๑ สายตาส่งใจ (๑)
๑
สายตาส่งใจ
ช่วงสายของวันที่อากาศร้อนอบอ้าวสร้างความรำคาญใจให้แก่คนที่ทำงานกลางแจ้ง แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับหญิงสาวผู้นอนเหยียดยาวอยู่ใต้ผ้าห่มเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ พร้อมม่านบังแสงที่ใส่ไว้ถึงสองชั้น ทั้งแสงแดดและไอร้อนจึงไม่อาจเข้ามาต้องกายหล่อนได้
หน้าจอคอมพิวเตอร์กลายเป็นสีดำสนิทหลังจากตรากตรำทำงานมาทั้งคืน สมุดวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะขนาดกว้างที่สามารถวางของได้มากมาย ข้างกันนั้นมีกรอบรูปครอบครัวที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขวางตั้งไว้
เสียงนาฬิกาดังเป็นรอบที่สามของวันแต่ไม่เสียงนั้นก็อันตรธานหายไป มือบางยื่นออกจากผ้าห่มเพื่อปิดแล้วเลือกจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ทว่ากลิ่นหอมของอาหารโชยเข้าจมูกจนร่างกายลุกนั่งอย่างอัตโนมัติ พยายามปรือตามองโดยรอบแต่ทั้งห้องก็มืดสนิท
ทางเดียวที่ทำได้คือการลุกจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาพร้อมอาบน้ำให้สดชื่น ถึงจะอยากนอนต่อแต่ท้องก็ร้องประท้วงจนต้องฟังเสียงร่างกาย มื้อล่าสุดที่กินคือช่วงเที่ยงของเมื่อวาน หลังจากนั้นก็เก็บตัวเงียบเพื่อทำงานส่งให้ทัน
เปรมสินี วัฒนาพิบูลย์มีพ่อเป็นอดีตปลัดอำเภอที่ออกจากงานมาทำธุรกิจของครอบครัว เธอสามารถรับช่วงต่องานจากบ้านก็ได้ แต่เลือกทำงานตามสายที่ร่ำเรียนมาหลายปี อีกทั้งยังเป็นความชอบของตัวเองคือนักแปล...
ทำงานให้แอพลิเคชั่นหนังและละครต่างประเทศ ไหนจะรับงานแปลบทความเป็นรายได้เสริม หล่อนชอบที่งานนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ อยากทำงานที่ไหนก็ได้ ยกเว้นช่วงไฟลนก้นที่ต้องปลีกวิเวกมาอยู่ในห้องคนเดียวเพื่อจะได้ตั้งใจทำผลงานให้ออกมาดี
การเป็นนักแปลไม่ใช่ว่าทุกคนที่รู้ภาษาต่างประเทศจะทำได้ ต้องมีวาทศิลป์ในการแปลและรู้ศัพท์ภาษาไทยเยอะพอสมควร งานจึงจะออกมาสละสลวยตรึงใจผู้ชม
“แม่ มีอะไรกินบ้างอ่ะ” ผมที่ไม่ได้สระมาเกือบสามวันถูกเกล้าเป็นมวยอย่างลวกๆ เลือกสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นลงมาข้างล่าง เห็นมารดากำลังนั่งชุนผ้าผืนใหญ่ที่ขาดเป็นรูอยู่ห้องนั่งเล่นหน้าโทรทัศน์ ซึ่งเปิดรายการเพลงฟังเพลินๆ ระหว่างทำงาน
ถามจบก็ลูบท้องบ่งบอกถึงความหิว กลิ่นอาหารที่โชยมาแต่ไกลน่าจะเป็นของข้างบ้าน ลงมาข้างล่างไม่เห็นได้กลิ่นอะไรสักอย่าง นอกจากเสียงโวยวายหน้าร้านที่มีลูกค้ามาซื้ออุปกรณ์ทางการเกษตรไม่ขาดสาย
ลัลนา วัฒนาพิบูลย์ละสายตาจากงานตรงหน้า เหลือบมองบุตรสาวก่อนชี้ไปทางห้องครัวที่เพิ่งว่างเมื่อไม่กี่นาที
“ลองไปดูในห้องครัวสิ แม่ก็ไม่รู้ว่าเหลืออะไรบ้างหรือเปล่า เหนือกับปีย์เพิ่งมากินข้าวเที่ยงที่บ้านน่ะ” กล่าวถึงเพื่อนสนิทของลูกชายที่ตอนนี้กลายมาเป็นลูกอีกคนของบ้าน
หลังเรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวง บุตรทั้งสองของเธอก็กลับมาอยู่บ้านไม่ได้หางานทำที่กรุงเทพฯ เปรมสินีเลือกงานตามความถนัด ส่วนปีย์วรา วัฒนาพิบูลย์ก็รับงานสอนวาดภาพ อีกทั้งมีงานวาดภาพหน้าปกให้สำนักพิมพ์หรือนักเขียนที่ติดต่อมาเป็นการส่วนตัว สร้างรายได้ให้มากพอสมควร
พวกเขาจึงเลือกกลับมาทำงานที่บ้าน สภาพแวดล้อมที่ดีกับครอบครัวแสนอบอุ่น...
“หาว” ปิดปากหาวอย่างรวดเร็ว อาการง่วงงุนยังไม่หายไปซะทีเดียว คิดว่าถ้าหนังท้องตึงหนังตาก็ต้องหย่อนอีกแน่นอน หล่อนจึงเดินเข้าไปหาอาหารในครัวแต่ไม่มีของที่ชอบสักอย่าง จึงเดินออกมาข้างนอกหมายจะไปนั่งกินข้าวที่ร้านแถวหมู่บ้าน
ด้วยตนทำอาหารไม่เก่ง บางอย่างกินแทบไม่ได้จนต้องให้หมาแต่ก็โดนมันเมิน ครั้นจะขอร้องมารดาให้ทำก็เกรงใจอีกฝ่าย เลือกออกไปซื้อกินสะดวกกว่า
“ทำงานโต้รุ่งอีกล่ะสิ พักผ่อนบ้างนะลูก ร่างกายจะไม่ไหว ขอบตาคล้ำหมด” ท้วงด้วยความเป็นห่วงที่เห็นขอบตาดำคล้ำของเปรมสินี เมื่อคืนเห็นว่าไฟห้องนอนลูกสาวเปิดตลอดทั้งคืน พอแอบเปิดเข้าไปดูก็พบเพียงแผ่นหลังบางที่นั่งหน้าจอ ไม่สนใจเสียงรอบข้างราวตัดขาดทุกอย่าง
ถึงจะดีใจที่ลูกสาวกลับมาอยู่บ้าน แต่การทำงานของอีกฝ่ายก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี
“งานเร่งน่ะแม่ เดือนหน้าก็ไม่ค่อยรับงานแล้วล่ะ อยากนอนเฉยๆ อยู่บ้านให้ป๊ากับแม่เลี้ยงบ้าง” เท้าที่กำลังจะก้าวออกข้างนอก เลือกเดินมานั่งข้างลัลนาแล้วโอบกอดคนอายุมากกว่าเอาไว้ ไม่สนใจว่าในมือของมารดากำลังถือเข็ม
คนถูกกอดยิ้มกว้างเอ็นดูลูกสาวที่ไม่ว่าจะเติบใหญ่แต่ก็ยังนิสัยออดอ้อนไม่เปลี่ยน วางมือจากงานแล้วยกมือลูบศีรษะมน แต่ยังไม่ทันได้ตอบก็มีคนแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“คิดถูกต้องที่สุดเลยลูกป๊า เงินทองบ้านเราก็ไม่ขาด ปิ๊มมานอนเล่นให้ป๊าเลี้ยงก็ดีเหมือนกัน ป๊าอยากผลาญเงินเล่นพอดีเลย” โซฟาเดี่ยวเยื้องกันมีคนมาจับจอง ก่อนมองลูกสาวที่อยู่ติดบ้านไม่ค่อยออกไปไหน แล้วเขาก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้าสักเท่าไหร่ เพราะเปรมสินีเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเพื่อทำงาน
จนอยากให้อีกฝ่ายได้ออกไปข้างนอกเปิดหูเปิดตาบ้าง...
ไม่ใช่สิ...บางครั้งที่บุตรสาวออกไปข้างนอกก็ไปหลายวันถึงกลับมาบ้าน
ใช้ชีวิตไม่บาลานซ์เอาเสียเลย
“ป๊าประชดหรือเปล่าเนี่ย” ปล่อยมารดาให้เป็นอิสระแล้วนั่งตัวตรง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเริ่มไม่แน่ใจว่าคนเป็นพ่อพูดจริงหรือเปล่า
อติกานต์ วัฒนาพิบูลย์ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องดูแลภรรยาและลูกชายลูกสาวสามคน ยามลูกยังเด็กชีวิตในแต่ละวันของเขาช่างมีสีสัน พอทุกคนเติบโตมีครอบครัวเป็นของตัวเองก็เริ่มเหินห่าง ยังดีที่ลูกไม่ได้แยกบ้านไปไหน
ที่สำคัญตอนนี้เขากลายเป็นคุณปู่เรียบร้อยแล้ว ได้หลานมาเลี้ยงถึงสองคนด้วยกัน แม้คนแรกจะไม่ได้เลี้ยงตั้งแต่เด็ก ทว่าคนที่สองเขาไปลุ้นถึงหน้าห้องคลอดกับภรรยา
เมื่อมีหลานปู่แล้ว เขาก็ไม่ต้องการหลานตา อยากให้ลูกสาวอยู่กับตนแบบนี้ไปอีกนานๆ ไม่แต่งงานยิ่งดี
“เปล่า คำพูดป๊ามันดูเหมือนประชดเหรอ” สีหน้าของบิดาไม่อาจคาดเดาได้ว่าพูดจริงหรือเปล่า หล่อนจึงลุกยืนเต็มความสูง ท้องเริ่มร้องประท้วงอีกครั้งจึงไม่อาจอยู่ต่อปากต่อคำได้ การแสดงออกถึงความรักของสองพ่อลูกออกจะแปลกสักหน่อย
รักกันมากแค่ไหนแต่ก็ชอบต่อปากต่อคำ ทั้งยังชอบแย่งลัลนาไปเป็นฝ่ายของตัวเองอีกต่างหาก คนกลางจึงค่อนข้างเหนื่อยพอสมควร
“เฮ้อ ไม่คุยด้วยแล้ว หนูออกไปหาอะไรกินข้างนอกดีกว่า” คนเป็นพ่อแม่มองตามแล้วอมยิ้ม ก่อนที่อติกานต์จะรีบลุกจากโซฟาเดี่ยวเพื่อมานั่งข้างภรรยา โอบเอวบางเอาไว้พลางเอนศีรษะซบไหล่ ออดอ้อนไม่ต่างจากวันวานยามอยู่กันสองคน
มือบางกระชับเสื้อแขนยาวที่ใหญ่จนปกปิดไปครึ่งขาให้กระชับกว่าเดิม แค่ต้องแสงแดดหล่อนก็แสบร้อนไปทั่วใบหน้า ไม่รู้เหตุใดพระอาทิตย์จึงได้ทำงานดีขนาดนี้ จะแอบหลบหลีกเข้าไปงีบหลังเมฆสักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร
บ่นกับตัวเองอย่างหงุดหงิดที่แดดร้อนแสบตา แต่ดันลืมเอาแว่นกันแดดมาด้วยจึงต้องสวมหมวกเป็นการพรางไม่ให้ใบหน้าโดนแดดไปมากกว่านี้
“ปิ่มปิ๊ม” เดินอ้อมมาทางหน้าร้านเพื่อจะได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปร้านอาหารประจำใกล้หมู่บ้าน แต่ยังไม่ทันจะถึงรถกลับมีเสียงหนึ่งเรียกเธอเป็นการรั้งเอาไว้ พอเหลียวมามองจึงพบว่าเป็นคุณน้าที่รู้จัก ถึงท่านจะอยู่หมู่บ้านฝั่งตรงข้าม แต่ก็เป็นลูกค้าประจำร้านค้าการเกษตรของหล่อน
“น้ากิ่งสวัสดีค่ะ” ยกมือไหว้แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความเป็นมิตร
กนกวดี ก้องคำรามเป็นภรรยาของกำนันประจำตำบลของเธอ เป็นเจ้าของตึกและยังมีตลาดให้เช่า ที่ดินส่วนมากก็ถือครองโดนคนบ้านก้องคำราม จะเรียกว่าเศรษฐีก็คงไม่ผิดนัก แต่ทำตัวสมถะจนคนภายนอกแทบดูไม่ออก
บ้านของท่านปลูกพืชไม้ผลจึงมักมาซื้อปุ๋ยที่นี่เป็นประจำ จนแทบจะทำโล่ลูกค้าดีเด่นให้อยู่แล้ว
อีกทั้งลูกสาวของท่านเรียนชั้นเดียวกับเธอ ถึงจะไม่ค่อยสนิทกันแต่ก็ได้พูดคุยปราศรัยยามพบหน้าตลอด
“จ้า กลับมาบ้านนานหรือยัง ทำไมน้าไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตาเลยล่ะ กลับมาคราวนี้สวยขึ้นเป็นกอง ขนาดเมื่อก่อนสวยอยู่แล้วนะ” ยิ้มกว้างพลางเอ่ยชมไม่ขาดปาก เล่นเอาเปรมสินีตัวแทบลอยแล้วยกมือขึ้นแนบแก้มของตัวเอง
เธอมาอยู่บ้านนานแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยอยู่ติดที่สักเท่าไหร่ บางทีว่างจากงานก็ออกท่องเที่ยว หรือโดนเรียกไปทำงานล่ามในเมืองหลวงบ้าง เส้นสายของเธอค่อนข้างเยอะเพราะรู้จักกับรุ่นพี่ที่ทำงานในวงการนักแปล ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนก็มักจะโทรมาขอความช่วยเหลือจากเธอ
อีกอย่างยามกลับมาบ้านก็ชอบขลุกตัวอยู่ในห้องทั้งวัน จนมารดาอยากให้ลูกสาวออกไปข้างนอกบ้าง ซึ่งเธอก็เลือกมาบ้านของน้องชายที่ตอนนี้ออกเรือนไปอยู่กับเหนือเมฆแบบเต็มตัว
“น้ากิ่งปากหวานเหมือนเดิมเลย เอาของแถมอะไรคะบอกมาเดี๋ยวหนูแอบให้เป็นพิเศษ” รีบเข้ามาควงแขนกนกวดีแสดงถึงความสนิทสนม ตอนที่หล่อนเฝ้าร้านเจอน้าอีกฝ่ายค่อนข้างบ่อย มีนิสัยคล้ายกันจึงพูดคุยได้เป็นอย่างดี