๓ พรหมลิขิตผีผลัก (๒)
เหมือนที่เคยนัดแนะกันเอาไว้...โดยร่างสูงไม่รู้ว่าเพื่อนไม่ได้ถ่ายคลิป แต่เลือกจะไลฟ์สดต่างหาก!
“อะไรแม่ ร้องโวยวายแต่เช้านี่โรงแรมนะครับไม่ใช่บ้าน โอ๊ย โอ๊ย!” ถึงกับร้องเสียงลั่นไม่สนใจใครเมื่อหูถูกบิดอีกรอบ เขาแทบจะร้องไห้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงได้ชอบบิดหูของตนนัก มันเจ็บยิ่งกว่าตีซะอีก
“แกเปิดห้องพาผู้หญิงมานอนเนี่ยนะ รู้ไหมค่าห้องตั้งเท่าไหร่ ทำงานกี่ชั่วโมงถึงจะได้เงินขนาดนี้” บ่นด้วยความขับข้องใจ ปกติลูกชายจะนอนบ้านเสมอ แต่เมื่อคืนบอกว่าขออยู่กับเพื่อนเธอก็ตามใจ ทว่าเช้าวันต่อมาเพื่อนสนิทของลาภิศร์กลับวิ่งมาบอกเรื่องที่อีกฝ่ายพาผู้หญิงไปนอนโรงแรม
นางจึงเปลี่ยนชุดแล้วขับรถเพื่อมาจัดการลูกคนเล็กที่ชอบหาเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน พอเจอตัวก็จัดการบ่นไม่หยุดแล้วค่อยปล่อยมือจากหูนุ่ม เล่นเอาคนโดนกระทำถึงกับพรูลมหายใจโล่งอก ตอนแรกนึกว่าจะถูกดึงจนหูขาดแล้วซะอีก
“ครับๆ เชิญด่าได้ตามสบายเลย”
“ขอดูหน้าผู้หญิงที่แกพามานอนหน่อยสิ อยากรู้จริงๆ ว่า...” กนกวดีหมายจะเดินไปที่เตียงกว้างเพื่อเปิดผ้าห่มซึ่งคลุมร่างแบบบางเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะก้าวถึงกลายเป็นว่าคนที่เข้าสู่ห้วงนิทราตื่นขึ้นมาพอดี
ตากลมค่อยปรือขึ้นแล้วพูดทั้งที่ยังไม่ตื่นเต็มตาด้วยซ้ำ รำคาญเสียงเอะอะที่รบกวนการนอนของตนเอง โดยไม่รู้ว่าเธอสร้างความตกใจให้คนทั้งห้องมากแค่ไหน
โดยเฉพาะลาภิศร์ที่ยืนนิ่งค้างเหมือนถูกสาป...
“เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรแต่เช้า คนจะหลับจะนอน อยากพูดก็ออกไปคุยกันข้างนอก”
“ปิ่มปิ๊ม!”
“เฮ้ย!! ทำไม ทำไมเป็นเธอ!”
ไม่ใช่เพียงแค่กนกวดีที่ตกใจเพราะคนเป็นลูกชายตกใจยิ่งกว่า เบิกตากว้างแล้วจ้องผู้หญิงตรงหน้า ทั้งขยี้ตากลัวว่าสายตาอาจจะพร่าเลือนก็ได้ คนที่ควรนอนบนเตียงกับเขาคือรัญธิดาไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงเป็นรุ่นพี่สายโหด
ต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่นอน มันต้องไม่ใช่ความจริง หรือเขากำลังฝันไป...แต่แรงที่มารดาบิดหูก็ทำให้รู้ว่าคือความจริง
ตนไม่ได้ฝันและผู้หญิงที่นอนบนเตียงคือเปรมสินี!
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หล่อนเข้ามานอนตอนไหนแล้วเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร คำถามวิ่งวนในหัวไม่หยุดจนยืนนิ่งค้าง มีเพียงคนเป็นแม่ที่เปลี่ยนจากอาการโกรธเกรี้ยวเป็นยิ้มกว้างพึงพอใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมาก
“ตายแล้วๆๆ ลูกชายสุดที่รักของแม่ พ่อยอดขมองอิ่มไม่คิดไม่ฝันเลยว่าลูกจะตาสว่างมีหัวคิดในการเลือกเมีย” หันมาชื่นชมลูกชายคนเล็กแล้วยิ้มกว้างบ่งบอกถึงความสุขที่ล้นทรวง ค่อยผินหน้ากลับไปมองเปรมสินีอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้หล่อนตื่นเต็มตาแล้วลุกยืนพลางเช็ดตามหน้าตาของตัวเอง
หล่อนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...
เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอควรนอนอยู่ที่ห้องพักของตัวเองไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจึงมานอนกับลาภิศร์ได้ล่ะ
“มึงถ่ายคลิปทำไมลบสิวะ!” หันไปตวาดเพื่อนทั้งที่คุยกันก่อนหน้าแล้วว่าจะถ่ายคลิปไว้เพื่อกระพือเรื่องราวใหญ่ มารดาจะได้อนุญาตให้ตนคบหากับรัญธิดา แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นดังคาดเอาไว้ ผู้หญิงที่นอนกกกอดตลอดคืนไม่ใช่คนที่ตนหมายตา
รีบปิดไลฟ์อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นท่าไม่ดี ทว่าอาจสายเกินไปเพราะคลิปได้แพร่หลายอย่างรวดเร็วผ่านอินเตอร์เน็ต
“เอ่อ นี่ นี่มันอะไรกัน ทำไมทุกคน...” เธอเองก็อึ้งไม่ต่างกัน ลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางกวาดสายตามองตั้งแต่กนกวดีไปจนกระทั่งลาภิศร์ที่ยืนหน้าซีดเผือดไม่ต่างหาก
“เมื่อคืนหนูนอนกับลูกชายของน้าจ้ะ” ตอบด้วยวาจาฉะฉาน ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา อยากจ้างกลองยาวมาแก่ขบวนขันหมากเสียวันนี้เลย ลูกชายที่ชอบขัดใจแม่มาเพิ่งทำถูกใจเป็นครั้งแรก
ต้องรีบคว้าโอกาสเอาไว้ไม่ว่าเรื่องตรงหน้าจะจริงหรือไม่ก็ตาม!
“คะ!”
“ไม่ได้นอนนะแม่!” ตะโกนบอกเสียงดังเพื่อให้มารดาทราบถึงความจริง
แค่นอนกอดไม่นับสักหน่อย!
“นอนสิ หลักฐานทนโท่ขนาดนี้จะไม่ให้เรียกว่านอนได้ยังไง ตายๆๆ แบบนี้มันไม่ถูกต้องเขาเรียกว่าผิดผี เอาล่ะ เรื่องมันเกิดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ลูกคุยกันไปเลยนะที่เหลือแม่จะจัดการเองจ้ะ” พูดจบก็ปลีกตัวออกจากห้อง ปล่อยลูกชายตะโกนเรียกเสียงดัง รู้สึกไม่ชอบมาพากลกับแววตาของมารดาเมื่อครู่
“จัดการอะไร แม่ แม่!” ถึงแม้จะได้ยินเสียงเข้มเรียกดังก้องแต่คนเป็นแม่ก็ไม่หันกลับ สร้างความหงุดหงิดแก่ร่างสูงยิ่งนัก โดยเฉพาะประโยคที่เปรมสินีเอ่ยขึ้น
“ทำไมพวกนายเข้ามาในห้องฉัน แล้วเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้ากิ่งถึงพูดอะไรแปลกๆ ฉันไม่เข้าใจ” มือหนากำเข้าหากันแน่น ลืมความกลัวทุกอย่างที่มีต่อหล่อนไปเสียสนิท หันหน้ามาเผชิญกับร่างบางซึ่งยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เธอนั่นแหละเข้ามานอนในห้องฉันได้ยังไง”
“นี่มันห้องของฉัน” โต้กลับทันควัน
“ห้องฉันโว้ย ฉันเป็นคนเช็คอินแล้วให้เพื่อนมานั่งเล่นตั้งนาน ไม่เชื่อถามพวกมันดูก็ได้...” รีบโยนไปให้เพื่อนสองคนที่ทำหน้าอึ้งพูดอะไรไม่ออก ยิ่งดวงตากลมตวัดมองอย่างเอาเรื่องก็พยายามเค้นสมองว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า
“ลืมตากผ้าให้แม่ว่ะ”
“ลืมหุงข้าว...เรากลับกันเถอะ” จับจูงมือกันออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งร่างสูงเอาไว้กับรุ่นพี่เพียงสองคน จนลาภิศร์ทำได้แค่ตะโกนด่าไล่หลัง
“ไอ้เพื่อนเวร! มึงทิ้งกูเลยนะ” กำมือแน่นแล้วพรูลมหายใจหนัก เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเรื่องกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้
“เมื่อคืนฉันเมามากแล้วก็...น่าจะเพื่อนมาส่งที่ห้องตามคีย์การ์ด นายเข้ามาพร้อมฉันตอนนั้นเหรอ” เธอพยายามทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความทรงจำอันน้อยนิด ดื่มเยอะจนจำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ รับรู้เพียงความหนาวเย็นที่ต้องกาย ก่อนจะพบความอบอุ่นถึงได้นอนหลับสบายตลอดทั้งคืน
อย่าบอกนะว่าความอบอุ่นที่ได้รับตลอดค่ำคืนคืออ้อมกอดของคนตรงหน้า!
“ก็บอกว่านี่ห้องฉัน ห้องของฉัน...เธอนั่นแหละที่เข้ามาโดยพลการ ไม่เชื่อก็แต่งตัวแล้วลงไปถามรีเซฟชั่นด้วยกัน” พูดจบก็คว้ามือบางแล้วพากันลงไปข้างล่างโดยไม่ลืมหยิบคีย์การ์ดมาด้วย ทุกอย่างจะได้กระจ่างสักที
“ห้องนี้เปิดด้วยชื่อของคุณลาภิศร์ ก้องคำรามค่ะ ส่วนห้องของคุณผู้หญิงเป็นอีกห้องนะคะ”
คำพูดของพนักงานโรงแรมทำให้ร่างสูงถึงกับหันมามองหล่อนแล้วถามเสียงดังอย่างลืมตัว เขาไม่ได้เข้าห้องผิดและเป็นเธอเองที่เดินเข้ามาในห้องของคนอื่น น่าจะเอะใจตั้งแต่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวของอีกฝ่ายแล้ว
ไม่ควรปล่อยเรื่องให้บานปลายมาจนถึงเช้าวันต่อมา แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจนได้
“เห็นไหม! บอกแล้วว่าเธอนั่นแหละเข้ามานอนห้องของฉัน”
“จะพูดเสียงดังทำไม” หงุดหงิดจนใส่อารมณ์กับชายหนุ่มทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด เธอคิดไม่ออกว่าตนเองไปเอากุญแจห้องของเขามาได้อย่างไร จนเหลือบไปเห็นป้ายห้องน้ำจึงนึกขึ้นได้ว่าทำคีย์การ์ดของผู้หญิงคนหนึ่งตก
ซึ่งอาจจะสลับกันตอนนั้นก็ได้!
“หรือว่าจะเป็นตอนนั้น...”
“ตอนไหน” ถามด้วยความอยากรู้ แต่หล่อนก็ส่ายศีรษะไม่ยอมบอกหรืออธิบายอะไรอีก
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดซะว่ามีเพื่อนนอนแล้วกันนะ ไปล่ะ” ข้าวของส่วนมากหล่อนก็เอามาด้วยจึงโบกมือลาเขาเพื่อขับรถกลับบ้าน ปล่อยลาภิศร์ยืนงุนงงมองตามแผ่นหลังบางที่เดินไปไกลลับตา
“อ้าว ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ” ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างหงุดหงิด เขารู้ว่าชีวิตของตนต่อจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน
‘ฉันกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่แสนดี ถ้าว่างก็เชิญไปร่วมยินดีด้วยนะ งานของเธอฉันก็จะไปเหมือนกัน...แต่เธอคงไม่ได้แต่งหรอกมั้ง จะมีผู้ชายที่ไหนอยากเอาไปเป็นเมียล่ะ แค่สนุกเป็นครั้งคราวเท่านั้นแหละ’
ข้อความถูกส่งผ่านโทรศัพท์มาให้เปรมสินีซึ่งนอนคิดไม่ตกกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันก่อน หล่อนไม่รู้ว่าบ้านก้องคำรามจะทำเช่นไร บางทีอาจจะปล่อยเรื่องให้ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเธอก็เห็นด้วยให้เป็นเช่นนั้น
รู้ดีว่าคืนนั้นแค่นอนข้างกันไม่มีเหตุการณ์วาบหวามอย่างแน่นอน สภาพร่างกายของหล่อนปกติทุกส่วน จนนึกเสียดาย...
“ไอ้เวรเอ๊ย!” ขว้างโทรศัพท์ลงบนเตียงหนุ่มอย่างหงุดหงิด เลิกกันไม่ถึงเดือนแต่อีกฝ่ายกำลังจะแต่งงาน คิดแล้วก็โมโหจนอยากแต่งงานตัดหน้าให้รู้แล้วรู้รอด เสียดายเพียงหล่อนไม่มีเจ้าบ่าวเข้าวิวาห์ด้วยเนี่ยสิ
ก๊อกๆๆๆ
เสียงเคาะประตูดังรัวบ่งบอกให้รู้ถึงความร้อนรนของคนข้างนอก เธอจึงรีบเก็บอารมณ์ของตัวเองให้เป็นปกติ สูดลมหายใจเข้าแล้วค่อยผ่อนออก เดินไปหน้าบานไม้ใหญ่ค่อยปลดล็อคเพื่อเปิดต้อนรับคนข้างนอก
“ค่ะ มีอะไรเหรอแม่”
“ลงไปคุยกันข้างล่าง” ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมารดาทำหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแม่ซีเรียสจัง” นางไม่ตอบอะไรสักคำนอกจากเดินนำลูกลงไปข้างล่าง จนเปรมสินีต้องปิดห้องแล้วเดินตามลงมา สีหน้าฉงนสงสัยใคร่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงทำให้มารดาผู้อ่อนหวานอารมณ์เปลี่ยนได้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
ก้าวเข้ามาที่ห้องรับแขกของบ้าน พบว่านอกจากบุพการีที่นั่งหน้านิ่ง ยังมีแขกคนสำคัญอย่างกนกวดีและหนุ่มหล่อลาภิศร์ที่นั่งอยู่ข้างมารดาของตน ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ใคร่จะสู้ดีเท่าไหร่ ขณะที่คุณน้าพอเห็นเธอก็ปล่อยโฮแล้วเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว
“โฮ หนูปิ๊ม” เจ้าของชื่อถึงกับงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“น้ากิ่งสวัสดีค่ะ มีอะไรกันเหรอป๊า” ผละออกจากท่านแล้วมองเหมือนขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันที่อติกานต์จะได้ตอบ กนกวดีก็พูดแทรกอย่างรวดเร็ว
“หลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อวานน้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ น้าผิดเองที่เลี้ยงลูกชายมาแบบนี้ ฉันขอโทษนะพี่ปลื้มที่ไอ้ลูกชายแสนดีของฉันมันไปทำรุ่มร่ามกับลูกสาวของพี่ ฉันจะขอรับผิดชอบด้วยการให้ลูกชายฉันแต่งงานกับหนูปิ๊ม” ผละจากเปรมสินีแล้วมานั่งที่โซฟา บอกรุ่นพี่คนสนิทของตัวเองอย่างแข็งขันจนลูกชายถึงกับเบิกตากว้าง ตะโกนถามเสียงดังไม่คิดว่าท่านจะชวนเขามาบ้านวัฒนาพิบูลย์ด้วยเหตุผลนี้
“อะไรนะแม่! ตอนแรกบอกว่า โอ๊ย” ถูกหยิกเข้าที่สีข้างพร้อมประกาศิตที่ทำให้ลูกชายปิดปากเงียบสนิท
“เงียบ”
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก เด็กๆ อาจจะแค่เล่นสนุกด้วยกันก็ได้ ใช่ไหมปิ๊ม” คุณพ่อผู้หวงลูกสาวกัดฟันแน่นแล้วพยายามยิ้มใจเย็นถึงภายในอกจะร้อนรุ่มมากแค่ไหนก็ตาม หันไปถามความเห็นจากลูกสาวที่นิ่งเงียบ
แววตากลมคล้ายกำลังคิดบางอย่างซึ่งลาภิศร์มองเห็นถึงเค้าลางร้ายของตัวเอง...
“แต่งค่ะ หนูจะแต่งงานกับเขา” ตอบตกลงอย่างง่ายดายสร้างความตกใจแก่คนในห้องเป็นอย่างมาก
“หา!”
“ว่าไงนะ!”
โดยเฉพาะว่าที่เจ้าบ่าวซึ่งนิ่งค้างเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว