บท
ตั้งค่า

๔ พูดจาสู่ขอ (๑)

พูดจาสู่ขอ

ร่างแบบบางตอบรับในบัดดล แทบจะไม้เวลาไตร่ตรองสักนิดสร้างความตกใจแก่บุพการีเป็นอย่างยิ่ง บุตรสาวสุดที่รักไม่มีวี่แววว่าจะเข้าพิธีวิวาห์กับใคร แต่พอมีเหตุให้เกิดทำไมจึงต้องเป็นผู้ชายที่พ่อไม่ถูกชะตาด้วย

อติกานต์เหลียวมองลาภิศร์แล้วยิ่งขัดใจมากกว่าเดิม มือหนากำเข้าหากันแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนคนเป็นภรรยาต้องจับแขนเขาเอาไว้เป็นการปลอบให้ใจเย็น ลูกสาวตัวดีไม่รู้คิดอะไรกันแน่จึงยอมรับการแต่งงานเสียงแข็งขัน

เปรมสินีเดินไปนั่งลงข้างว่าที่สามีจนเขาต้องขยับห่าง แต่หล่อนก็จับแขนหนามากอดไว้ เหมือนเป็นการบังคับไม่ให้ชายหนุ่มหนีไปไหนได้

ไม่คิดว่าฟ้าจะประทานสามีมาให้ได้ทันเวลาพอดี เธอรีบทำหน้าเศร้าพลางสบตาประมุขของบ้านวัฒนาพิบูลย์ อดีตปลัดผู้มีคนให้ความเคารพมากมายถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เค้นเสียงถามในสิ่งที่สงสัย

“ทำไมถึงจะแต่ง รักชอบกันหรือไง” ตั้งแต่เปรมสินีกลับมาอยู่บ้านไม่เห็นคนทั้งสองไปมาหาสู่ เรียกว่าแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำ แล้วทำไมจึงบอกจะแต่งงาน ยิ่งคิดก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยมากกว่าเดิม

ลูกสาวคิดจะเล่นพิเรนทร์อะไร...

“เรื่องแบบนี้มันก็พูดยากนะป๊า หนูกับต้นก็รู้จักกันมานาน เราสองคนแอบมองกันตลอดแต่ไม่มีโอกาสทำความรู้จัก เมื่อคืนหนูเมาเขาก็เมาเราเลยเผลอไผลไปกับบรรยากาศที่โรแมนติก” เรื่องราวที่ถูกแต่งในชั่ววินาทีออกมาจากปากอวบอิ่ม พร้อมอารมณ์แห่งรักที่พรั่งพรู กอดแขนเขาแน่นกว่าเดิมถึงแม้ชายหนุ่มจะพยายามขยับห่าง

สายตาของอติกานต์น่ากลัวเกินไป เหมือนจะแผดเผาร่างของว่าที่ลูกเขยให้แหลกเป็นจุณหากแตะต้องบุตรสาวตน

แต่เขายังไม่ได้แตะแม้ปลายก้อย เป็นหล่อนเองที่พยายามเข้ามาใกล้ ไหนจะแต่งเรื่องทั้งหมดโดยไม่ใกล้เคียงความจริงสักนิด

“หา...” ครางเสียงแผ่วอึ้งกับจินตนาการของเปรมสินี จนกนกวดีที่นั่งขนาบอีกข้างของบุตรชายต้องปราม

“ไอ้ต้นเงียบ” คนเป็นแม่ย่าถูกใจสะใภ้ยิ่งนัก แอบอมยิ้มหลังฟังเรื่องราวทุกอย่างจบ พร้อมรับไม้ต่อจากเปรมสินีอย่างรวดเร็ว แสร้งทำหน้าเศร้าพลางเอ่ยกับรุ่นพี่คนสนิท

“ยังไงข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุก จะไม่ให้ฉันรับผิดชอบได้ยังไงล่ะพี่ปลื้ม ต้นเองก็เต็มใจแต่งงานกับน้องปิ๊ม เด็กสองคนดูเหมือนจะรักชอบกันด้วย พี่อย่าขัดขวางเลยนะ” สีหน้าของอติกานต์ยังคงนิ่งขรึม ขณะที่ลัลนาเอาแต่มองสองหนุ่มสาวสลับกันแล้วครุ่นคิด

แววตาแห่งรัก...ไม่ปรากฏ

ดูเหมือนคำพูดของลูกสาวจะเป็นการโป้ปดเสียมากกว่า แต่ที่นางอยากรู้คือเปรมสินีทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร การแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่นึกสนุกอยากแต่งก็แต่ง ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งนั้น

“หา” ลาภิศร์ตกใจซ้ำสองเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาพูด

เขาเหงื่อแตกพลั่กเริ่มกังวลกับเหตุการณ์ตรงหน้า อยากยกมือเช็ดเหงื่อแต่แขนข้างหนึ่งก็ถูกหล่อนกอดเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็อ่อนแรงจนยกขึ้นไม่ได้ ชายหนุ่มแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“มึงจะหาอะไรนักหนา นั่งเงียบๆ สงบปากสงบคำ” นึกโมโหลูกชายที่อาจทำให้เสียเรื่องจึงรีบปราม

“แม่ ผมไม่แต่ง ผมไม่ได้รักยัยนี่” กระซิบช้างหูมารดาด้วยแววตาอ้อนวอน และก่อนที่บิดาจะได้เอ่ยปัด เธอตัดสินใจแต่งเรื่องอีกครั้งเพื่อให้ท่านเชื่อในคำพูดของตัวเอง ถึงมันจะไม่เป็นความจริงก็ตาม

“ปิ๊มผิดเองป๊า...เมื่อก่อนต้นเคยมาสารภาพรักแต่ปิ๊มปฏิเสธไปเพราะอยากโฟกัสเรื่องการเรียน มาถึงตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว ป๊ายอมให้เราแต่งงานกันเถอะนะ” เล่าความเท็จโน้มน้าวใจอติกานต์ที่ยังนิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยสักคำ จดจ้องลูกสาวแล้วเลยไปมองชายหนุ่มที่นั่งนิ่งไม่พูดจา

มองเท่าไหร่ก็ให้ขัดใจเท่านั้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลายครั้งจนลัลนาต้องเหลือบมองสามี คงหนักใจที่ลูกสาวสุดที่รักกำลังบอกรักผู้ชายต่อหน้า แล้วยังขอให้พ่อยอมอนุญาตเรื่องการแต่งงานอีก เขาคงทำใจยากสักหน่อย

“ใช่พี่ปลื้ม เด็กสองคนเขารักกันยอมให้แต่งงานกันเถอะ” รีบรบเร้าช่วยอีกแรง ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปอย่างที่ตนต้องการ

ทุกสายตาจึงจ้องไปยังอติกานต์เหมือนเป็นการกดดันไปในตัว สองสาวต่างวัยมีแรงปรารถนาแกร่งกล้าที่จะให้งานเกิดขึ้น ยกเว้นลาภิศร์ที่พึมพำให้คุณลุงหน้าโหดปฏิเสธ หัวใจเต้นโครมครามแทบหลุดออกจากอก

บอกปฏิเสธเถอะ...ได้โปรด

“เฮ้อ มาถึงขั้นนี้จะทำอะไรได้ล่ะ” ประโยคนั้นเหมือนเป็นการตอบรับมากกว่า สร้างความตระหนกแก่ลาภิศร์เป็นอย่างยิ่ง ต่างจากเปรมสินีที่เกือบลุกกระโดดด้วยความดีใจ แต่เจอสายตาของมารดาปรามเอาไว้ไม่ให้ทำสิ่งใดเกินงาม หล่อนจึงนั่งขวยเขินเก็บกริยา

“เดี๋ยว เดี๋ยวสิครับ ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ ไม่ขัดขวางหน่อยเหรอครับ” ถึงกับปากสั่นขณะถาม จ้องตาอติกานต์เพื่อให้อีกฝ่ายพูดเสริมอีกสักเล็กน้อย เมื่อครู่ท่านอาจจะพูดไม่จบประโยคหรือเปล่า ต้องเป็นการปฏิเสธไม่ใช่เลยตามน้ำสิ

แค่คิดว่าต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ก็ร้อนรุ่มเหมือนก้าวเข้าสู่ประตูนรก เขาไม่มีทางให้งานนั้นเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

“ไอ้ต้น” กนกวดีเรียกชื่อเพื่อเตือนสติลูกชาย

“ต้น...เราจะได้แต่งงานกันแล้วนะ” หล่อนกอดแขนหนาแน่นกว่าเดิม เอนศีรษะซบเขาแสดงออกถึงความยินดีอย่างสุดซึ้ง

จนกระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นของว่าที่สามี ทุกคนในที่นั้นต่างตกใจไม่คิดว่าเขาจะร้องไห้ ขณะที่เจ้าตัวก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าตนกำลังร้องไห้งอแงเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ

“ฮือ”

“ร้องไห้ดีใจใหญ่เลย” เปรมสินีซับน้ำตาให้เขาอย่างรวดเร็ว พลางหาเหตุผลเพื่อไม่ให้บุพการีของตัวเองสงสัยในอาการของว่าที่ลูกเขย ทุกอย่างเหมือนจะเป็นดังใจหญิงสาวจนแย้มยิ้มไม่รักษาอาการ ราวกับว่าอยากให้งานแต่งจัดเสียวันนี้พรุ่งนี้

ต่างจากฝ่ายเจ้าบ่าวซะเหลือเกิน...

‘ตกนรกทั้งเป็นแน่กู’ ใครพูดอะไรเขาไม่อาจรับรู้ได้อีกแล้ว ชายหนุ่มนั่งแข็งทื่อเหมือนขอนไม้อยู่ร่วมชั่วโมงจึงกลับบ้านพร้อมมารดา เขากำลังโดนมัดมือชกอย่างไม่ยุติธรรม

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ร่างสูงก็รีบโวยวายแบบไม่เต็มเสียง กลัวว่าตนจะถูกบิดหูหรือทำร้ายร่างกาย จึงขยับห่างจากนกวดีเล็กน้อย แล้วใช้บิดาที่กำลังจะเดินผ่านเป็นกำบัง

“แม่ ไหนตอนแรกบอกแค่ว่าจะไปขอโทษ แล้วทำไมลงท้ายที่ผมต้องแต่งงานด้วยล่ะ บอกแล้วไงว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด คืนนั้นเรานอนข้างกันแต่ไม่ได้มีอะไรกัน แม่ทำไมไม่เชื่อผมบ้างเนี่ย” พูดเป็นรอบที่ร้อยก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด อาจเพราะเขาไม่ตรวจทานให้มั่นใจว่าผู้หญิงที่นอนด้วยคือรัญธิดาตัวจริงหรือเปล่า มั่นใจว่าต้องเป็นหล่อนอย่างแน่นอนเมื่อมอบคีย์การ์ดให้เธอกับมือแล้วจะเป็นหญิงอื่นได้อย่างไร

แต่เหมือนฟ้ากำลังกลั่นแกล้งกัน จึงได้ส่งใครอีกคนเข้ามาแทน ลงท้ายเรื่องทุกอย่างกลับตาลปัตรไกลเกินจะกู่กลับ

“เป็นลูกผู้ชายต้องรับผิดชอบ แกจะบอกว่าตัวเองไม่ผิดแต่ชื่อเสียงผู้หญิงเขาเสียหายไปแล้ว อย่าทำตัวมีปัญหาได้ไหม นี่แม่อุตส่าห์ออกหน้าให้เองนะ อีกอย่างปิ๊มก็น่ารัก ครอบครัวเขาก็รู้จักกับบ้านเรามานาน ไปมาหาสู่กันตลอด” รอยยิ้มของมารดาหวานหยดจนเขานึกสยอง ดูท่าว่าถึงจะพูดความจริงไปทุกอย่างก็คงไม่กลับไปเป็นดังเดิม

“ต่อจากนี้ก็เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าว เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ” บอกลูกชายเสียงเข้ม จนลาภิศร์ต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากเสือที่ยืนนิ่งไม่เอ่ยอะไรสักคำ

“พ่อ!”

“มึงทำตัวเอง” บอกเสียงเรียบเพราะสายตาของกนกวดีที่จ้องสามีไม่วางตา ราวกำลังข่มขู่ว่าถ้าเข้ายื่นมือเข้ามายุ่ง อาจจบไม่สวยก็เป็นได้ เรื่องนี้จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่หล่อน ส่วนเขาก็ทำได้แค่ให้กำลังใจอย่างเดียว

“โธ่เว๊ย!” โมโหจนเตะลมชกอากาศ อยากโวยวายมากกว่านี้ก็ทำไม่ได้

“คิดจะทำอะไรก็ช่วยไตร่ตรองก่อนด้วยนะ บ้านปิ๊มเขาไม่ธรรมดา ถ้าแกทิ้งลูกสาวเขาเป็นม่ายขันหมาก...คงไม่ได้อยู่แบบสงบสุข” รีบเตือนก่อนที่ลูกชายจะหาเหาใส่หัวตัวเอง เขายิ่งนึกโมโหมากกว่าเดิมที่ไม่มีอะไรเป็นดั่งใจตัวเองสักอย่าง

งานแต่งสายฟ้าแล่บ กับเจ้าสาวที่ไม่ได้ต้องการ...มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย

“ต้องไปเตรียมงาน...เอ๊ะ หาฤกษ์ก่อนสิ ฤกษ์ดีวันไหนนะ” คิดได้ดังนั้นจึงฮัมเพลงแล้วเดินออกจากบ้านเพื่อไปหาพระที่ตนเคารพอยู่วัด จะได้ขอฤกษ์งามยามดีแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้าน แต่ถ้าฤกษ์ดีไกลไปก็คงต้องขอเป็นฤกษ์สะดวกแทน

สองพ่อลูกมองตามประมุขของบ้านผู้กุมอำนาจทุกอย่างเอาไว้ ลาภิศร์ถอนหายใจก่อนอธิบายกับบิดาเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง

“แต่คืนนั้นผมไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะพ่อ”

“พูดไปแม่เขาก็ไม่เชื่อหรอก ปักใจอยากได้ลูกสาวบ้านโน้นเป็นสะใภ้ขนาดนี้ ต่อให้นอนห่างกันเป็นวาก็หาเรื่องจนได้นั่นแหละ” รู้ใจกนกวดีจากการสังเกตยามอีกฝ่ายไปซื้อของที่ร้านอติกานต์ มักจะพูดถึงลูกสาวคนสวยบ้านวัฒนาพิบูลย์ตลอด

พอถึงวันที่พอมีเหตุผลให้ได้อีกฝ่ายมาเป็นสะใภ้ มีหรือจะปล่อยโดยง่ายถึงแม้ว่าความจริงจะต่างออกไปก็ตาม สิ่งที่ลูกชายต้องทำคือตั้งรับมือกับผู้หญิงทั้งสองคน ทั้งแม่และว่าที่ภรรยาในอนาคต

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel