บทย่อ
เมื่อเธอต้องแต่งงานตามคำสั่งของผู้เป็นแม่เพื่อชดใช้หนี้ ทำให้ได้เจอกับผู้ชายหน้าตาเหมือนโจรห้าร้อย เขาคนนี้ชื่อภูผาและเป็นสามีของเธอ ครั้งแรกที่เจอกันเธอรู้สึกกลัวมาก ในความรู้สึกตอนนั้นเธอคิดว่าเจ้าหนี้คงให้เธอแต่งงานกับรถขับรถของเขาเพราะดูจากภายนอกแล้วเขาดูธรรมดามากๆ แต่เมื่อได้อยู่ด้วยกัน เขาเป็นคนที่ดีใจมากๆ แถมยังดูแลเธอดีมากอีกด้วย และสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ เขาหล่อมากเมื่อตัดผมยาวๆ และโกนหนวดนั้นออกไป และอีกสิ่งหนึ่งที่เธอต้องตกใจ เมื่อได้รู้ว่าสามีใจดีของนั้นเป็นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเพื่อนสนิทของเธอ ซึ่งทำให้สบายใจอย่างน้อยก็เป็นคนรู้จัก “หนูรุ้ง ตอนนี้เราเป็นอะไรกัน” ภูผาเรียกชื่อของคนตัวเล็กที่อยู่ๆ ก็ทำหน้าเศร้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถาม “สามีภรรยา” รวีรุ้งก้มหน้า แล้วตอบภูผาเสียงเบาด้วยความไม่มั่นใจ ถ้าหากภูผาเป็นคนขับรถอย่างที่เธอเข้าใจผิดเหมือนตอนแรกเธอก็ไม่กังวลใจเท่าไร แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคุณชายที่ร่ำรวย ทำให้เธอคิดว่าต้องมีสักวันที่พวกเธอจะต้องเลิกกันอยู่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย แต่เมื่อคิดว่าเธอแต่งงานก็เพื่อใช้หนี้ให้ครอบครัวมันก็ทำให้เธอคิดฟุ้งซ่าน “ใช่แล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน และจะเป็นตลอดไป เรื่องพวกนี้หนูไม่ต้องคิดมาหรอก ถ้าพี่ไม่อยากแต่งกับหนูพี่จะไปจดทะเบียนสมรสกับหนูทำไม” ภูผาเอ่ยบอกด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับยิ้มเบาๆ และในขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของคนตัวเล็ก แต่เมื่อเห็นมือตัวเองเลอะก็ชักมือกลับมา “รุ้งขอโทษ” รวีรุ้งที่ได้ยินภูผาพูดแบบนั้น ก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษ หนูไม่ทำอะไรผิดสักหน่อย” ภูผาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางเช็ดมือให้สะอาดก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้กับคนตัวเล็ก “เราจะไม่หย่ากันทีหลังใช่มั้ยคะ” รวีรุ้งเอ่ยถามภูผาเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ “ไม่มีวันนั้นหรอก รีบกินกันเถอะ เราจะได้ไปเที่ยวที่อื่นกัน” ภูผาเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม พลางเช็ดน้ำตาของรวีรุ้งอีกครั้ง
EP : 1 ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง
“ไม่ว่ายังไงแกก็ต้องแต่งงาน” หญิงสาววัยกลางคน เอ่ยบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเองเสียงเข้ม
ร่างบางได้แต่ก้มหน้ารับอย่างพูดอะไรไม่ได้ เธอรู้ดีว่าแม่ที่เลี้ยงเธอมาจนโตไม่เคยรักเธอเลย
แม่ของเธอมีลูกสาวสามคน แต่เธอรับรู้ได้ว่าแม่ไม่เคยรักเธอเลย แม้แต่อ้อมกอดเธอก็ยังไม่เคยได้รับมันจากท่านเลยสักครั้ง
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ” รวีรุ้งตอบรับเบาๆ เพราะถ้าหากเธอไม่ทำที่บ้านก็จะล้มละลาย และก็ไม่รู้ด้วยว่าแม่จะให้เธอแต่งงานกับใคร เนื่องจากว่าบ้านของเธอนั้นทำธุรกิจ จนถูกฟ้องร้องทำให้เป็นหนี้ท้วมหัว
และไม่นานมานี้พ่อของเธอบอกว่า เพื่อนของเขาจะใช้หนี้ให้ หากให้ลูกสาวมาแต่งงานกับเขา และพี่สาวของเธอก็บอกว่าจะไม่แต่งเด็ดขาด เพราะไม่ชอบคนแก่
สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นเธอที่ต้องแต่งงาน แม้ใจอยากจะขัดขืนและโต้แย้งว่าหนูก็ไม่อยากจะแต่งเหมือนกัน
พ่อที่ได้ยินแม่พูดแบบนั้นก็ทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะมองเธอแล้วพูดขึ้น
“พ่อขอโทษ” วีระวุฒเอ่ยบอกรวีรุ้งที่ยืนก้มหน้าอย่างไม่พูดอะไร เขารู้สึกเสียใจที่ทำให้ครอบครัวต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
“ค่ะ” รวีรุ้งพูดได้แค่นี้จริงๆ ตลอดเวลาเธอรับรู้ได้ว่าตอนเองเหมือนคนนอก แม้ว่าพ่อของเธอจะเอาใจใส่ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกอยู่ดี
“ก็ดี วันนี้เตรียมซะ เพราะพรุ่งนี้ต้องขึ้นเครื่องไปหาเขาที่นั่น” ชวีพรบอกมองรวีรุ้งด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ค่ะ” รวีรุ้งพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปเก็บเสื้อผ้า ฝั่งนั้นเขาบอกว่าจะไม่จัดงานแต่งงานให้ และครอบครัวของเธอก็ยอม แค่จดทะเบียนด้วยเท่านั้น ครอบครัวของเธอก็ยินดีมากแล้ว
และเธอต้องขึ้นเครื่องไปที่นั่นคนเดียว ครอบครัวมาส่งเธอแค่ขึ้นเครื่องเท่านั้น ยังดีที่ก่อนหน้านี้เธอได้นำเงินที่ตัวเองเก็บไว้ทั้งหมดมาด้วย
มันเป็นเงินที่พ่อคอยแอบเอาไว้ให้เธอซื้อของที่อยากได้ แต่เพราะเธอไม่จำเป็นต้องซื้ออะไร ก็เลยมีเงินเก็บหลายแสนโดยที่บ้านไม่รู้
รวีรุ้งเก็บของทุกอย่างที่จำเป็น ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง เพราะคิดว่าคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว
เธอคิดหนักเมื่อตัวเองต้องไปอยู่ที่ไกลๆ และเป็นที่ที่เธอไม่คุ้นเคย เธอไม่ค่อยได้ออกจากบ้านเท่าไร
เวลาได้ยินเพื่อนพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็อยากไป แต่พอจะออกไปไหน แม่ของเธอก็บอกให้เฝ้าบ้าน
รวีรุ้งเคยสงสัยนะว่าตัวเองเป็นลูกจริงๆ ของแม่หรือเปล่า เพราะทุกครั้งที่เธออยู่ใกล้ท่านมองจะมองเธอด้วยท่าทางรังเกียจ
แต่รวีรุ้งก็เคยได้ยินมาว่า เธอเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวกำลังมีปัญญากับเรื่องเงินพอดี นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้แม่อาจจะไม่ชอบเธอก็เป็นไปได้
“รู้สึกวูบโหวงยังไงไม่รู้” รวีรุ้งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะรีบไปอาบน้ำเข้านอน เพราะพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปที่นั่น
“ไปอยู่ที่นั้นก็ทำตัวดีๆ ล่ะ” ชวีพรเอ่ยบอกหลังจากที่มาส่งรวีรุ้งขึ้นเครื่อง เพราะเธอไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะหนีไประหว่างทางหรือเปล่า ถ้าหากไม่มาส่งที่สมานบิน
“ค่ะ” รวีรุ้งพูดได้แค่นั้นจริงๆ เพราะเธอไม่เคยพูดคำอื่นกับแม่ของเธอเลยนอกจากคำนี้
“เดินทางปลอดภัยนะลูก” วีรวุฒเอ่ยบอกพลางลูบหัวของรวีรุ้งไปด้วยเบาๆ อย่างปลอบใจ รู้สึกเศร้าใจที่ดูแลรวีรุ้งได้ไม่ดีพอ
“ไปได้แล้ว” ชวีพรเอ่ยบอกเสียงเรียบ พร้อมกับโบกมือไล่ไปด้วย
“หนูไปก่อนะนะคะ” รวีรุ้งเอ่ยบอกกับพ่อของเธอ ก่อนจะมองไปยังแม่ของเธอวูบหนึ่ง แล้วหันหลังให้กับคนทั้งสอง
สองเท้าเดินจากไปด้วยขาที่ไม่มีแรงนัก เพราะเธอรู้ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเข้ากับคนที่นั่นได้หรือเปล่า
เธอที่เพิ่งจะเรียนจบว่าจะหางานทำสักหน่อย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อครอบครัวของเธอบอกให้เธอมาแต่งงาน เพื่อแลกกับเงินที่จะเอาไปใช้หนี้
เธอมัวแค่คิดเรื่องราวที่ผ่านมา จนไม่รู้ว่าตอนนี้ถึงจุดหมายที่เธอต้องลงแล้ว กระเป๋าเป้ใบขนาดกลางถูกเธอถือ ก่อนจะเดินมายืนอยู่หน้าทางออกเพราะไม่รู้ต้องไปที่ไหน เธอไม่รู้ว่าคนฝั่งนั่นจะส่งใครมารับตัวเอง
รวีรุ้งยืนกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความประหม่าเพราะทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงก่อน เพราะไม่เคยเดินทางไปที่ไหนมาก่อน ได้แต่หวังว่าคนฝั่งนั่นจะสังเกตเห็นเธอ
“รวีรุ้งใช่มั้ย” เสียงเข้มเอ่ยถามคนตัวเล็ก ที่ตอนนี้ยืนหันซ้ายหันขวาอย่างทำอะไรไม่ถูก แถมยังทำหน้าจะร้องไห้อีกด้วย
เขารู้จักเธอ และเขาก็นั่งมองเธอมานานจนเห็นว่าเธอทำหน้าจะร้องไห้ เลยได้เดินออกมาหาหญิงสาว ก่อนที่เด็กบางคนจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
“ค่ะ” รวีรุ้งเงยหน้ามองคนที่ถาม ก่อนจะเอ่ยตอบไป ซึ่งคาดว่าคงเป็นคนที่จะมารับเธอเป็นแน่
และตอนนี้เธอก็รู้สึกกลัวคนตรงหน้านิดหน่อย เพราะว่าเขาเหมือนพวกโจรที่อยู่ในหนังในละคร ผมยาวหนวดเคราเต็มหน้า จนมองไม่เห็นหน้าที่แท้จริงของเขา
“ตามมา” ภูผาเอ่ยบอกเสียงเข้ม เห็นคนตัวเล็กสะดุ้งหน่อยก็ชอบใจ เหมือนลูกแมวจริงๆ เวลาผ่านไปนานแต่เธอก็เปลี่ยนไปเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
รวีรุ้งไม่ตอบ เธอเดินตามอีกฝ่ายเงียบๆ พร้อมกับกระชับมือที่จับสายกระเป๋าแน่นอย่างหวาดกลัว หวังว่าเธอคงไม่ถูกหลอกไปฆ่าทิ้งเหมือนที่มีในข่าวหรอกนะ
“เอากระเป๋ามานี่” ภูผาบอกก่อนจะยื่นมือไปรับ
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งถือได้” เธอเอ่ยบอกเพราะเกรงใจอีกฝ่าย ที่นอกจากจะมารับแล้วยังจะมาถือของให้กับเธออีกด้วย
“เอามา” ภูผาเอ่ยย้ำอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่ยอมส่งกระเป๋ามาให้กับเขา แถมกระเป๋าแค่นี้จะเอาอะไรมาได้บ้าง ปกติผู้หญิงเวลาเดินทางจะต้องมีกระเป๋าสักสองสามใบไม่ใช่เหรอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาที่ต้องย้ายที่อยู่ใหม่เลย
“ค่ะ” เธอตอบเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ ก่อนจะยอมส่งมันให้กับคนตัวโตอย่างไม่มีทางเลือก
ภูผารับมาถือเอาไว้ ก่อนจะพาหญิงสาวไปขึ้นรถ พอได้ถือกระเป๋าของรวีรุ้งแล้ว ก็ต้องตกใจเพราะมันเบามาก
“ขึ้นรถสิ” ภูผาเอ่ยบอกพร้อมกับเปิดประตูรถให้อีกฝ่าย พร้อมกับเหลือบตามองดูแขนเล็กๆ แค่เห็นก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะมีแรงเปิดประตูรถเอง
“ขอบคุณค่ะ” รวีรุ้งเอ่ยบอกเสียงเบา พลางยอมขึ้นรถไปอย่างว่าง่าย และตลอดทางเธอก็นั่งตัวเกรงไปหมด เพราะไม่คุ้นชินกับการที่ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นเท่าไร
“เดี๋ยวเราจะไปแวะจดทะเบียนกันก่อน” ภูผาบอก เพระว่าเขาจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว เหลือแค่ไปอำเภอเพื่อจดทะเบียนสมรสกัน
“ค่ะ” เธอจะพูดอะไรได้นอกจากยอมรับมัน แต่พอตั้งสติได้ เธอก็เงยหน้าไปมองคนที่ขับคนอยู่ทันทีอย่างตกใจ
นั่นหมายความเขาไม่ใช่คนที่ทางฝั่งนั้นให้มารับเธอ แต่เป็นคนที่เธอต้องจดทะเบียนสมรสด้วย
ช่างเถอะ เธอมีสิทธิ์เลือกที่ไหนกัน หากเขาจะให้คนงานของเขาแต่งกับเธอ แล้วเธอจะมีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไรได้กันล่ะ