ความจริงอาจจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการ และนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลี่อินไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ชายหนุ่มคนนั้น
“ฮูหยิน ไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าความรู้สึกของท่านไม่มีทางผิดพลาด หรือต่อให้เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ ความรู้สึกประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลายนั้น เสี่ยวจูจะช่วยท่านแบกรับมันไว้อีกแรง” ดรุณีน้อยว่าพลางฉีกยิ้มกว้างสร้างกำลังใจให้แก่ผู้เป็นนาย
มุมปากของหยางลี่อินเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ นางใช้มือขวาสัมผัสไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกขอบคุณ จากนั้นสองนายบ่าวจึงได้ทำการสืบสาวข้อมูลของชายหนุ่มผู้นี้จากคนรอบข้าง ได้ความว่าชายหนุ่มรูปร่างสูง ใบหน้าคมเข้ม คิ้วคมดำ ผิวกายสองสีคนนี้มีนามว่า เฟยเอี้ยน อายุ 24 ปี
เฟยเอี้ยนเดินทางมาจากลั่วหยางตอนอายุ 22 ปี เป็นคนทั่วไปที่มีความฝันอยากสอบเป็นจอหงวน แต่เมื่อสองเดือนที่แล้วเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เฟยเอี้ยนได้รับอุบัติเหตุ บ้างก็ว่าถูกรถม้าชน บ้างก็ว่าถูกเจ้าหนี้จับไป บ้างก็ว่าถูกนักเลงรุมซ้อม ทำให้เขาได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรงที่ศีรษะ ความทรงจำหายไปเกือบทั้งหมด เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชื่ออะไร
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้สองนายบ่าวมองหน้ากันด้วยความสงสัย ความทรงจำที่หายไปอาจเกิดจากการที่ร่างกายปฏิเสธดวงวิญญาณหรือเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ ความคลุมเครือไม่ชัดเจน อย่างไรก็ดี เพราะคำพูดส่งเสริมของเสี่ยวจู วันนี้หยางลี่อินจึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปทักชายหนุ่มที่มีนามว่าเฟยเอี้ยน
ขณะที่หญิงสาวกำลังก้าวออกจากใต้ต้นมู่ตานเพื่อที่จะเข้าไปทักทาย ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งก็ชิงตัดหน้านางเสียแล้ว กลุ่มชายสามคนเดินเข้าไปทักทายเขาก่อน ทั้งสองจึงต้องหักเลี้ยวเข้าหลังต้นไม้ ทำได้เพียงแค่เงี่ยหูฟัง
ชายฉกรรจ์สามคนมองเห็นเฟยเอี้ยนและยิ้มอย่างดีอกดีใจ พวกเขาดูเหมือนสหายกัน ทว่าเมื่อน้ำเสียงดังออกจากปาก ไม่คล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้น
“เฟยเอี้ยน ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงกรรโชก ชายผู้นี้คล้ายจะเป็นหัวหน้า ด้านหลังของเขายังมีชายตัวเล็ก และชายรูปร่างเตี้ยอ้วนคอยเป็นลูกคู่สอดประสาน ชายตัวเล็กเปล่งเสียงแหลมดังออกมา
“เจ้าจำที่พี่ใหญ่ของพวกเราพูดไม่ได้หรืออย่างไร หากได้เจอกันอีกครั้ง จะไม่จบที่แขนข้างเดียวเหมือนครั้งก่อนแน่”
เสียงทุ้มต่ำของชายฉกรรจ์รูปร่างอ้วนดังขึ้นติด ๆ
“เฟยเอี้ยน เจ้าเป็นหนี้พวกเรา แต่มาหลบหน้ากันแบบนี้ คนดีเขาไม่ทำกันหรอกนะ”
เฟยเอี้ยนกวาดสายตามองไปยังชายฉกรรจ์ทั้งสามคน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ เขารีบยกสองมือขึ้นคารวะ
“พี่ชายทั้งสาม พวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือ”
ได้ยินแบบนั้น ชายฉกรรจ์สามคนมองหน้ากันและกันก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายผู้เป็นพี่ใหญ่พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้าง
“ฮ่า ๆ นี่เจ้าคิดจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นจำพวกเราไม่ได้หรือ”
เมื่อกล่าวจบ หางตาของเขาก็มองไปยังสหายร่างอ้วน ชายรูปร่างเตี้ยอ้วนจึงกล่าวต่อ
“ครั้งนี้มันไม่จบที่แขนอย่างเดียวหรอกนะ อย่างน้อย ๆ กระดูกขาคงไม่เหลือ”
เฟยเอี้ยนที่สูญเสียความทรงจำในอดีต ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ คงจะมีเพียงแต่พวกมันสามคนเท่านั้นที่รู้ว่าเคยกระทำสิ่งใดกับเขาเอาไว้บ้าง บุรุษหนุ่มลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พี่ชายทั้งสาม ตอนนี้ข้าจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ หากข้าสามารถรื้อฟื้นความทรงจำกลับมาได้ ข้าจะรีบไปหาพวกท่านนะ”
ได้ยินแบบนั้น มุมปากของชายที่ดูเหมือนเป็นพี่ใหญ่ก็ถึงกับกระตุกถี่ด้วยความโกรธ
“ดูเหมือนเจ้าจะยังเล่นลิ้นอยู่อีกสินะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะสูญเสียความทรงจำจริงหรือปลอม แต่วันนี้หากข้าไม่ได้เงินกลับไป เจ้าก็ต้องคลานกลับบ้านเท่านั้น!!”
เมื่อกล่าวจบก็โบกมือไปด้านหน้าส่งสัญญาณให้พี่น้องทั้งสองคนจัดการเฟยเอี้ยน ชายตัวเล็กนำมีดสั้นสีเงินวาวออกมาจากตัว เขาใช้ด้านแบนตีไปที่ฝ่ามือพร้อมก้าวเดินเข้าหาชายหนุ่มด้วยสีหน้าอำมหิตดุร้าย
เช่นเดียวกับชายตัวเตี้ย เขาสะบัดแส้บังคับม้าฟาดไปกับพื้นจนเกิดเสียงดัง เพียะ เพียะ!!
เมื่อเฟยเอี้ยนเห็นแบบนั้น เขาก็ทำได้แต่ก้าวถอยหลัง ถึงเขาจะฝึกฝนหมัดมวยเพื่อที่จะสอบเป็นจอหงวนบู๊ แต่จากเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียความทรงจำ วิชาหมัดมวยที่เคยร่ำเรียนมาก็มลายหายไปจนหมดสิ้น