บทที่ 9 ไว้วางใจ
หลังจากมอบของกำนัลให้ท่านมหาเสนาบดีคลังแล้ว ก็ถึงเวลาที่สตรีต้องแยกจากบุรุษตามธรรมเนียม ครานี้จึงเป็นโอกาสให้เฉินลี่จูได้พบกับฮูหยินผู้นั้น
ฮูหยินท่านมหาเสนาบดีคลังมีอายุราวสี่สิบปี ใบหน้าของนางยังคงงดงามผุดผาด สวมใส่อาภรณ์ผ้าไหมหรูหราซึ่งส่งตรงออกมาจากราชสำนัก
บนศีรษะของนางมีเครื่องประดับไพลินล้ำค่า รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นผิดกับสตรีสูงวัยทั่วไปที่มักจะมีน้ำหนักมากขึ้นและอ้วนท้วน
คงเพราะนางสูงศักดิ์และยังคงงดงามเช่นนี้จึงทำให้ท่านมหาเสนาบดีรักใครฮูหยินผู้นี้ยิ่งนัก
เฉินลี่จูรอคารวะนางต่อจากสตรีที่มาจากจวนอื่นซึ่งล้วนมีตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นภรรยา หรือไม่ก็บุตรสาวสายตรงของจวนต่าง ๆ
มีเพียงเฉินลี่จูที่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหอการค้าที่ปะปนเข้ามา
เพราะความงดงามของเฉินลี่จูและชื่อเสียงของนางที่คนเล่าลือว่าทำให้เหวินเฟยเทียนหลงใหลแล้ว ฐานะของนางยังทำให้สตรีเหล่านั้นสนใจ
นางเป็นสตรีคนเดียวที่ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยทางการค้าในแคว้นแห่งนี้
แน่นอนว่าเพราะตำแหน่งของนางที่ติดต่อการค้ากับจวนต่าง ๆ มากมายจึงมีสตรีหลายคนที่เฉินลี่จูสนิทสนม ด้วยนางเหล่านั้นล้วนคือหลังบ้านจากจวนต่าง ๆ ที่เฉินลี่จูทำการค้าขายด้วยนั่นเอง
กิริยามารยาของเฉินลี่จูนั้นงดงามละมุนตา ท่าทางของนางก็เป็นธรรมชาติและถ่อมตนยิ่ง นางมิได้วางตัวเองเทียบเท่าสตรีเหล่านั้น แต่ก็ท่าทางสง่างามของนางก็มิกล้ามีผู้ใดกดข่ม
ฮูหยินเรียกนางเข้าไปใกล้ เฉินลี่จูยังมีของกำนัลมามอบให้แก่ฮูหยิน
กล่องไม้แกะสลักถูกเปิดออก ของที่อยู่ภายในมิใช่หยกหรือเครื่องประดับล้ำค่า ทว่ากลับคือของที่ฮูหยินไม่เคยเห็นมาก่อน
“เป็นสินค้าที่นำมาจากฝั่งตะวันตกเจ้าค่ะ เขาเรียกกันว่าน้ำหอมสระผม”
“น้ำหอมสระผมหรือ แตกต่างจากสบู่สระผมอย่างไร”
เฉินลี่จูยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ที่ข้าน้อยมีเส้นผมเงางาม กลิ่นหอมกรุ่นติดเส้นผม เพราะสิ่งนี้เจ้าค่ะ ยิ่งสระเส้นผมก็ยิ่งงดงามประดุจเส้นไหมไม่แข็งกระด้างเหมือนที่ใช้สบู่สระผม ยังทำให้เส้นผมหงอกช้า ทำให้สตรีเช่นเราอ่อนเยาว์อยู่เสมอ”
เฉินลี่จูมิได้บรรยายมากนัก นางใช้เส้นผมของตนเองเป็นหลักฐานให้ทุกคนได้ดู
เส้นผมของเฉินลี่จูทั้งอ่อนนุ่มและเงางาม ยังมีกลิ่นหอมละมุนอ่อน ๆ แน่นอนว่ามิใช่กลิ่นกำยานหรือน้ำอบร่ำที่ใช้กันโดยทั่วไป
ของล้ำค่าต่าง ๆ ถูกฮูหยินท่านมหาเสนาบดีลืมไปทันใด นางดูตื่นเต้นจนดวงตาไหวระริก
“ของจากตะวันตกช่างดียิ่ง เจ้าได้มาได้อย่างไร”
เฉินลี่จูเอ่ยว่า
“หนึ่งปีก่อนที่เรือขนส่งกล้องดูดาวและกระจกมาเข้าวังหลวง สหายของข้าน้อยที่เดินทางร่วมมาด้วยเห็นว่าสิ่งนี้น่าสนใจจึงได้นำมาฝากหีบใหญ่ ข้าน้อยทดลองใช้แล้วรู้สึกว่าดียิ่งจึงได้ตั้งใจนำมาให้ฮูหยินในวันนี้”
สินค้าที่หออื่นนำเข้ามาจากตะวันตกนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของที่มีราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นดินปืน อัญมณี เครื่องสำริด ทว่าของเล็กน้อยเช่นนี้มีเพียงหอเฟยเทียนที่คิดนำเข้ามา
“แล้วเจ้าได้นำออกมาขายหรือไม่”
เฉินลี่จูส่ายหน้า
“สำหรับผู้อื่นอาจคิดว่าไร้ราคาค่างวด แต่สำหรับข้าน้อยคิดว่าล้ำค่านักอีกทั้งของสิ่งนี้มีจำนวนน้อยย่อมไม่พอที่จะนำออกมาขาย หากจะให้เอ่ยไปข้าน้อยก็กระดากอายยิ่ง”
“ทำไมหรือ”
เฉินลี่จูทำท่าเอียงอาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นฮูหยินจึงเค้นเอาคำตอบ
“เจ้าพูดมาเถิดไม่ต้องเขินอาย พวกเราล้วนเป็นสตรีด้วยกันทั้งนั้น”
ใบหน้างามของเฉินลี่จูกลายเป็นสีแดงไปแล้ว นางเม้มปากแล้วเอ่ยเสียงเบาราวกลับกระซิบ ทว่าสตรีในที่นี้ล้วนได้ยินกันทุกคน
“นายท่านของข้าน้อยมักจะชอบดอมดมเส้นผม ทุกคืนก่อนนอนต้องตระกองกอดให้ศีรษะจรดจมูกของเขาเจ้าค่ะ”
ไม่ต้องเอ่ยคำใดอีกแล้ว ทุก ๆ จวนในที่นี้ล้วนมีบุรุษหนึ่งสตรีมากกว่าสาม ผู้ใดบ้างไม่ต้องการแย่งชิงความโปรดปรานของสามี
เฉินลี่จูเนื้อหอมขึ้นมาทันใดทุกคนล้วนอยากได้น้ำหอมสระผมของนางแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยต่อหน้าฮูหยินท่านมหาเสนาบดี
“ข้าน้อยขอพูดตามตรงว่า”
เฉินลี่จูกระซิบเบา
“แม้แต่ฮองเฮาหรือไทเฮาก็ยังไม่เคยได้ใช้ ยามนี้ข้าน้อยมอบให้เป็นของกำนัลแด่ฮูหยินเพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ”
หลังจากวันนั้นเฉินลี่จูก็ได้รับเทียบเชิญจากฮูหยินใหญ่ให้มาที่จวนเพื่อร่วมงานเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง
เพราะความแตกต่างของเฉินลี่จูที่ไม่เหมือนผู้ใด
“ลี่จู เจ้าว่าข้าแต่งหน้าเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉินลี่จูมักจะกล่าวตรงไปตรงมา แต่กลับไม่ทำให้ฮูหยินใหญ่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย
“ฮูหยินใหญ่มีผิวพรรณงดงามเหมือนเด็กสาว หากลงแป้งหนาเช่นนี้มิเท่ากับปกปิดความงามของท่านหรือเจ้าคะ การลงแป้งให้น้อยลงจะช่วยขับเน้นให้ผิวของท่านโดดเด่นและอ่อนเยาว์เจ้าค่ะ”
“จริงด้วย พวกเจ้านี่ไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าข้าจะแต่งอย่างไรก็เอาแต่ชื่นชมจนข้ารู้สึกว่าตนเองเป็นเทพเซียนแล้ว อยากทำให้ข้าเป็นตัวตลกหรือ ดูสิพอกแป้งให้ข้าหนาเพียงนี้คนที่มาร่วมงานเลี้ยงคงได้แอบหัวเราะข้าเป็นแน่”
ทุกครั้งที่พบหน้าเฉินลี่จูไม่เคยเอ่ยเรื่องการค้ากับฮูหยิน นางเพียงแต่ให้คำแนะนำเงียบ ๆ และคอยอยู่เป็นเพื่อน กระทั่งทำให้ฮูหยินสบายใจและเชื่อใจนางในที่สุด
ภายในระยะเวลาเพียงสองเดือน เฉินลี่จูก็กลายเป็นคนโปรดของฮูหยินของจวนมหาเสนาบดีคลังแล้ว
เพราะฮูหยินเป็นหลานสาวของฮ่องเต้ยังเป็นคนโปรดของไทเฮา นางจึงเข้าวังบ่อยครั้งและหลายครั้งก็มักเอ่ยถึงเฉินลี่จูต่อหน้าไทเฮาและฮองเฮาอยู่เสมอ
ชื่อเสียงของนางจึงค่อย ๆ คุ้นหูของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคน แน่นอนว่าชื่อเต็มของนางที่เรียกขานก็คือ ‘เฉินลี่จูจากหอการค้าเฟยเทียน’
เป้าหมายที่เหวินเฟยเทียนต้องการก็คือการได้เข้าร่วมแข่งขันประกวดผ้าไหมประจำปี รางวัลที่ผู้ชนะจะได้ก็คือสิทธิ์ขาดในการส่งผ้าไหมเข้าวังหลวงตลอดทั้งปีนั่นเอง
ในวังหลวงมี ข้าราชสำนักนับรวมมากกว่าหนึ่งแสนคน หากได้รับคัดเลือกให้นำผ้าไหมเข้าวังหลวงก็ไม่ต้องคิดแล้วว่าจะสร้างกำไรมหาศาลได้เพียงใด
แต่การจะเข้าร่วมแข่งขันมิใช่เรื่องง่าย เพราะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนเพื่อให้ทางวังหลวงแน่ใจว่าหากชนะการแข่งขัน หอการค้าแห่งนั้นจะสามารถส่งผ้าไหมเข้าวังในแต่ละฤดูกาลได้ทันเวลา
แน่นอนว่าเหวินเฟยเทียนย่อมเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี นอกจากเขาจะมีโรงผลิตผ้าไหมเองแล้ว ยังได้ทำสัญญากับชาวบ้านในหลายเมืองที่ทำการผลิตผ้าไหมชั้นดีเพื่อเตรียมส่งเข้าวังหลวง
เพราะคำพูดของเฉินลี่จูและผลประโยชน์ลับหลังด้านความงามที่ไม่มีผู้ใดรู้ของนาง จึงทำให้ฮูหยินใหญ่เสนอชื่อหอการค้าเฟยเทียนเข้าร่วมแข่งขันต่อหน้าพระพักตร์ของไทเฮาอยู่หลายครั้งโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
และเมื่อราชสำนักเปิดให้หอการค้าแข่งขันส่งผ้าไหมคุณภาพเข้าวังหลวงปีนี้กลับมีชื่อของหอการค้าเฟยเทียนเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง
ซึ่งเรื่องนี้สร้างความฉงนให้แก่ห้าหอการค้าใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยมีผู้ใดคาดคิดว่าเหตุใดจู่ ๆ หอการค้าที่ทำการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ กับราชสำนักเช่นหอการค้าเฟยเทียนจะได้รับสิทธิ์ในการแข่งขันครานี้
พวกเขาล้วนให้คนสืบข่าวสาเหตุที่มาที่ไป กระทั่งสืบความมาได้ว่าเป็นฝ่าบาทที่ตรัสเองว่าคราก่อนเพราะหอการค้าเฟยเทียนส่งกระจกและกล้องดูดาวเข้าวังหลวงมีคุณภาพเป็นอย่างมากจึงทรงรับสั่งให้เข้าร่วมการแข่งขัน
หอการค้าทั้งห้าล้วนปรึกษากันเคร่งเครียด
“กระจก และ กล้องดูดาวเป็นของเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไยฝ่าบาทจึงโยงเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้หอการค้าเฟยเทียนเข้าร่วมประมูลได้ เรื่องนี้ต้องมีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง”
เจ้าหอการค้าสกุลหลงเอ่ยว่า
“ข้าสืบได้ความว่า ไม่มีขุนนางผู้ใดที่เสนอชื่อหอการค้าเฟยเทียนให้ฝ่าบาททรงพิจารณา ยามนี้จึงได้สงสัยยิ่งนักว่าหากไม่ใช่ขุนนางแล้วเป็นผู้ใดกัน”
เพราะพวกเขาล้วนมองข้ามสตรีในวังหลวง จึงได้คาดคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไทเฮาที่เอ่ยปากกับฝ่าบาทโดยตรง
เรื่องภายในระหว่างแม่กับลูกผู้สูงศักดิ์ จึงไม่หลุดออกมาภายนอกแม้แต่ประโยคเดียว
ก่อนการเปิดรายชื่อหอการค้าที่มีสิทธิ์เข้าร่วมเป็นผู้แข่งขันไทเฮาได้ทรงตรัสกับฝ่าบาทว่า
“หลานสาวคนดีของฝ่าบาทชื่นชมหอการค้าเฟยเทียนว่ามีความซื่อตรงขายสินค้ามีคุณภาพ อย่างไรฝ่าบาทก็ลองพิจารณาให้พวกเขาร่วมแข่งขันสักหน อย่างน้อยเป็นการเปิดกว้างให้หอการค้าอื่นมีสิทธิ์แข่งขัน มิใช่ผูกขาดเพียงแค่ห้าหอการค้าเท่านั้น”
ฝ่าบาททรงเห็นว่าเรื่องนี้เล็กน้อย ก็แค่เพิ่มผู้แข่งขันเข้ามาอีกสักรายก็ไม่นับว่ามีปัญหา พระองค์จึงทรงรับปากไทเฮาแต่โดยดี
เมื่อเป็นเช่นนี้หอการค้าเฟยเทียนจึงกลายเป็นศัตรูหอการค้าใหญ่ทั้งห้าขึ้นมาโดยพลัน
หลังจากที่ทางการแปะป้ายประกาศผู้เข้าร่วมแข่งขันส่งผ้าไหมเข้าวังหลวงอย่างเป็นทางการค่ำคืนวันนี้จึงนับเป็นคืนที่ดียิ่งนัก
เฉินลี่จูกำลังนวดคลึงไหล่ให้กับเหวินเฟยเทียน ในระหว่างที่เขาดื่มสุรากับซูมิ่งผู้คุ้มกันของเขาไปด้วยอย่างอารมณ์ดี
"เจ้าทำได้ดีมาก เรื่องรางวัลของเจ้าที่ข้ารับปากอยากได้สิ่งใดหรือ”
นางส่ายหน้า
“ไม่มีสิ่งใดที่อยากได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะเพิ่มเงินเดือนให้เจ้าเป็นพิเศษ หรือจะเอาเรือนพักตากอากาศสักหลัง”
“ข้าไม่กล้าเจ้าค่ะ ราคาแพงยิ่งนัก ความผิดของข้ายังมีติดตัว”
สองเดือนก่อนเพราะนางทำให้ไม่ได้ทำสัญญาร่วมค้ากับสกุลจางสร้างความเสียหายไม่น้อย นางจึงไม่กล้ารับสิ่งใดแล้ว
“ไม่ต้องห่วงไป บัดนี้สกุลจางให้คุณชายใหญ่มาคุกเข่าขอให้ข้ายกโทษให้แล้ว ตั้งแต่มีชื่อหอการค้าเฟยเทียนเข้าร่วมแข่งขันผ้าไหม หอการค้าน้อยใหญ่ทั้งหลายล้วนวิ่งเข้ามาเพื่อขอร่วมสัญญาการค้า หึ พวกเขากำลังทำตัวราวกับเสือโหยที่เพิ่งเจอเหยื่อรายใหม่ หารู้ไม่ว่าตนเองกำลังกลายเป็นเหยื่อเสียเอง”
ซูมิ่งเอ่ยว่า
“คุณชาย ยามนี้ทั้งห้าหอการค้าล้วนหมายหัวหอการค้าของพวกเราแล้ว อย่างไรก็ต้องเตรียมรับมือให้ดีนะขอรับ ทั้ง ๆ ที่ผู้ตัดสินฝ่าบาทยังไม่ประกาศออกมาแท้ ๆ แต่พวกเขากลับให้คนเข้าหาขุนนางที่คาดว่าฝ่าบาทจะมอบหมายหน้าที่ให้อย่างลับ ๆ แล้วขอรับ”
เหวินเฟยเทียนยิ้มเหี้ยมเกรียม
“ปล่อยพวกเขาติดสินบนคนพวกนั้นไปก่อนเถิด ข้าหาได้สนใจ”
“แต่คนพวกนั้นที่เคยเป็นผู้ตัดสินในอดีต คงถูกซื้อตัวไปหมดแล้ว”
“ในเมื่อฝ่าบาทยังไม่ตัดสินว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้ตัดสินคัดเลือก พวกเราอย่าเพิ่งร้อนรน ข้าย่อมมีทางออก”
เฉินลี่จูยิ้มแล้วเอ่ยกับซูมิ่ง
“พี่ซูไม่ต้องห่วง นายท่านได้เตรียมหาทางออกเอาไว้แล้ว อย่างไรพวกเราก็มีทางเอาชนะได้”
ซูมิ่งยิ้ม
“ข้าอิจฉานายท่านเหลือเกินที่มีผู้รู้ใจเช่นคุณหนูเฉินที่งดงามและเฉลียวฉลาดเคียงข้างเช่นนี้”
เฉินลี่จูยิ้มตอบกลับว่า
“พี่ซูชมหนักไปแล้ว คนที่ฉลาดล้วนคือนายท่าน ทั้งหมดก็เพราะเป็นแผนการที่นายท่านวางเอาไว้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ เวลาที่นายท่านรอมานานในที่สุดก็มาถึงแล้ว”
มือเรียวคลึงไล้นวดมาถึงลำคอของเขาแล้วบีบเบา ๆ สัมผัสอ่อนโยนสบายทำให้เขารู้สึกเร่าร้อนขึ้นมา
อาจจะเพราะรสชาติร้อนแรงของสุรา หรือไม่ก็รู้สึกตื่นเต้นที่เวลาที่เขารอคอยเนิ่นนานมาถึงแล้วจึงทำให้เขาจู่ ๆ ดึงร่างบางของเฉินลี่จูลงมานั่งตัก
“อ้ะ นายท่าน”
เฉินลี่จูเอียงอายบัดนี้ซูมิ่งยังนั่งอยู่ตรงหน้าด้วย ทว่าเหวินเฟยเทียนกลับไม่สนใจ
เข้าไล้นิ้วมือไปบนใบหน้างามอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยเหี้ยมเกรียม
“ใช่เวลาที่ข้ารอมาเนิ่นนานในที่สุดก็มาถึงแล้ว หอการค้าทั้งห้าหรือไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใดข้าจะโค่นล้มให้พวกเจ้าดู”