ตอนที่ 1 พระเอกในจินตนาการ (4)
วันหยุดเพลินตาหยุดแต่ร้านไม่ได้หยุด เธอให้หลานสาวมานั่งแทน และจ่ายค่าตอบแทนให้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการหารายได้ระหว่างเรียนของหลานไปด้วย ดังนั้นวันนี้เธอจึงออกมาลั้นลาได้ และคนที่จะออกไปเป็นเพื่อนก็คือวิลันดาเพื่อนรักเพื่อนที่คบหากันมานานมาก ด้วยความที่ไม่ชอบให้ใครรอเธอจึงเป็นฝ่ายไปรับเพื่อนที่บ้าน แน่นอนอีกฝ่ายยังแต่งตัวไม่เสร็จ แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะเธอมีสิ่งฆ่าเวลา
“ฉันออกไปนั่งอ่านหนังสือรอที่สวนหน้าบ้านนะ”
“เอ้อ”
จากนั้นเพลินตาก็หยิบกระเป๋าประจำกายซึ่งผู้หญิงคนอื่นอาจจะเป็นกระเป๋าสะพายข้างเล็ก ๆ สวย ๆ ไว้ใส่โทรศัพท์หรือกระเป๋าเงิน แต่สำหรับเธอไม่ใช่ เธอต้องกระเป๋าเป้ใบไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดพอใส่หนังสือได้ เธอเอามันมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดหยิบเอาหนังสือนิยายที่อ่านค้างเอาไว้ มือถือและหูฟังขึ้นมา เปิดเพลงฟังแล้วอ่านหนังสือใต้ร่มไม้เย็น ๆ
แหม...มันช่างได้บรรยากาศจริง ๆ
ฟังเพลงไปอ่านหนังสือไป
และในขณะที่เธอกำลังอ่านเพลิน ก็มีวัตถุบางอย่างหล่นปุ๊กลงมาตรงหน้า ทำเอาเพลินตาถึงกับลุกขึ้นร้องอย่างตกใจ
“ว้าย!” หญิงสาวลุกขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาโทรศัพท์ตกลงบนพื้นหญ้า ในขณะที่หนังสือของเธอก็เป็นรอยเปื้อนจากอะไรบางอย่าง และพอหันไปมองมันคือลูกบอล
แล้วมันมาจากไหน
เพลินตาเดินไปหยิบลูกบอลแล้วมองไปที่ข้างบ้านก็เห็น เด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนเกาะรั้วมองมาที่เธอ “ผมขอโทษครับ ผมขอลูกบอลคืนได้ไหมครับ” เด็กน้อยยกมือไหว้และมองเธอด้วยสายตาอ้อนวอน
“คราวหน้าก็ระวังด้วยนะ ว่าแต่หนูเพิ่งมาอยู่ใหม่เหรอ” เพลินตาถามอย่างอยากรู้ เพราะบ้านหลังนี้เธอมารอบไหนก็ยังไร้คนอยู่
“เปล่าครับ บ้านนี้เป็นของเพื่อนผมครับ ไม่ใช่ของผม” เด็กน้อยส่ายหน้า ก่อนยกมือไหว้แล้วรับลูกบอลจากน้าสาวข้างบ้าน
“คอปเตอร์ได้บอลหรือยัง” จู่ ๆ ก็เด็กอีกคนวิ่งเข้ามา “ไปเล่นกัน”
“เอ้อ ๆ ได้แล้ว ๆ” หันไปบอกเพื่อน และกำลังจะเดินผละออกไป เพื่อนของเขาก็ร้องทักน้าคนนั้นขึ้น “อ้าว น้าที่ร้านหนังสือนี่ สวัสดีครับ” ว่าแล้วเด็กน้อยก็ยกมือไหว้พร้อมกับรอยยิ้มสดใสเช่นเคย
“สวัสดีจ้ะ นี่บ้านเราเหรอ” ถามไปก็ใจเต้นไป ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าน้ากับหลานจะอยู่บ้านเดียวกันหรือเปล่า หรือถ้าอยู่เธอจะได้เจอเขากับภรรยาหรือเปล่า
“ครับ” เด็กน้อยมองหน้าคนที่เหมือนไม่ได้มองตัวเอง และเหมือนกำลังมองหาใครบางคน หรือว่าจะเป็น...
“คุณน้าไม่อยู่ครับ”
“อุ๊ย! น้าไม่ได้มองหาน้าเราสักหน่อย ไปเล่นได้แล้วไป ระวังด้วยล่ะ” เพลินตารีบไล่ก่อนที่จะโดนเด็กจับไต๋ได้
“ครับ” เด็กสองคนรับคำขึ้นพร้อมกัน แล้ววิ่งผละออกไป ในขณะที่เพลินตาถึงกับถอนหายใจ เซนส์เด็กนี่น่ากลัวจริง หรือเธอออกอาการมากเกินไปนะ
“เพลิน...เพลิน...ยัยเพลิน!” วิลันดาที่พร้อมจะออกจากบ้านเดินออกมาเห็นเพื่อนยืนบ่นอะไรงึมงำคนเดียวเลยเดินเข้ามาเรียก แต่เรียกแล้วเรียกอีกก็ยังไม่รู้ตัวจนต้องตะโกน
“ว้าย!” เพลินตาอุทานเสียงหลง ก่อนจะหันมาเจอว่าเป็นเพื่อนก็ถึงกับมองค้อน “อะไร”
“แกน่ะเป็นอะไร ยืนบ่นยืนยิ้มคนเดียวอย่างกับคนบ้า”
เพลินตามองค้อนเพื่อนไปอีกทีหนึ่ง ก่อนจะขยับเข้าไปจนชิดแล้วกระซิบถามราวกับกลัวใครจะได้ยินทั้งที่อยู่กันแค่สองคนเท่านั้น “ครอบครัวนี้ย้ายมาอยู่นานยัง”
“อาทิตย์ที่แล้วนี้เอง ทำไม แกรู้จักเหรอ”
“แล้วพวกเขาอยู่กันกี่คนน่ะ”
วิลันดาหรี่ตามองเพื่อนรักอย่างจับผิด เพราะปกติหญิงสาวจะไม่ค่อยชอบเผือกเรื่องของชาวบ้านเท่าไหร่ วัน ๆ หมกมุ่นอยู่กับโลกในจินตนาการเสียมากกว่า “นี่แกทำงานทะเบียนราษฎรตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“เอ้อน่า ตอบมา” เพลินตาคะยั้นคะยอ ไม่ต่อปากต่อคำ
“เท่าที่เห็นรู้สึกจะสี่คนมั้ง”
“ใครบ้าง ใครบ้าง” เธอถามอย่างตื่นเต้น จนพลอยทำให้วิลันดาพลอยรู้สึกไปด้วย ก่อนจะไล่ชื่อเพื่อนบ้านคนใหม่ให้เพื่อนได้ฟัง “คุณฝ้าย คุณนนท์ น้องสายฟ้า และคุณนักรบ”
“นักรบ...นักรบ..นักรบ มีแค่นี้จริงเหรอ”
“เท่าที่เห็นน่ะนะ” วิลันดาหรี่ตามองเพลินตาอย่างสงสัยว่าทำไมดูสนใจกับเพื่อนบ้านคนใหม่ของเธอนัก แต่เอ๊ะ ! เมื่อครู่ได้ยินชื่อของนักรบซ้ำ ๆ จากปากของยัยบ้าหนังสือคนนี้นี่
“แก..ขอบใจมากน่ะที่ยอมคบฉันเป็นเพื่อน” เพลินตาโผเข้าไปกอดเพื่อนพร้อมกับทำท่าคร่ำครวญ
“แกเป็นไรอะ” วิลันดาทำหน้าตาตกใจ จู่ ๆ เพื่อนก็ดราม่าซะงั้น
“ฉันดีใจ ต่อไปนี้ขอมาบ้านแกบ่อย ๆ ได้ไหม”
วิลันดาที่เริ่มจะปรับอารมณ์ตามเพื่อนคนนี้ไม่ทัน พยักหน้ารับเมื่อเห็นสายตาเป็นประกายของอีกฝ่าย “ก็มาสิ ไม่ได้ไกลกันสักหน่อย ว่าแต่มีอะไรบอกมา”
“ขึ้นรถเดี๋ยวเล่าให้ฟัง” เพลินตามองไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง พลางอมยิ้ม
“งั้นไปสิรออะไร อยากรู้ใจจะขาดแล้วเนี่ย” ว่าแล้ววิลันดาก็ลากเพื่อนรักไปขึ้นรถ คราวนี้เธอจะซักฟอกให้สะอาดเชียว