บทนำ
บทนำ
ลานหน้าบ้านวัฒนาพิบูลย์เต็มไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลมาร่วมแสดงความยินดีแก่บ่าวสาว ขบวนขันหมากแห่มาตั้งแต่หน้าหมู่บ้านใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็ถึงหน้าร้านขายของการเกษตร ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังคงเป็นที่นิยมเหมือนเดิม
เสียงกลองยาวสร้างความสนุกสนานแก่คนในขบวน ร้องรำทำเพลงมาจนหยุดหน้าประตูเงินประตูทองที่กั้นยาวจนคนถือซองชมพูถึงกับปาดเหงื่อ ต่างจากเจ้าบ่าวที่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย อยากรีบออกจากงานนี้ให้เร็วที่สุด
ถึงตนจะเป็นตัวเอกของงานก็ตาม
เขาไม่ได้อยากแต่งกับเธอนี่น่า มันเป็นการตกกระไดพลอยโจนที่จะโทษฝ่ายหญิงก็ไม่ได้ เป็นเขาสะเพร่าจนเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่
ลงท้ายต้องแต่งงานกับคนซึ่งตนไม่ได้หมายปอง จะหนีงานแต่งก็ไม่ได้เสียด้วยสิ นอกจากพ่อแม่ของเขาที่หมายหัวเอาไว้ ญาติเจ้าสาวก็มีแต่คนดุทั้งนั้น เขากลัวว่าตนจะถูกจับกลับมาตัดตอนถ้าหายไปจากงาน
“ยิ้มหน่อย” แม่เจ้าบ่าวยิ้มหน้าบาน ขยับเข้ามาใกล้บุตรชายแล้วกระซิบเสียงเบา
คุณกนกวดีพยายามทำตัวใจดีไม่ใช้มือจิกหัวลูกชาย อย่างไรวันนี้ลูกของนางก็ต้องหล่อเหลาที่สุด ขัดใจแม่นิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก หน้าตาอาจไม่ยิ้มแย้มแต่งานแต่งก็เกิดขึ้นแล้ว อีกไม่นานก็จะได้ดองกับครอบครัวที่ร่ำรวยของจังหวัดก็ว่าได้
ถือว่าเป็นวันดีห้ามโมโหเด็ดขาด นางเตือนตัวเองอยู่อย่างนั้นแล้วหยิกเข้าที่สีข้างของลาภิศร์ จนร่างสูงสะดุ้งโหยงต้องแย้มยิ้มกว้างราวคนบ้าที่มีความสุขตลอดเวลา ถ้าสั่งร้องไห้อาจจะง่ายกว่า
“มีความสุข มีความสุข มีความสุข” สะกดจิตตัวเองแล้วเดินไปหยุดที่หน้าประตูเงินประตูทอง ไม่รู้ว่าตัวเองจะเจอคำถามอะไรบ้าง แต่เขาอยากให้มันเสร็จโดยเร็วที่สุด หากทำได้ดั่งใจคิดก็อยากวิ่งหนีออกจากงานให้รู้แล้วรู้รอด
“รักเจ้าสาวของพวกเรามากแค่ไหนคะ” ด่านแรกก็เจอคำถามที่ทำให้เจ้าบ่าวยิ้มแหยะ ไม่ตอบอะไรนอกจากมองหน้าคนที่กั้นประตูเงินประตูทอง ในหัวของเขาขาวโพลนจนคนเป็นแม่ยิ้มแห้ง รีบสะกิดลูกชายของตนอย่างรวดเร็ว
“...”
“ตอบสิ”
“รักมากครับ โอ้ รักยิ่งกว่าชีวิต รักแบบสลักจิตสลักใจ กรีดเลือดออกมามีแต่คำว่ารักเมียครับผม!” เสียงกองเชียร์เฮดังลั่นพร้อมเสียงหัวเราะปริ่มร้องไห้ของเจ้าบ่าว เหตุใดเขาต้องมาทำอะไรอย่างนี้ด้วย รีบเสร็จสักทีเถอะจะได้ออกไปสักที
สองสาวยิ้มพึงพอใจแต่ไม่ยอมลดเส้นประตูลง จนคุณกนกวดีต้องส่งซองเงินไปตรงหน้าคนทั้งคู่ จึงได้เดินมาที่ประตูต่อไป คำถามไม่ได้ยากเท่าไหร่แต่บางครั้งเขาก็ต้องเต้นเพื่อเอาใจแขกเหรื่อ แทบจะขนกันมาทั้งหมู่บ้านด้วยซ้ำ
แต่ลาภิศร์ไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่
ครอบครัวของเธอเป็นคนใหญ่คนโต รู้จักคนเยอะทั้งยังมีบิดาเป็นอดีตปลัดอำเภออีกต่างหาก ส่วนพ่อของเขาก็เป็นกำนันคนนับหน้าถือตา การดองของสองตระกูลกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คงมีเพียงคนเดียวที่ไม่คิดอย่างนั้น
คือเจ้าบ่าวนั่นเอง...
“สวัสดี” ผ่านมาหลายด่านจนถึงด่านสุดท้าย
ร่างสูงสง่าในชุดเสื้อราชประแตนกับกางเกงโจงกระเบนผ้าไทยสีเงิน ขับให้เขาดูหล่อเหลากว่าทุกวัน ยกเว้นแต่แววตาหม่นหมองจนคนมองนึกหงุดหงิด ป้อมปราการไม่อยากเชื่อว่าคนตรงหน้าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
น้องเขยที่เขาเหม็นหน้าตั้งแต่วันแรกที่เจอ อีกทั้งชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้เลื่องลือไปทั่วอำเภอ ไม่อยากคิดเลยว่าชีวิตคู่ของน้องสาวจะจบลงอย่างไร
“เอ่อ ถาม ถามไหมจ๊ะ” สองหนุ่มเล่นจ้องตาบุตรชายของนางไม่เอ่ยอะไรสักคำ กนกวดีจึงต้องเป็นฝ่ายถามเสียเอง
“ครับ...ไอ้เหนือ” หันไปมองเพื่อนสนิทอย่างเหนือเมฆที่ทำหน้าเข้มไม่ต่างกัน ผนึกกำลังเพื่อรอต้อนรับน้องเขยตั้งแต่งานเช้า
จรดงานเย็น...
“ชื่อจริงของปิ๊มชื่ออะไร” เหนือเมฆเป็นคนถาม
“กูชื่อจริงว่าอะไร” ป้อมปราการเอ่ย
“กูด้วย” แค่คำถามก็ทำให้เจ้าบ่าวถึงกับพูดไม่ออก
พวกเขาไม่ได้ต้องการให้ลาภิศร์รู้ชื่อตนหรอก เพียงแค่อยากถามเพื่อเป็นการเพิ่มความกดดันก็เท่านั้น
“ฮะ”
ลาภิศร์ทำหน้าเหลอหลา ก่อนฉีกยิ้มอย่างเดียวเพื่อเอาใจคนอายุมากกว่าทั้งสอง มือชื้นเหงื่อกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะโดนต่อย เขารู้สึกลำตัวเล็กลงเรื่อยๆ บรรยากาศงานแต่งวันนี้สำหรับคนอื่นคงสนุก มีเพียงเจ้าบ่าวที่แทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“ตอบไปสิ” คนเป็นแม่เร่งเร้าเมื่อเห็นลูกเงียบไม่ยอมตอบ
“ผมไม่รู้” กัดฟันบอกเสียงเบา
ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อจริงว่าอะไร แค่นอนด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้สัมภาษณ์สำมะโนครัวของหญิงสาวสักหน่อย ถามรัวเป็นปืนกลแล้วตนจะเอาตัวรอดได้อย่างไร แค่ยิ้มไม่น่าจะทำให้รอดไปได้หรอก หรือเขาควรยืนร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด
“เปรม เปรมสินี...” พยายามเค้นความทรงจำในวัยมัธยมที่เคยเจอกับเจ้าสาว อีกทั้งเธอยังได้ขึ้นไปรับรางวัลบ่อยครั้งหน้าเสาธง จึงเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น ไม่รู้ถูกผิดขอให้ได้พูดไว้ก่อน
“วัฒนาพิบูลย์” กนกวดีกระซิบลูกชายถึงนามสกุล
“เปรมสินี วัฒนาพิบูลย์ครับ” ยิ้มให้คนทั้งสองเมื่อเห็นว่าพี่ชายของเจ้าสาวเงียบไป
“ถูก”
พรูลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วยิ้มกว้าง หันมาพยักหน้าให้มารดาแล้วค่อยผินกลับมามองประตูเงินประตูทองที่กั้นเส้นสุดท้าย คิดว่าอย่างไรมันต้องเปิดออก จะได้ทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นสักที
“ถ้าทำน้องกูร้องไห้เมื่อไหร่ ลูกปืนได้เข้าไปอยู่ในท้องมึงแน่” ป้อมปราการเดินเข้าไปใกล้เจ้าบ่าว โน้มหน้ามากระซิบที่หูข้างซ้ายพอให้ได้ยินกันสองคน
“หรือไม่ก็จับมัดมือมัดเท้าให้ม้าลากสักสิบกิโล” เหนือเมฆก็ไม่น้อยหน้ากระซิบหูด้านขวาพร้อมแสยะยิ้มมุมปากยามผละออกสบตากับเจ้าบ่าว ซึ่งตอนนี้เหงื่อแตกพลั่ก มองพี่ชายเจ้าสาวแล้วเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
“ผมจะทำให้ทุกวันของเรา...มีแต่ความสุขครับ!” ตะโกนเสียงดังเหมือนเป็นคำมั่นสัญญา
แต่คนพูดก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า
พวกเขาทั้งสองไม่ได้รักกันแต่ต้องมาแต่งงานทั้งยังต้องใช้ชีวิตคู่ ไม่รู้จะไปรอดได้สักกี่น้ำ...