บท
ตั้งค่า

8.ข้าพบท่านแล้ว

อากาศของเดือนสี่ที่กำลังย่างเข้าคิมหันต์ฤดูค่อนข้างหนาวเย็น แสงแดดเจิดจ้ามอบความร้อนให้แก่ผู้คน สายลมเอื่อยพัดมาเป็นระยะให้ความสดชื่นเป็นครั้งคราว

หยางลี่อินแอบอยู่ในมุมของกำแพง รอคอยใครคนหนึ่งด้วยใจที่เยือกเย็น หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดประตูไม้ก็ค่อย ๆ เปิดออก บุรุษหนุ่มผิวกายดุจน้ำผึ้ง รูปร่างสูง แต่งตัวคล้ายบัณฑิต ทว่าความเก่าของเสื้อผ้าแสดงออกถึงฐานะที่ไม่ดีนัก บุรุษผู้นี้อายุราว ๆ 23-24 ปี

แม้ได้เห็นเพียงครั้งเดียว แต่หยางลี่อินสามารถจดจำใบหน้าที่เคยพบได้ หลังจากตามหานานนับเดือน ในที่สุด นางก็ได้พบกับคนที่กำลังตามหา ขณะที่นางกำลังจะเข้าไปทักทาย แสงแดดจ้าตกกระทบผิวหลังคาและสะท้อนไปยังตำแหน่งของบุรุษหนุ่มผู้นั้น

ดวงตาของหยางลี่อินพร่ามัว เมื่อแย้มมองพริบตาหนึ่ง ใบหน้าของชายผู้นี้ถูกซ้อนทับด้วยใบหน้าของกู้เฟยหลงอย่างน่าประหลาดใจ ดวงตาของลี่อินปรากฏหยาดน้ำใสไหลริน นางพึมพำอยู่คนเดียวราวกับคนเสียสติ

“ข้าไม่ได้คิดไปเอง ในที่สุดข้าก็ได้พบกับท่าน”

ถึงจะคำนึงหาอย่างสุดแสน แต่หยางลี่อินก็มิได้ตรงเข้าไปทักอีกฝ่ายทันที เรื่องการมองเห็นดวงวิญญาณเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินธรรมชาติ ทว่าเรื่องที่วิญญาณของผู้วายชนม์ฝืนลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์เข้าไปอยู่ในร่างของอีกคนหนึ่งทำให้เรื่องการเห็นวิญญาณกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในทันที

แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่หยางลี่อินได้เห็นในกรมอาญา แม้สายตามองเห็นเรื่องราวชัดแจ้ง แม้ความรู้สึกจะบอกว่าเป็นกู้เฟยหลง แต่ถึงกระนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงความรู้สึกที่นางสร้างขึ้นจากความคิดถึง ความคะนึงหาและความสูญเสียก็เป็นได้

บนถนนสองสายทอดยาวเป็นเส้นตรง สายลมพัดอ่อน ต้นมู่ตานใหญ่สั่นไหวด้วยแรงลม ดอกสีขาวสะพรั่งกลีบโปรยปลิวไปตามทาง ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ อบอวล หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีก้าวเดินในเส้นทางขนาน หญิงสาวแอบมองอีกฝ่ายด้วยความหวังอยู่เงียบ ๆ จนหมดวัน

รุ่งเช้าวันถัดมา หยางลี่อินลุกจากเตียง สวมชุดเก่าซอมซ่อ ใบหน้าเปื้อนฝุ่นดำด้วยความตั้งใจ เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางก็เปิดประตูเดินตรงไปยังประตู ขณะที่นายหญิงของจวนกำลังเดินออกจากประตู นางก็ถูกร่างของเสี่ยวจูขวางไว้ก่อน

“ฮูหยิน ท่านจะไปที่นั่นบ่อย ๆ ไม่ได้นะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าที่นี่เป็นจวนตระกูลหยาง ทุกคนในที่นี้จงรักภักดีต่อท่าน แต่หากฮูหยินยังออกไปที่เดิมซ้ำ ๆ จะกลายเป็นเรื่องน่าสงสัยนะเจ้าคะ และหากเรื่องนี้รู้ถึงหูคนในตระกูลกู้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งตอนนี้ฮูหยินใหญ่ปลงผมออกบวชที่วัดเป่ากั๋วด้วยแล้ว ท่านไม่มีเสาหลักภายในตระกูลกู้อีกแล้วนะเจ้าคะ”

หยางลี่อินเมื่อได้ยินเช่นนั้นกลับตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ช่างปะไร คนในตระกูลกู้ที่ข้าเคารพมีเพียงท่านแม่ ขอเพียงท่านแม่เข้าใจ คนอื่น ๆ ข้าหาได้สนใจไม่”

ถึงกระนั้น สาวใช้คนสนิทกลับไม่ยอมหลบ นางก้มหน้ายืนนิ่งไม่ไหวติง หยางลี่อินเห็นดังนั้นจึงจ้องนางเขม็ง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเดือดดาล

“เสี่ยวจู หลีกทางให้ข้า ไม่เช่นนั้นก็ไปเปลี่ยนชุดและตามข้ามา เวลาไม่เช้าแล้ว”

แม้ว่าเสี่ยวจูจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของหยางลี่อิน แต่เมื่อห้ามไม่ได้ ก็ดีกว่าที่นางจะติดตามไปด้วย หากเกิดเหตุร้าย นางจะได้ช่วยเหลือฮูหยินได้ทันท่วงที

“ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนนะเจ้าคะ”

ทันใดนั้น เสี่ยวจูก็รีบเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดเก่า ๆ เพื่อที่จะไปยังถนนผู้ยากไร้

เมื่อสาวใช้คนสนิทวิ่งกลับมา หยางลี่อินก็โหนตัวขึ้นไปบนหลังม้า นางพยักเพยิดให้เสี่ยวจูตามขึ้นมา

“เราไม่ได้จะให้คนรถไปส่งหรอกหรือเจ้าคะ”

หยางลี่อินไม่ได้ตอบคำถาม นางเพียงถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“เจ้าจะไปหรือไม่ไป”

“ไปเจ้าค่ะ ไป ไปเจ้าค่ะ”

จากนั้นสองนายบ่าวก็ควบม้ามุ่งตรงไปยังถนนผู้ยากไร้ ลี่อินผูกม้าให้ห่างจากบ้านของชายหนุ่ม และเหมือนเช่นทุกวัน บุรุษผู้นั้นจะออกมาฝึกฝนหมัดมวยราวกับว่าเขามีความฝันอันยิ่งใหญ่ จึงต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมอยู่เสมอ

สองสายตาของนายและบ่าวจ้องมองไปยังบุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา สำหรับเสี่ยวจูแล้ว ให้มองชายคนนี้แค่เพียงสองเค่อก็บังเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายอยากไปทำสิ่งอื่นเสียแล้ว

ดรุณีน้อยใช้มือเท้าคางมองไปที่บุรุษตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถามเจ้านายของตน

“ฮูหยิน ท่านยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกกับข้าใช่หรือไม่”

หยางลี่อินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความคิด

ในอดีต หลังจากเซวียนคงไต้ซือสอนวิชาแพทย์แก่ลี่อินจนหมด ท่านได้ออกเดินทางช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากนอกเมืองหลวง ในเวลานั้น หยางลี่อินในวัย 13 ปีที่ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังก็ได้รับคำแนะนำจากกู้เฟยหลงให้เดินทางเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง

ท่านย่าของเสี่ยวจูก็คือคนไข้คนแรกที่ลี่อินทำการรักษา นางใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมารักษาไข้เหมันต์ในชีพจรให้กับท่านย่าของเสี่ยวจูโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเมื่อนางเห็นว่าลี่อินที่เพิ่งจะเข้ามาอาศัยในเมืองหลวงไม่มีที่พึ่งพิง นางจึงเชิญลี่อินมาอยู่ด้วยกัน

หยางลี่อินที่ไม่หวังพึ่งพิงอำนาจของกู้เฟยหลงก็ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวที่เข้าเมืองใหญ่ตามลำพัง เมื่อได้รับคำชวนจากท่านย่าที่มีจิตใจเมตตา นางจึงตอบรับกลับไป

และนั่นเป็นครั้งแรกที่หยางลี่อินได้พบกับเสี่ยวจู เวลานั้นดรุณีน้อยมีอายุเพียง 3 ขวบ และถึงแม้เรือนที่อาศัยอยู่จะเป็นเรือนไม้เล็ก ๆ แต่กลับกลายเป็นว่ามันสามารถให้ความอบอุ่นได้ประหนึ่งครอบครัว

ตลอดการเติบโตของหยางลี่อินก็เป็นช่วงเวลาการเติบโตของเสี่ยวจูด้วยเช่นกัน ความลับที่ลี่อินไม่อยากพูดกับใคร นางมักจะระบายให้เสี่ยวจูฟัง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการมองเห็นดวงวิญญาณ

คิดได้แบบนั้น ลี่อินก็บอกเล่าทุก ๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับเสี่ยวจูฟัง

ดรุณีน้อยค่อย ๆ เบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเรื่องราว นางรู้ว่าลี่อินสามารถมองเห็นดวงวิญญาณและก็รู้ว่าอาการประหลาดนี้ค่อย ๆ หายไปตั้งแต่ที่ลี่อินเข้ามาในเมืองหลวง จนกระทั่งไม่เคยพบเห็นดวงวิญญาณอีกเลยนับตั้งแต่ได้ครองรักกับกู้เฟยหลง

ความแปลกประหลาดนี้ นักพรตจากวัดเป่ากั๋วเคยบอกไว้ว่า กู้เฟยหลงเป็นดาวปราบมาร ยามที่หยางลี่อินอยู่ใกล้กู้เฟยหลง อาการแปลกประหลาดนี้จึงลดลงและหายไปในที่สุด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel