๒ เธอต้องมีใจบ้างล่ะ (๒)
“อร่อยไหม อร่อยใช่ไหม กินเยอะๆ เลยนะ อยากได้อะไรอีกหรือเปล่า จานของเค้าอะไรกว่าใช่ไหม” คำพูดของเธอจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ค่อนไปทางน่ากลัวเสียมากกว่า
เราไม่ได้สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว เหตุใดหล่อนจึงมองเขาตาหวานเยิ้มแล้วคำพูดดัดเสียงเล็กนั่นอีก นึกว่าเจอผียามกลางวันแสกๆ
“อะไออองอี่เอี่ย” กำลังจะถามเธอว่า ‘อะไรของพี่เนี่ย’ แต่ข้าวเต็มปากทำให้สารที่ต้องการสื่อเพี้ยนไป และดูเหมือนหญิงสาวก็ไม่ใคร่อยากจะฟังสักเท่าไหร่
“ไม่คิดว่าจะเจอเธอที่นี่ เลิกกันไปแล้วคบคนใหม่เร็วดีนะ แถมยังเป็นรุ่นน้องด้วย...” ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีชายร่างสูงเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า หากตนจำไม่ผิดเขาเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกันที่หญิงทั่วโรงเรียนให้ความสนใจ
นักบาสรูปหล่อพ่อรวย สาวน้อยใหญ่ต่างแย่งชิงกันเพื่อให้ได้เข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย แต่เขากลับจำชื่อไม่ได้...
ว่าแต่สองคนนี้คบกันเหรอ
ผู้ชายคงโดนตีหัวสมองเสื่อมเป็นแน่ถึงได้คบกับหญิงโหดประจำโรงเรียน ลาภิศร์คิดในใจแล้วเคี้ยวข้าวจนละเอียดค่อยกลืนลงคอ ไม่กล้าพูดอะไรสักคำนอกจากนั่งตัวแข็งทื่อ
นอกจากแม่ที่เขากลัวยิ่งกว่าผี ก็มีหล่อนเนี่ยแหละที่ทำให้ขนลุกขนพองไม่ต่างกัน
“คงไม่เร็วเท่านายหรอก คบใหม่ตั้งแต่ยังไม่เลิกเลยนิ” พูดจบก็เหลือบสายตาไปมองผู้หญิงซึ่งกำลังสั่งอาหาร เผลอยกยิ้มเยาะสมเพชตัวเองที่ทนโง่คบคนตรงหน้าตั้งนานสองนาน
“ขอแก้ข่าวหน่อยแล้วกันนะ ฉันกับเขาแค่กำลังคุยยังไม่ได้คบ ไม่เหมือนบางคนที่ชอบสร้างโลกใบที่สองสามสี่ห้าหกเจ็ด” ควงแขนของลาภิศร์เอาไว้แน่นจนเขาทำตัวไม่ถูก พยายามจะปฏิเสธเสียงเบาแต่หล่อนตวัดสายตามอง แล้วพูดเพียงคำเดียว
“ผมไป...”
“หุบปาก”
“ครับ” เขาก็ตอบรับทันทีอย่างอัตโนมัติ นั่งสงบปากสงบคำให้สองคนนี้ได้พูดคุยกันถึงตนจะไม่รู้เรื่องอะไรก็ตาม
พอจะมองสถานการณ์ออกว่ารุ่นพี่ทั้งสองคบกันแต่คงจบไม่สวย ฝ่ายชายมีหญิงคนใหม่ทำให้คนเก่านึกโมโห จึงใช้เขาเป็นเครื่องมือ สรุปใจความได้ตามนี้แล้วคิดว่าจะถูกต้อง
แต่ทำไมต้องเป็นเขาด้วยล่ะ!
“หึ ขอให้ได้คบแล้วกัน” ชายหนุ่มพูดจาแดกดันทันที ส่วนร่างบางก็ยิ้มรับอย่างยินดี
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
“ส่วนนายก็ขอให้เลิกแล้วกัน ขอให้คบใครก็ไม่เกินสามเดือน หวังดีนะถึงอวยพร” ยิ้มหวานแต่ประโยคกลับแฝงไปด้วยยาพิษ จนฝ่ายชายเลือกหันหลังเดินไปหาแฟนสาวไม่ตอบกลับสักคำ สร้างความหงุดหงิดแก่หล่อนเป็นอย่างมาก จนเผลอก่นด่าตามหลัง
“หึ่ย ไอ้ผู้ชายเฮงซวย” พูดจบก็หมดอารมณ์กินข้าว ปล่อยแขนหนาเป็นอิสระแล้วเดินออกจากร้านคล้อยหลังฝ่ายชายไปไม่นาน หลงเหลือเพียงลาภิศร์ที่นั่งมองด้วยความงุนงง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแทบจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อ้าว อะไรของเขาวะ น่ากลัวฉิบหายใครได้เป็นแฟนโชคร้ายแน่ๆ” ได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้พบเจอกับหล่อนอีก
ต้องหลีกหนีจากผู้หญิงคนนี้ให้ไกลที่สุด!
ความหล่อของลาภิศร์ทำให้คนเหลียวมองตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในร้านอาหาร วันหยุดที่แสนเรียบง่ายแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นเมื่อได้นัดกับคุณปลัดสาวคนสวยออกมารับประทานอาหารร่วมกัน ใช้เวลาแต่งองค์ทรงเครื่องนานพอสมควรถึงจะออกจากบ้าน
ฝากงานทุกอย่างไว้กับลูกน้องส่วนตนก็มาเริงร่ากับนางในดวงใจ เพียงแค่นั่งประจันหน้ากับเธอก็เก็บความดีใจเอาไว้ไม่มิด แย้มยิ้มกว้างพลางจดจ้องดวงหน้างดงามของหญิงสาวไม่คลาดสายตา ความอ่อนหวานพูดน้อยอย่างนี้สิที่เขาคู่ควร
“ผมดีใจนะครับที่ได้มากินข้าวกับคุณรัญ” เปิดบทสนทนาด้วยคำหวาน สบตาเธอเพื่อแสดงถึงความจริงใจ เขาไม่ปิดบังความรู้สึกของตัวเองสักนิด
“ทำไมคะ”
“ก็คุณรัญ...” ยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงแทรกจากบุคคลที่สาม พวกเขาจึงต้องเหลียวไปมองเพราะอยากรู้ว่าใครกันที่เข้ามาขัดจังหวะ
“อ้าวคุณปลัด มากินข้าวที่ร้านทำไมไม่บอกล่ะครับ ผมจะได้บอกแม่ครัวจัดชุดพิเศษมาให้โดยเฉพาะ” เป็นชายร่างท้วมที่หน้าตาใจดีแต่เหมือนว่าในสายตาจะมีเพียงรัญธิดาจึงไม่แม้แต่จะแลลาภิศร์ด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่ได้ครับ คุณปลัดมากินร้านผมทั้งทีจะให้น้อยหน้าไม่ได้ ผมจะไปบอกแม่ครัวทำเพิ่มให้นะ”
“เอ่อ อ่า ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ถูกรบเร้าจนไม่มีทางปฏิเสธได้จึงต้องตอบรับอย่างจำยอม ชายผู้นั้นน่าจะเป็นเจ้าของร้านถึงได้วางมาดต่อหน้าหญิงสาว เขาทำเพียงมองตามอย่างไม่ชอบใจ แล้วค่อยเอ่ยเย้าคนตรงหน้า
เธอเหมือนดอกไม้งามที่มาให้ความสดชื่นแก่อำเภอที่เหี่ยวเฉามานาน สร้างรอยยิ้มเพียงแค่ปรากฏกาย ทำให้เขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“คุณรัญเป็นคนดังของอำเภอ มีคนรู้จักเยอะแต่เลือกมากินข้าวกับผม...ทำไมผมจะไม่ดีใจล่ะครับ”
“อ้อ เหตุผลแค่นั้นเหรอคะ”
“ไม่ครับ ความจริงผมอยาก...” สายตาแสดงถึงความรู้สึก หมายจะบอกให้หล่อนทราบถึงรักที่มอบให้หญิงสาวตั้งแต่พบหน้าครั้งแรก เขาตกหลุมรักเธออย่างจังจนปีนป่ายขึ้นจากหลุมลึกไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าเหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจให้เอ่ย
เสียงโทรศัพท์ของหญิงสาวดังแทรก เขาทำได้เพียงเผยอปากค้างแล้วปิดปากสนิทเมื่อหล่อนหยิบเครื่องมือสื่อสารมาดูชื่อโทรเข้า ม่านตาขยายเล็กน้อยแล้วยิ้มให้เขาแล้วเอ่ยขอตัวอย่างสุภาพ
“สักครู่นะคะ รัญขอไปรับโทรศัพท์แป๊บเดียวเดี๋ยวกลับมา”
“ครับ เชิญครับ” รีบบอกอย่างใจเย็น หล่อนจึงเดินออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก ปล่อยร่างหนามองตามแล้วลูบที่อกข้างซ้ายของตัวเอง กล่อมหัวใจที่เต้นแรงให้เบาลงหน่อย อย่างไรเขาก็ต้องชนะผู้ชายทุกคนที่เข้ามาสานสัมพันธ์กับเธออยู่แล้ว
ตนต้องเป็นฝ่ายถูกเลือกสิ
“ใจเย็นไอ้ต้น ใจเย็น”
เหลือบมองนอกร้านเห็นว่าหญิงสาวกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าจริงจัง จนเขาอยากรู้ว่าเธอคุยอะไรและคุยกับใคร ทว่าไม่นานสายก็ถูกวางพร้อมร่างแบบบางเดินเข้ามาในร้านแล้วนั่งลงตรงหน้าเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“เหมือนว่ารัญจะมีธุระด่วน ไม่ทราบว่าถ้าจะขอกลับก่อนคุณต้นจะว่าไหมคะ” ลาภิศร์ถึงกับยิ้มค้างกับคำถามชวนปวดใจ เพิ่งมีโอกาสมากินข้าวด้วยกันสองคนครั้งแรก หล่อนกลับมีงานด่วนกะทันหันต้องปลีกตัว
หากจะรั้งไว้ก็ดูไร้เหตุผล สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มทำได้คือการยิ้มแล้วบอกให้เธอสบายใจ
“ไม่เลยครับ ไม่เป็นไรเลย”
“ขอโทษนะคะ ไว้รอบหน้าเรานัดกันใหม่นะ”
“ครับ” ลุกขึ้นแล้วโบกมือลาร่างแบบบาง มองตามจนเธอลับตาค่อยถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย พึมพำกับตัวเองเสียงเบา
“แห้วอีกแล้วกู” อาหารเริ่มทยอยออกมาเสิร์ฟแล้วมีเขากินแค่คนเดียว จึงตัดสินใจห่อกลับบ้านเพื่อแจกจ่ายลูกน้องให้กินด้วยกัน
เดตวันนี้จบแบบผิดหวัง แต่เขาก็หวังว่าในอนาคตเรื่องของเราจะลงเอยด้วยคำว่าแฮปปี้เอนดิ้ง...
นั่งรับประทานอาหารด้วยกันช่วงเย็นโดยที่หญิงสาวไม่ค่อยพูดค่อยจา บนโต๊ะมีเพียงอติกานต์กุมบทสนทนาทั้งหมด ภรรยาทำเพียงพยักหน้าเห็นด้วย ค่อยมองบุตรสาวที่เอาแต่ตักข้าวเข้าปากแทบจะไม่มีส่วนร่วม
เกิดอะไรขึ้นกับเปรมสินีหรือเปล่า...
“ช่วงนี้ซูบไปนะ เป็นอะไรหรือเปล่า” เริ่มเรื่องได้ต่างจากความเป็นจริงมากโข หล่อนถึงกับวางช้อนแล้วก้มมองตัวเอง ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่ยุบลงสักนิด หน้าท้องขยายใหญ่ขึ้นจนกางเกงบางตัวเธอใส่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
กลับมาบ้านมีข้อเสียคือกินดีอยู่ดีเกินไป มารดาทำอาหารอร่อยแถมยังทำเยอะอีกต่างหาก กินไม่หมดก็เสียดายจึงต้องพยายามกินให้หมด แต่บางทีอาหารก็เหลือไม่ถึงหล่อนหากเหนือเมฆมากินข้าวด้วยกัน เพื่อนพี่ชายคนนั้นที่ขยับสถานะมาเป็นลูกเขยกินเก่งอย่างกับอะไรดี หล่อนสู้ไม่ไหวหรอก
“ซูบเหรอแม่ นี่น้ำหนักขึ้นมาจะสามโลแล้วนะ แม่เลี้ยงดีเกินไปหนูกินไม่ได้หยุดปากเลย...หรือเพราะหนูนอนเยอะไม่ค่อยออกกำลังกาย ไม่นะ ปกติระบบเผาผลาญหนูดีจะตาย” เริ่มกังวลกับร่างกายแต่ก็หยิบช้อนส้อมตักอาหารเข้าปากเหมือนเดิม
พรุ่งนี้ค่อยลดแล้วกัน...
อติกานต์เห็นอย่างนั้นก็ตักอาหารวางไว้บนจานบุตรสาว เข้าข้างลูกเต็มที่ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่ทำให้เปรมสินีมีความสุขก็พอ
“กินเยอะๆ ลูก จะได้มีน้ำมีนวล” เธอยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนหันซ้ายแลขวามองหาหลานชายจอมกวนประสาทที่ต้องนั่งพูดไม่หยุดปากระหว่างรับประทานอาหาร
“แล้ววันนี้หลานป๊าไปไหน”
“ไปบ้านพ่อแม่เขาสิ”
“ไม่น่าทำไมบ้านเงียบ” ปกติบ้านเต็มไปด้วยเสียงของเด็กและความวุ่นวายที่หล่อนอยากตะโกนด่าวันล่ะสามรอบ ยังดีที่วันนี้พี่ชายมารับลูกไปนอนด้วย บ้านหลังโตจึงเหลือเพียงสามคนพ่อแม่ลูก
“พรุ่งนี้หนูจะไปงานเลี้ยงรุ่นของโรงเรียนนะ ว่าจะนอนที่โรงแรมเลยขี้เกียจกลับบ้าน อาจจะคุยกับเพื่อนถึงโต้รุ่ง ป๊ากับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง” เกือบลืมเรื่องสำคัญที่จะบอก
โรงเรียนของเธอจัดงานคืนสู่เหย้าเพื่อให้ศิษย์เก่าได้พบปะกัน หรืออีกนัยคือต้องการหาเงินไปปรับปรุงอาคารหลังเก่า ซึ่งพวกเธอก็ยินดีจ่ายเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ได้กลับไปพบเพื่อนที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามานาน คิดแล้วก็หวนนึกถึงวันวาน ไม่อยากเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปรวดเร็วเช่นนี้
“ให้ป๊าไปรับไหม” เปรมสินีถึงกับหลุดขำ ขณะที่ลัลนาต้องปรามสามีบ้าง
“ปล่อยลูกบ้างเถอะพี่ปลื้ม ปิ๊มอายุ 25 แล้วนะไม่ใช่สองขวบ”
“จะอายุเท่าไหร่ก็เป็นเด็กน้อยในสายตาป๊าเสมอ” ยิ้มให้ลูกสาวเพียงคนเดียวที่ยังไม่ออกเรือนไปไหน แต่กลายเป็นว่าหล่อนถึงกับถอนหายใจพลางเอ่ยถึงบุคคลที่สามซึ่งอายุน้อยกว่าตัวเองอย่างน้องชาย ซึ่งตอนนี้หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับเหนือเมฆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ให้โตบ้างเถอะ ทีปีย์โตจนมีผ...แฟนไปแล้ว ให้หนูมีแฟนบ้างไม่ได้เหรอป๊า ตอนนี้หนูห่อเหี่ยวมากต้องการให้หัวใจชุ่มชื่นบ้าง” อ้อนตาปริบแต่คนหวงลูกก็หาเหตุผลไม่เข้าท่ามาปลอบใจเหมือนอย่างเคย จนหญิงสาวถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
“อยู่กับป๊าเนี่ยแหละ พาไปเที่ยวน้ำตกหัวใจก็ชุ่มชื่นแล้ว”
“เฮ้อ”
ที่ผ่านมาหล่อนมีแฟนมานับไม่ถ้วน เพียงแค่ปิดท่านเอาไว้ก็แค่นั้นเอง ถ้าบอกออกไปบ้านแตกแน่
“ไปกับเพื่อนเถอะ” ลัลนาบอกบุตรสาวเสียงอ่อน เธอจึงพยักหน้าพลางยิ้มกว้าง อย่างน้อยมารดาก็ไม่ได้เห็นหล่อนเป็นไข่ในหิน ทั้งที่ลูกสาวคนนี้ไม่ใช่ไข่บอบบางสักนิด เธอเป็นหินที่ซ่อนตัวอยู่ในเปลือกอ่อนต่างหากล่ะ
“ค่ะแม่”
คืนพรุ่งนี้จะเมาให้ลืมรักที่แสนจบปวดไปเลย!
งานคืนสู่เหย้าโรงเรียนเก่าจัดขึ้นที่โรงแรมหรูในตัวจังหวัด ลาภิศร์ขับรถมากับเพื่อนสนิทสองคนพร้อมเข้าไปจองห้องพักเพื่อที่คืนนี้จะได้นอนพักผ่อนไม่ต้องเหนื่อยขับรถกลับบ้าน ระหว่างออกมาหยิบของที่ลืมอยู่ในรถบังเอิญพานพบนางในดวงใจ
เส้นทางการเดินของเขาจึงเปลี่ยนไป พร้อมร้องทักเธอเสียงดังก่อนเดินแกมวิ่งมาหยุดยืนตรงหน้ารัญธิดาที่ตกใจเช่นเดียวกันเมื่อเห็นชายหนุ่ม
“คุณรัญ! มาทำอะไรที่นี่ครับ” ยิ้มกว้างหลังถามจบ มองชุดที่หล่อนสวมค่อนข้างสุภาพก็คิดว่าหญิงสาวคงมาที่นี่เกี่ยวกับเรื่องงาน
“มีประชุมค่ะ แล้วคุณต้นล่ะคะ”
“ผมมางานคืนสู่เหย้าครับ อยู่ห้องนี้ตรงข้ามกับห้องประชุมของคุณรัญเลย” ชี้ไปยังห้องประชุมที่ยังไม่ค่อยมีคนเพราะเขามาก่อนเวลา จึงพากันไปรวมตัวบนห้องเพื่อพักผ่อนแล้วค่อยลงมาร่วมงาน โชคดีเหลือเกินได้เจอกับปลัดคนสวย
ฟ้าเป็นใจแล้ว...
“อ้อ ขอให้สนุกนะคะ”
“ครับ” รับคำอวยพรแล้วโบกมือลากับเธอถึงจะไม่อยากแยกจากก็ตาม แต่แล้วเขาก็คิดบางอย่างออกเมื่อพบว่าในมือของตนมีคีย์การ์ดติดมาด้วย
“คุณรัญครับ!” ร้องเรียกเธออีกครั้งพร้อมเดินแกมวิ่งไปหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย
“คะ” ใบหน้าหวานแสดงออกถึงความงุนงง
“คืน คืนนี้...ถ้าว่างมาที่ห้องผมสิครับ ผมจองห้องไว้สำหรับพักผ่อน” ยื่นคีย์การ์ดไปตรงหน้าเธอ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วจ้องดวงตาหวานเพื่อแสดงความนัย หวังว่าหล่อนจะรับรู้แล้วมาหาเขาหลังจากงานเสร็จสิ้น
คราวนี้ลาภิศร์เทหมดหน้าตัก...
“ค่ะ จะไปนะคะ” มือบางรับกุญแจมาถือเอาไว้ เหมือนยอมรับไมตรีจากชายหนุ่มจนเขายิ้มกว้างพลางตอบเสียงแข็งขัน
“ครับ!”
พวกเขาเดินแยกจากกันด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม ร่างหนาแทบจะกระโดดโลดเต้นออกไปหยิบของ ขณะที่คุณปลัดก็เดินเข้าห้องประชุม รอจนเวลาล่วงเลยเกือบเที่ยงคืน หล่อนจึงเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อเช็คตัวเองให้เรียบร้อย
วางกุญแจไว้ที่ซิงค์ล้างมือแล้วเติมลิปสติกสีแดงสด เม้มจนสีชัดขึ้นค่อยจัดทรงผม ไม่ได้เหลือบมองผู้หญิงที่มายืนข้างกัน ซึ่งได้กลิ่นแอลกอฮอล์ตีเข้าจมูกจนต้องถอยห่าง
“อุ้ย ขอโทษค่ะ นี่กุญแจของคุณนะคะ” คนเมากวาดมือเพื่อยันกายให้ยืนตรง จนคีย์การ์ดหล่นลงบนพื้น จึงได้ก้มไปหยิบให้อีกฝ่าย แล้วถือกุญแจห้องตนเอาไว้ด้วยดวงตาริบหรี่
“ค่ะ” รัญธิดาตอบเสียงแข็งค่อยกำคีย์การ์ดแน่นก่อนเดินออกจากห้องน้ำอย่างหงุดหงิด
เหลือเพียงคนเมาที่ค่อยก้าวเท้าเดินตาม แล้วแยกไปห้องจัดเลี้ยงของโรงเรียนประจำจังหวัดเพื่อสนุกกับเพื่อน แม้คนที่อยู่ในงานจะเหลือไม่ถึงหยิบมือ เพราะต่างแยกย้ายกลับบ้านหมดแล้ว...