๑ สายตาส่งใจ (๒)
“ไม่เอาหรอก...ว่าแต่มีแฟนหรือยัง” พาเดินเข้ามาในร้านที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า
เจอคำถามที่ตอบค่อนข้างยาก กำลังจะเอ่ยแต่ถูกสายตาพิฆาตที่ไม่รู้ว่าท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่จ้องเขม็ง ความหวงบุตรสาวของอติกานต์ทำให้ทุกคนในบ้านเชื่อว่าหล่อนโสดมาตลอด แล้วเปรมสินีก็พอใจมากที่บิดาเชื่อเช่นนั้น
“ก็...ยังไม่มีหรอกค่ะ ใครเขาจะมีแฟนกันล่ะคะ โสดสนิทไม่คุยแม้แต่กับหมาตัวผู้เลยค่ะ” กนกวดีมองตามสายตาของหลานสาว พบว่าพี่ชายคนสนิทจ้องลูกไม่วางตา จนนางต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย พวกผู้ชายหวงลูกสาวเหมือนกันไม่มีผิด
สามีหล่อนก็เช่นเดียวกัน ลั่นวาจาเอาไว้ด้วยซ้ำว่าถ้าใครกล้าจีบลูกตนจะได้กินลูกซองแน่นอน จนตอนนี้ลัลล์ลิตา ก้องคำรามอายุ 25 ปีแต่กลับไม่เคยมีแฟนเลยสักคน เอาแต่เข้าห้องแล็ปทำงานไม่สนใจเรื่องอื่น สร้างความขัดใจแก่ผู้เป็นแม่ที่หมายตาลูกเขยเอาไว้ยิ่งนัก
“มองตาขวางอีกแล้วพี่ปลื้ม ปล่อยให้ลูกพี่มีแฟนบ้างเถอะ อายุก็ไม่ใช่น้อยเข้าเบญจเพสพอดี เท่าลูกสาวน้าเลย รายนั้นเอาแต่เข้าแล็ปไม่ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันกับเขาหรอก แฟนเฟินก็ไม่มี...นี่ถ้าลูกพี่ว่างสักคนจะขอจองไว้สักหน่อย”
นึกเสียดายลูกชายของอติกานต์อย่างป้อมปราการ วัฒนาพิบูลย์ที่แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว ส่วนหลานชายเหนือเมฆ กมลวิจิตรก็รักกับลูกชายคนเล็กของครอบครัวนี้ ได้ของดีไปหมดไม่แบ่งปันกันบ้างเลย
“ผู้ชายสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้หรอก” เขาบอกด้วยเป็นห่วงบุตรสาวจะเจอคนไม่ดี แต่ประโยคนั้นทำเอากนกวดีถึงกับโพล่งอย่างลืมตัว
“โอ้โห พูดไม่ดูตัวเองสมัยก่อน”
เรื่องในอดีตของบิดามารดาดังไปทั่วหมู่บ้าน พวกเธอเป็นลูกก็ทราบจากปากของลัลนา เล่าให้ฟังทุกอย่างกระทั่งความร้ายของหัวหน้าครอบครัววัฒนาพิบูลย์ หล่อนยังแอบคิดว่าถ้าตนเป็นมารดาคงไม่ยอมโดนด่าฝ่ายเดียวหรอก
ต้องมีโต้กลับบ้างล่ะ
“ปิ๊มจะไปกินข้าวไม่ใช่เหรอ ไปเถอะๆ เดี๋ยวพ่อขายของเอง” รีบไล่ลูกสาวอย่างรวดเร็ว เขายังต้องการเป็นพ่อที่ดูดีในสายตาของลูก เรื่องในอดีตแก้ไขไม่ได้แต่เขาก็ปรับปรุงตัวจนกลายเป็นสามีที่ดีและพ่อที่น่าเคารพ
“จ้า ไปแล้วนะคะน้ากิ่ง สวัสดีค่ะ” ยกมือไหว้คุณน้าที่ยังคงสวยไม่สร่างถึงวัยจะเข้าเลขห้า เพราะนางถือคติความสวยคือทุกอย่าง ทำหัตถการแทบทุกอย่างจนคนทักว่าเป็นเพื่อนกับบุตรสาว สร้างความดีใจแก่ผู้เป็นมารดาอย่างยิ่ง
“จ้ะ” โบกมือลาหลานสาวที่หมายตาเอาไว้ ค่อยผินกลับมามองรุ่นพี่อีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความจริงจังพร้อมขณะเอ่ยชื่อคนตรงข้าม
“พี่ปลื้ม”
“อะไร” รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลับสายตาเจ้าเล่ห์ของกนกวดี
“สนใจมาเป็นทองแผ่นเดียวกันไหม”
ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เท่าไหร่...หล่อนชวนด้วยแววตาเปี่ยมหวัง ต่างจากคนฟังที่ยิ้มแหยะตอบกลับโดยพลันไม่ผ่านการคิดวิเคราะห์เสียด้วยซ้ำ หากลูกชายของอีกฝ่ายเป็นคนดีตรงตามมาตรฐานที่อติกานต์ตั้งไว้คงตอบตกลงไม่ยาก
แต่ความเป็นจริงต่างกันสิ้นเชิง...
“ไม่”
“อะไรล่ะพี่ปลื้ม ไม่คิดสักนิดก่อนตอบเลยหรือไง ลองคิดถึงผลดีผลเสียหน่อยสิ การที่เรามาดองกันมีแต่ผลดีทั้งนั้นเลยนะ ลูกฉันเป็นคนดี เรียบร้อย อยู่กับร่องกับรอย...” แย้มยิ้มระหว่างเอ่ยถึงลูกชายเพื่อให้อติกานต์ใจอ่อน
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ เสียงท่อของมอเตอร์ไซค์ซึ่งดังจนสร้างความขับตรงมาจอดหน้าร้านค้า สายตาทุกคู่หันไปมองด้วยความสนใจ ปรากฏชายร่างสูงผิวสองสีมีใบหน้าหล่อเหลา ยามยิ้มจะมีลักยิ้มที่ข้างซ้าย เหมือนเป็นจุดขายของชายหนุ่ม
แง๊นๆๆๆๆ
“แม่! ได้ของหรือยัง” ตะโกนเสียงดังถามจนกนกวดีอายแทบซุกแผ่นดินหนี
ลูกชายที่เรียนจบจากเมืองหลวง กลับมาทำงานที่บ้านซึ่งไม่เหมือนทำงานแต่เป็นการซ่องสุมบรรดาเด็กแว๊นมากกว่า เหมือนคนเป็นพ่อในอดีตไม่มีผิด ยิ่งมองก็ยิ่งขัดใจจนอยากหยิบของแถวนี้ปาหัวลูกตัวเองสักครั้ง
“กูกำลังซื้อมึงไม่เห็นหรือไง!” ตะโกนกลับอย่างโมโห
“ไปหาเพื่อนแป๊บนะ ซื้อเสร็จโทรบอกด้วย” พูดจบก็ขี่มอเตอร์ไซค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ว่าจะเบาะปาดท่อดังพร้อมแต่งล้อสวยงามออกไปทันที
กนกวดีกัดฟันข่มความโมโห ทั้งยังกำมือแน่นก่อนผ่อนลมหายใจแล้วบอกตัวเองไม่ให้เผลอตะโกนด่าไล่หลังให้อับอายไปมากกว่านี้ เลือดของพ่อมันแรงแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้
แง๊น...
“เอ่อ เหมือนเดิม เอาเหมือนเดิมนะพี่ปลื้ม แล้วก็ขอเดินดูของนิดหน่อย” เหลียวกลับมามองอติกานต์ที่เผยอปากค้างมองสองแม่ลูกโต้ตอบกัน เหมือนคำของกนกวดีที่อวดอ้างนิสัยบุตรชายจะเป็นเพียงคำคุยซะแล้ว
ยิ่งเห็นแบบนี้เขาก็ตัดสินใจได้ง่ายกว่าเดิม ลูกสาวของตนจะไม่มีวันได้ข้องเกี่ยวกับคนบ้านก้องคำรามอย่างแน่นอน
“ตามสบาย”
“ไอ้ลูกเวร ไม่ไว้หน้าแม่มันบ้างเลย” เดินไปเลือกของที่จะซื้อเพิ่ม มาดหมายเอาไว้ในใจถึงบ้านเมื่อไหร่ไม่ปล่อยเอาไว้แน่
“โอ๊ยๆๆ เจ็บนะแม่ เจ็บๆๆๆ”
เสียงโอดครวญของลูกชายเพียงคนเดียวดังมาตั้งแต่หน้าบ้าน กนกวดีดึงหูลูกชายหลังจากอดกลั้นมาตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้านหลังงาม ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ลงจากรถก็ถูกลากเข้ามาในบ้านสองชั้น ร้องลั่นบ้านด้วยความเจ็บพร้อมอ้อนวอนให้มารดาปล่อยตน
คนโมโหไม่อาจอารมณ์ลงได้ง่าย ถ้าอีกฝ่ายเด็กกว่านี้คงได้คว้าไม้เรียวมาฟาดเข้าให้แล้ว ต้องเลี้ยงด้วยลำแข้งตลอดไม่เคยให้นางได้สบายใจสักครั้ง ต่างจากพี่สาวที่ว่านอนสอนง่าย คลอดก็ออกมาจากช่องเดียวกัน เลี้ยงเหมือนกันทุกอย่าง
ทำไมนิสัยพี่น้องถึงต่างกันได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
“เจ็บสิดี!”
“ผมไปทำอะไรให้แม่โกรธอีกเนี่ย ยังไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง แม่อารมณ์เสียที่อื่นแล้วชอบมาลงที่ผมตลอดเลย โอ๊ย อย่าบิดสิ!” พยายามเอนตัวตามมือมารดาที่บิดหูตัวเองเพื่อไม่ให้เจ็บมากกว่านี้ แต่แค่นี้ก็ทำเอาน้ำตาเล็ดแล้ว
หนุ่มร่างสูงที่สวมเสื้อยืดคลุมด้วยฮาวาย กางเกงก็ขาดจนนางอยากหาขันให้ลูกสักใบแล้วไปนั่งขอเงินใต้สะพานลอยให้รู้แล้วรู้รอด หน้าตาดีแต่แต่งตัวไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย แล้วอย่างนี้ผู้หญิงที่ไหนจะอยากเป็นสะใภ้บ้านหล่อน
หรือจะมีก็เป็นพวกสาวที่ไม่เข้าตาว่าที่แม่ย่า
“ขึ้นเสียง แกขึ้นเสียงกับฉันเหรอ” ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหจึงถามย้ำเสียงแข็ง เขาทำได้แค่ปฏิเสธแล้วอ้อนวอนเสียงหลง
“เปล่าแม่ ก็มันเจ็บนี่น่า แม่ปล่อย...พ่อ พ่อช่วยด้วย!” สายตาเหลือบไปเห็นบิดาที่เดินออกมาจากห้องนอนก็ตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดัง กนกวดีเห็นอย่างนั้นก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ใบหน้าของนางยังคงบึ้งตึงพร้อมจ้องสามีอย่างเอาเรื่องจนเขาสะดุ้ง ดุลูกแต่โกรธมาถึงพ่อได้อย่างไร
“อะไรอีกล่ะคราวนี้”
“ฮึ่ย ลูกชายนายนั่นแหละ ฉันอุตส่าห์พูดชมมันกะจะหาเมียดีๆ ให้สักคน ดันทำเสียเรื่องแว๊นรถจนฉันหน้าแตก มันน่าเขกกะโหลกสักที” ไม่พูดเปล่าแต่มะเหงกลงที่หัวทุยซึ่งยั้งแรงเอาไว้กลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บเกินไป
“แม่ทำไปแล้ว” ก้าวถอยห่างทันที วินาทีนี้ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน
ลาภิศร์ ก้องคำราม ลูกชายของกำนันเสือ ก้องคำรามผู้เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้าน หนุ่มที่เคยแค่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ไม่ค่อยจริงจังกับชีวิต พอมีครอบครัวจึงอยากทำให้ภรรยาและลูกภูมิใจบ้าง ลงชิงตำแหน่งที่ครอบครัวรับช่วงต่อมาทุกรุ่น คือการเป็นกำนันประจำตำบล
ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้คะแนนท่วมท้น สวมชุดสีกากีครั้งแรกสร้างความภาคภูมิใจแก่คนเป็นภรรยา ถึงขนาดไปคุยโอ้อวดให้คนฟังแทบจะทั้งหมู่บ้าน แต่หลังๆ งานเยอะจนกนกวดีอยากให้สามีลาออกสักที
“เถียงอีก” ถลึงตาใส่เป็นการปราม ลาภิศร์จึงรีบไปหลบหลังบิดาขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย
“เห็นเดือนโทรมาบอกคิดถึง...” พอจะหาทางรอดได้คือการเอ่ยถึงลูกสาวสุดที่รักของกนกวดี หน้าตาของนางจึงเปลี่ยนทันที แววตาขึงขังกลับสลับเป็นเปี่ยมสุข มุมปากที่เคยคว่ำก็ยกยิ้มแสดงถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนอย่างฉับพลัน
“จริงเหรอ! งั้นฉันไปโทรหาลูกดีกว่า อ้อ ไม่ได้ไปหาลูกเป็นเดือนแล้ว เราไปหาลูกกันดีไหมเอาผลไม้ที่สวนไปให้เดือนด้วย อุ้ย ต้องรีบไปเตรียมของ” พูดเองเออเองทั้งหมด ไม่สนใจจะทะเลาะกับลูกชายแต่เลือกเดินลงจากบ้าน เพื่อไปยังสวนผลไม้ดูพืชผลสักหน่อยว่ามีสิ่งใดพ่อจะห่อไปให้ลัลล์ลิตาที่เมืองหลวงได้บ้าง
บ้านหลังงามจึงเหลือเพียงสองพ่อลูกที่หันมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ร่างสูงแทบจะก้มลงกราบแทบเท้าของบิดา
“กราบ กราบงามๆ เลยพ่อ” แต่ก็เลือกจะยกมือไหว้ท่วมหัว พลางยกมือลูบหูที่แดงเถือก
“มึงก็ทำตัวให้ดีหน่อย คราวหน้ากูก็ไม่รู้จะช่วยยังไง” คุยกับลูกราวกับเป็นเพื่อนกันจนชินไปเสียแล้ว
เสือกลายเป็นต้นแบบที่ลูกชายอยากเป็นให้ได้ เรียนหนังสือก็เลือกเข้าคณะเดียวกับบิดา จบออกมาทำงานร้านซ่อมรถของหมู่บ้าน ซึ่งตอนนี้ขยายใหญ่กว่าอดีต มีเครื่องมือครบครันให้เฒ่าแก่อายุน้อยได้รับช่องต่อ
“ผมไปทำตัวไม่ดีตอนไหน รถคันนี้ก็รถไอ้เจ๋งขอให้ซ่อมผมก็ซ่อมแล้วเอาไปลองรถ พอดีพวกไอ้เมี่ยงมันโทรมาบอกอยากเจอเลยไปหาแค่แป๊บเดียว กลับมารับแม่อีกทีก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผมคิดว่าหูตัวเองจะขาดไปแล้ว” แค่คิดถึงความเจ็บเมื่อครู่ก็สยองจนต้องส่ายหน้า
จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตนทำอะไรผิด แต่ความจริงไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ใคร่จะถูกใจมารดาสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าเลือดพ่อมันแรง
“ถามจริงนะ พ่ออยู่กับแม่มาได้ไงเป็นสิบปี” นึกทึ่งพอสมควรจึงถาม
“ประโยคเดียวเลย...”
“รัก” เขาตอบแทนเมื่อเห็นท่านเว้นช่วงไปพักหนึ่ง
“เลิกไปมันตามฆ่ากูแน่” แค่คิดเสือก็ขนหัวลุกแล้ว เมียน่ากลัวยิ่งกว่าผีสอบตัวรวมกันเสียอีก เขาไม่กล้าไปลบลู่หล่อนหรอก
“อ้าว” ลูกชายถึงกับอึ้งในคำตอบ
“ก็รักนั่นแหละ ผูกพันด้วยอยู่กันมาหลายสิบปี ไหนจะมีพี่มึงกับมึงอีก เลิกไปชีวิตกูก็ขาดสีสันพอดี...กูก็หวังว่ามึงจะหาเมียดีๆ” ตอบอย่างจริงใจเมื่อคิดถี่ถ้วน ค่อยยกมือตบบ่าบุตรชายเหมือนเป็นการให้กำลังใจ
“ที่ไม่เป็นแบบแม่มึงนะ” สองพ่อลูกสบตากันแล้วเข้าใจในทันที
“สาธุเลยพ่อ ผมต้องหาเมียที่อ่อนหวาน เรียบร้อย พูดน้อยได้แน่นอน” หมายมั่นเอาไว้ว่าเมียของตนต้องตรงข้ามกับมารดาทุกอย่าง อย่างนี้แหละชีวิตของไอ้ต้นฝนคนนี้จะได้สงบสุขสักที
ปัง!!
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!”
เสียงตะโกนด่าลั่นห้องจนคนที่นั่งข้างล่างบ้านถึงกับสะดุ้ง สองสามีภรรยากำลังนั่งดูละครยามเย็นที่เนื้อเรื่องวนอยู่ในอ่าง ไม่ค่อยสนใจภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าเท่าไหร่ เอาแต่หยอดคำหวานให้กันไม่เปลี่ยน มีโอกาสอยู่ตามลำพังเพราะหลานชายไปนอนบ้านพ่อแม่ ส่วนลูกสาวก็เพิ่งกลับจากเมืองหลวงที่ไปอยู่เกือบสองสัปดาห์
กลับมาคราวนี้หน้าตาบึ้งตึงเดินแบกกระเป๋าปึงปังขึ้นห้อง ไม่แม้แต่จะทักทายกันสักนิดสร้างความสงสัยแก่บุพการีเป็นอย่างมาก
“เมื่อกี้...หมาย หมายถึงใคร ลูกกำลังด่าใครเหรอ” อติกานต์ค่อยผินมามองภรรยา ถามเสียงตะกุกตะกักไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าคำด่านั่นส่งมาให้ตัวเองหรือเปล่า
“ไม่รู้เหมือนกัน” ลัลนาส่ายศีรษะจนปัญญาจะตอบ นั่งอยู่ด้วยกันแล้วหล่อนจะไปถามใครได้ล่ะ
“ต่ายไปถามหน่อยสิ”
“ต่ายไม่อยากรู้สักหน่อย ถ้าพี่อยากรู้ก็ไปถามลูกเองสิ”
“ไม่เอา พี่ไม่อยากเป็นพ่อจู้จี้ ถ้าลูกอยากเล่าก็คงมาเล่าให้เราฟังเองนั่นแหละ” ส่ายหน้าทันทีแล้วทำตัวนิ่งแม้ใจจะว้าวุ่นมากแค่ไหนก็ตาม ต้องบอกตัวเองเสมอว่าเรื่องของลูกถ้าเปรมสินีไม่เอ่ยปากบอกเองก็ห้ามเข้าไปยุ่ง
แม้จะอยากรู้ใจแทบขาดก็ตาม
ทั้งสองจึงไม่มีใครลุกจากโซฟาแล้วเลือกเปลี่ยนเรื่อง จึงไม่รับรู้เลยว่าการไปเมืองหลวงครั้งนี้สร้างความเจ็บช้ำแก่เปรมสินีมากแค่ไหน
แฟนที่คบมากว่าหนึ่งปีแอบนอกใจไปนอนกับหญิงอื่น หากเธอไม่เอะใจแอบไปดูคงไม่รู้ว่าถูกสวมเขามาตลอด
“คนอย่างมึงใครจะอยากคบด้วยวะ ฝืนคบมาตั้งหนึ่งปีก็เอียนเหมือนกันนั่นแหละ ฮึก” โมโหจนร้องไห้ทั้งยังกำผ้าปูที่นอนแน่น ยกมือข้างที่ว่างเช็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนใบหน้า รักมากแค่ไหนก็แค้นมากเท่านั้น
ตนทุ่มเทให้อีกฝ่ายทุกอย่างแต่ถูกตอบแทนด้วยการนอกใจ ไม่น่าล่ะจึงบอกให้ปิดเรื่องของเราเอาไว้จนกว่าจะผ่านเบญจเพส เพราะไปดูดวงแล้วหมอดูบอกทำเช่นนั้นจะคบกันยืด
แล้วหล่อนก็โง่เชื่อซะด้วย!
‘ฮัลโหล ไอ้ปิ๊ม โอเคไหมวะ…เรื่องไอ้คิวน่ะ’ หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบบอกชื่อคนโทรมา จนหล่อนเอื้อมมือไปกดรับ ได้ยินเสียงเพื่อนสนิททักอย่างเป็นห่วง
แฟนของเธอเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันแต่แยกย้ายหลังจบชั้นมัธยมศึกษา ห่างหายไปนานหลายปีเพิ่งได้พบกันอีกครั้งเมื่อปีก่อนแล้วสานสัมพันธ์อย่างลับๆ มีเพียงเพื่อนสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบ
หล่อนเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่มมากตลอด เพราะเขาแสดงออกถึงความรักและจริงใจ ยอมให้รหัสเข้าทุกแอพลิเคชั่นกับเธอ บอกว่าไม่มีทางนอกใจ ไม่คิดเลยว่าเรื่องทั้งหมดมันคือคำลวงของคนมักมาก
“มึง รู้แล้วเหรอ” หล่อนเพิ่งรู้เรื่องตอนเช้า แล้วทำไมเพื่อนสนิทถึงรู้เร็วนักล่ะ
‘เออ มันควงสาวใหม่มาประกาศสถานะกลางร้านอาหารที่พวกกูมาเลี้ยงส่งไอ้กฤตพอดีเลยรู้เรื่อง ให้กูไปหาไหม’ พอได้ฟังยิ่งโกรธมากกว่าเดิมจนอยากกรีดร้องลั่นบ้านแต่กลัวบิดามารดาจะเข้ามาคาดคั้น เธอจึงเม้มปากแน่นพร้อมผ่อนลมหายใจ
ความแค้นมันสุมทรวงจนอยากทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง
“ไม่ต้อง กูโอเค แค่ผู้ชายเหี้ยๆ คนเดียวไม่ทำให้กูเสียใจหรอก”
‘ถ้ามีอะไรอยากระบายโทรหากูทันทีเลยนะ’
“เออ กูต้องทำงานก่อน แล้วจะโทรหาใหม่” ยิ่งฟังก็ยิ่งโมโหจนไม่อยากพูดถึงอีกจึงรีบตัดบท เพื่อนสนิทที่รู้นิสัยใจคอกันดีเข้าใจทันทีจึงวางสาย
“ไอ้คิว...” กัดฟันแน่นแล้วผ่อนลมหายใจเข้าออก ตั้งสมาธิแน่วแน่ว่าจะต้องแก้แค้นอีกฝ่ายให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม!
ยามเช้าที่อากาศเย็นสบายแถมบรรยากาศข้างทางยังสวยงามน่ามอง เขาจึงผ่อนความเร็วของรถมอเตอร์ไซค์เพื่อชื่นชมทุ่งนาเขียวขจี แย้มยิ้มเล็กน้อยจนเห็นลักยิ้มบุ๋มทรงเสน่ห์ ฮัมเพลงระหว่างทางไปนาของตัวเอง
ทว่าความสุขมักอยู่กับตนไม่ได้นาน เมื่อมองผ่านกระจกหลังมีรถยนต์ขับจ่อจนแทบจะเกยตูด เขาจึงพยายามหลบแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่แซงไปสักที จนขับตีคู่มาเบียดเขาสร้างความตระหนกแก่ลาภิศร์จนเผลอร้องเสียงหลง
“เฮ้ยๆๆ อะไรวะ เบียดกูทำไม เชี้ยๆๆๆ” รถมอเตอร์ไซค์ของเขาถูกเบียดจนลงข้างทาง
ยังดีที่สองข้างทางเป็นผืนหญ้าโล่งเตียนเพราะกำนันเสือเพิ่งเกณฑ์คนในหมู่บ้านมาตัดหญ้าข้างทางเพื่อทำความสะอาด เนื่องจากจะส่งหมู่บ้านของตนเข้าประกวดโครงการคัดเลือกหมู่บ้านเข้มแข็ง ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะ หนึ่งในนั้นคือการทำให้บริเวณโดยรอบสะอาดและน่าอยู่
ซึ่งถือเป็นความโชคดีอย่างยิ่งกับคนที่ขับรถลงข้างทางอย่างลูกชายของพ่อกำนัน เขาไม่เจ็บตัวแต่โกรธมากกว่า จึงลุกยืนพร้อมจับมอเตอร์ไซค์แล้วตั้งตรง พร้อมหาเรื่องคนทำเต็มที่
“ขับรถภาษาอะไรวะ ซื้อใบขับขี่มาหรือไง!”
“ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ฉันเผลอก้มไปหยิบเอกสารเลยไม่ทันมองเห็นคุณ ขอโทษนะคะ ขอโทษค่ะ ฉันยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่าง...” แต่เมื่อประตูรถเปิดพร้อมการปรากฏตัวของหญิงร่างแบบบางในชุดเดรสสีหวาน เข้ากับใบหน้างดงามกับผมยาวสวยที่ปลิวไสวไปตามแรงลม
จนลาภิศร์นิ่งอึ้งไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกไปได้ ทำเพียงจดจ้องกรอบหน้างดงามที่เหมือนไม่มีอยู่จริง
“ไม่เป็นอะไรครับ เอ่อ เป็นครับ น่าจะต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่ทราบว่าขอเบอร์ติดต่อคุณเผื่อมีค่าใช้จ่ายหรือต้องการความช่วยเหลือจากคุณ” เผลอปฏิเสธไม่ทันคิด แต่ไม่ถึงวินาทีก็เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็วเมื่อนึกบางอย่างได้ทันท่วงที
“ได้ค่ะ” คำตอบรับของเธอสร้างความดีใจแก่ลูกชายกำนันเป็นอย่างมาก เขายื่นโทรศัพท์ของตนให้หล่อนกดหมายเลขสิบหลัก
“นี่เบอร์ของฉันนะคะ” เมื่อได้รับเบอร์ก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ จนต้องบอกตัวเองให้แสดงออกแต่พองาม
“คุณชื่ออะไรครับ”
“รัญค่ะ เป็นปลัดที่เพิ่งย้ายมาใหม่” สงัสยคราวนี้ตนต้องขอพ่อไปที่ว่าการอำเภอด้วยเสียแล้ว
“ผมต้นนะครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
เขาคิดว่าตนพบแล้วล่ะ...สะใภ้ในอนาคตบ้านก้องคำราม
ต้องเป็นคุณปลัดคนสวยคนนี้คนเดียวเท่านั้น!