บทที่ 10 เพื่อนใหม่
วันนี้เฉินลี่จูไปตรวจบัญชีที่หอไข่มุกเฟยเทียนแทนเหวินเฟยเทียน นางใช้เวลาตรวจดูบัญชีเหล่านั้นอยู่ครึ่งวันจึงได้วางมือ
“กำไรของเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วมากนับเท่าตัว”
ผู้ดูแลหอไข่มุกค้อมกายแล้วเอ่ยว่า
“เจ้าค่ะ เพราะไข่มุกสีชมพูที่นำเข้ามาทำเครื่องประดับ ทำให้ลูกค้าชื่นชอบมากจึงทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเจ้าค่ะ”
“ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะเราได้ผู้คิดลวดลายเครื่องประดับคนใหม่ ข้าอยากไปเยี่ยมเขาสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ แล้วคุณหนูจะไปวันไหนหรือเจ้าคะ”
“วันนี้เลย ได้หรือไม่”
นางยังไม่เคยพบหน้าช่างคิดลวดลายเครื่องประดับคนใหม่ เพราะเหวินเฟยเทียนเป็นผู้คัดเลือกเข้ามาด้วยตนเอง เขาจึงสั่งให้นางหาเวลาไปพบคนผู้นั้นสักครั้ง
“ข้าน้อยจะให้คนไปแจ้งคุณชายป๋อล่วงหน้าเจ้าค่ะ คนผู้นี้หากกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่คิดลวดลายเครื่องประดับชุดใหม่ปกติจะไม่พบผู้ใดแม้แต่คุณชายเหวินของพวกเรา”
เฉินลี่จูไม่ค่อยมีเวลามาก ทุกวันนี้ด้วยเรื่องการแข่งขันประกวดผ้าไหมที่เข้ามาถึง นางยังต้องไปที่เรือนผลิตผ้าไหมในทุกวัน เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้มีสิ่งใดผิดพลาด
นอกจากนั้นทุก ๆ สองหรือสามวันยังได้รับเทียบเชิญจากฮูหยินของท่านมหาเสนาบดีคลังเพื่อเข้าร่วมการชมงิ้วเป็นเพื่อนนาง
เฉินลี่จูทำงานหนักทุกวันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนร่างกายผ่ายผอมลงไปไม่น้อย ในช่วงกลางคืนทั้งยามเช้ายังต้องคอยปรนนิบัติเหวินเฟยเทียนไม่ขาด
เพราะเวลาน้อยเช่นนี้ เมื่อมีเวลาว่างจึงต้องรีบไปพบคนผู้นั้นตามที่เหวินเฟยเทียนเคยสั่งเอาไว้สักหน
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปพบเขาเลย หากไม่ให้เข้าพบข้าก็จะไม่รบกวน”
“เจ้าค่ะ”
เฉินลี่จูย่อมเข้าใจในอารมณ์ของศิลปิน คนประเภทนี้ล้วนจะเก็บตัวไม่ค่อยยอมพบปะผู้ใด
เหวินเฟยเทียนจัดบ้านพักหรูหราที่ห่างไกลผู้คนให้เขาอยู่ มิหนำซ้ำก่อนเดินเข้าไปยังตัวเรือนนอนยังต้องผ่านป่าไผ่ที่ปลูกกันเสียงเอาไว้เป็นกำแพงหนาอีกหนึ่งชั้น
เฉินลี่จูเดินมาที่โถงอันเป็นที่วางสินค้า ผู้คนเข้ามาชมสินค้าที่เพิ่งคิดลวดลายใหม่คับคั่ง ทุกคนล้วนเป็นสตรีสูงศักดิ์เห็นได้ชัดว่าล้วนมีฐานะไม่น้อย
วันนี้มีสินค้าปิ่นปักผมระย้าประดับด้วยทับทิมล้ำค่า ที่คิดลวดลายมาใหม่เพิ่งเปิดขายวันแรก
แม้จะงดงามแต่ราคาสูงเกินเอื้อม แม้ลูกค้าของนางจะร่ำรวยแต่หลายคนก็ได้รับเงินเดือนอันจำกัดจึงทำให้ยอดขายไม่ค่อยดีนัก
เฉินลี่จูจึงสั่งให้เสี่ยวเฉียนเปลี่ยนเครื่องประดับให้นางเสียใหม่ เสี่ยวเฉียนไม่เข้าใจว่าไยคุณหนูจึงต้องเปลี่ยนเครื่องประดับด้วย
“ปิ่นปักผมระย้า คุณหนูเคยบอกว่าแม้จะงดงามแต่ก็เกะกะท่านนักนี่เจ้าคะ คุณหนูจึงไม่ชอบใส่”
เฉินลี่จูแย้มยิ้ม
“นายท่านสอนข้าว่า เครื่องประดับทุกชิ้นหากวางเฉย ๆ อาจไม่สามารถกระตุ้นความอยากของผู้อื่นได้ ทว่าหากได้คนที่เหมาะสมมาสวมใส่แล้วจะทำให้ของสิ่งนั้นดึงดูดผู้อื่นได้ทันที เจ้าว่าจะมีสิ่งใดเหมาะสมเกินไปกว่าข้าสวมใส่ให้พวกเขาดูเสียเองว่าเมื่อประดับอยู่บนศีรษะแล้วงดงามเพียงใด”
“อ้อ ที่แท้ท่านก็จะให้ตนเองเป็นแบบอย่างนี่เอง เสี่ยวเฉียนเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินลี่จูเดินเข้าไปหลังฉากกั้น เสี่ยวเฉียนแจ้งผู้ดูแลหอไข่มุกว่าให้นำเครื่องประดับชุดนั้นมาให้นางชุดหนึ่งเพื่อเปลี่ยนให้คุณหนู
ว่ากันว่าคนงาม ไม่ว่าจะสวมสิ่งใดก็ล้วนน่าดูยิ่งนัก บัดนี้เฉินลี่จูที่มีเครื่องประดับทับทิมระย้าชุดนั้นประดับอยู่ที่ศีรษะยิ่งทำให้นางดูสูงส่งงดงามและโดดเด่นยิ่งนัก
“สินค้าถึงจะราคาแพงเพียงใด แต่หากมีผู้สวมใส่แล้วดูงดงามจนทำให้บุรุษเอ่ยชื่นชม ไม่ว่าสตรีใดก็ย่อมหน้ามืดยอมจ่ายไม่เงินเพื่อซื้อสิ่งนี้ ปิ่นระย้านี่ก็เช่นกัน เจ้าคอยดูเถิดข้าจะแสดงให้ดู”
วันนี้เฉินลี่จูสวมเสื้อคลุมกันลมสีชมพูเข้ม ตัดกันกับสีขาวของชุดตัวในงดงามนาง บนศีรษะเกล้าผมเป็นมวยสูง ปักปิ่นอัญมณีทับทิมระย้ายิ่งขับเน้นผิวหน้าขาวของนางให้งดงามประดุจเทพเซียนบนสวรรค์
เพียงนางปรากฏกายก็สร้างเสียงชื่นชมจากบุรุษที่อยู่ในหอไข่มุกได้อย่างพร้อมเพรียงกัน
“นี่มิใช่ผู้ช่วยหอการค้าเฟยเทียนหรือ งดงามยิ่งนัก ยิ่งปิ่นที่นางประดับบนศีรษะนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของนางงดงามเฉิดฉาย เพราะงามเช่นนี้เองท่านเจ้าของหอเฟยเทียนจึงหลงใหลนางและมีนางเพียงคนเดียว”
บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกจากนั้นเสียงชื่นชมก็ดังขึ้นไม่ขาดปาก เฉินลี่จูแสร้งไม่ได้ยิน นางกล่าวทักทายลูกค้าที่เข้ามาในร้านอย่างนอบน้อม
นางยังเดินวนดูเครื่องประดับในร้านช้า ๆ ก่อนหนึ่งรอบ เพื่อเผยความงดงามของตนเอง ทักทักทายลูกค้าด้วยรอยยิ้มงดงามคนต่อคน กระทั่งสตรีเห็นรอยยิ้มนั้นยังตะลึงลานยังจ้องปิ่นระย้าบนศีรษะของนางไม่วางตา
สตรีผู้หนึ่งเอยขึ้นอย่างลืมตน
“ถ้าข้าสวมใส่ปิ่นนี่แล้วคงงดงามไม่แพ้ผู้ช่วยการค้าเฉินเป็นแน่ ปิ่นนั่นมีขายหรือไม่ราคาเท่าใด”
คนของหอไข่มุกเฟยเทียนรีบเข้าไปแนะนำสตรีนางนั้น
“เชิญคุณหนูด้านนี้เจ้าค่ะ มีปิ่นที่เหมือนกันและงดงามเหมาะสมกับคุณหนูยิ่งกว่านั้นเจ้าค่ะ”
เฉินลี่จูเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ยังแสร้งไม่ได้ยินต่อไป นางใช้เวลาอยู่ชั่วครู่จึงเดินออกจากหอไข่มุก เมื่อเข้ามาในรถม้านางจึงให้เสี่ยวเฉียนถอดเครื่องประดับออก
ผู้ดูแลหอย่อมตามออกมาส่ง เสี่ยวเฉียนจึงส่งเครื่องประดับคืนผู้ดูแลหอทันใด
เสียงอึกทึกเซ็งแซ่ดยังดังต่อเนื่องอยู่ภายในหอบัดนี้ล้วนถามหาเครื่องประดับที่เฉินลี่จูสวมใส่ ยิ่งรู้ว่ามีจำนวนจำกัดเพียงแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ยิ่งทำให้คนเกิดอาการเยื้อแย่งกันขึ้นมาทันใด
ปิ่นระย้าราคาแพงขายหมดภายในพริบตา ทั้งยังมีวางเงินมัดจำสั่งจองเพิ่มอีกนับไม่ถ้วน
ผู้ดูแลหอไข่มุกล่าวชื่นชม
“คุณหนูช่างเก่งกาจยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้คนมีเงินที่ขี้เหนียวเหล่านั้นควักเงินจ่ายได้ในพริบตา”
มุมปากของเฉินลี่จูยกโค้งขึ้นด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะสั่งให้คนขับรถม้าพานางไปยังเรือนของผู้คิดลวดลายเครื่องประดับคนใหม่ทันใด
รถม้าผ่านประตูเมืองออกมาแล้วและยังวิ่งหายเข้าไปในป่าที่มีเส้นทางขรุขระสายหนึ่ง ไม่นานก็ถึงเรือนหลังนั้น
“ช่างสมแล้วที่เป็นผู้ปลีกวิเวก คุณชายก็ช่างจัดหาเรือนให้คนผู้นี้อยู่ได้ไกลยิ่ง ข้าเกือบจะอาเจียนออกมาเพราะวิงเวียนแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฉียนบ่นเบา ๆ กลายเป็นว่ายามนี้เป็นเฉินลี่จูที่ประคองสาวใช้ให้ลงจากรถม้า
“หากเจ้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย นั่งรอข้าที่นี่ ข้าไปพบเขาชั่วครู่ก็ออกมาแล้ว”
เสี่ยวเฉียนเดินไม่ไหวจึงปล่อยให้คุณหนูของตนพร้อมกับผู้คุ้มกันทั้งสองเข้าไปในเรือนหลังนั้นโดยไม่มีนาง
บ่าวรับใช้รีบออกมาต้อนรับ เพราะเป็นคนของหอการค้าเฟยเทียนจึงรู้จักเฉินลี่จูเป็นอย่างดี
“คุณหนูมาพบคุณชายป๋อหรือขอรับ”
“ใช่ เจ้าช่วยไปบอกคุณชายว่าข้ามาขอพบ”
“ยามนี้คุณชายไปวาดรูปที่แม่น้ำด้านหลัง ไม่ได้อยู่ในเรือนขอรับ”
“แม่น้ำหรือ อยู่ที่ไหน”
“เดินไปตรงทางเล็ก ๆ นี่ใช้เวลาประมาณหนึ่งก้านธูปก็จะเห็นแม่น้ำแล้วขอรับ”
เฉินลี่จูจึงถือวิสาสะเดินไปพบเขาโดยไม่ต้องให้บ่าวไปแจ้ง
นางเดินนำหน้าโดยมีผู้คุ้มกันทั้งสองเดินตามห่าง ๆ กระทั่งรู้สึกว่ามีเหงื่อซึมที่หน้าผากเล็กน้อยก็มาถึงแม่น้ำสายเล็กสายหนึ่ง
นางพบบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีขาวสะอาด กำลังนั่งแต่งแต้มกระดาษเปล่าจนเกิดเป็นภาพวาดทิวทัศน์งดงามเสมือนจริงยิ่งนัก
นางเดินเข้าไปใกล้เขามากยิ่งขึ้น กระแอมให้เขารู้ตัวแล้วยอบกายคารวะอย่างนอบน้อม
พื้นฐานเดิมของคุณชายผู้นี้ดีไม่ใช่น้อยเขามาจากมณฑลจิ่วโจวที่อยู่แดนเหนือ
บิดาเป็นตระกูลบัณฑิตที่เปิดสำนักศึกษาเป็นของตนเอง กล่าวกันว่าบิดาของเขาคือราชครูแห่งยุคที่ฝ่าบาทหลายแคว้นให้ความนับถือ
ส่วนมารดาก็เป็นบุตรสาวของขุนนางผู้หนึ่งฐานะทางบ้านของทั้งบิดามารดานั้นนับว่าเป็นเศรษฐีมาหลายชั่วอายุคน
ทว่าเขากลับไม่ชื่นชอบการสอนหนังสือ สิ่งที่เขาชอบก็คือการคิดลวดลายเครื่องประดับฝึกฝนฝีมือกับปรมาจารย์ด้านการคิดลวดลายมาตั้งแต่ยังเยาว์
บัดนี้อาจารย์ของเขาได้จากไปแล้วป๋อไฉจึงเป็นมือหนึ่งในใต้หล้า ด้วยพื้นฐานของทางบ้านที่ไม่ธรรมดาเขาจึงทั้งเย่อหยิ่งและถือตนเงินทองไม่อาจซื้อใจให้เขาร่วมงานได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับป๋อไฉก็คือ คน หากคนผู้นั้นถูกใจเขาต่อให้ไม่มีเงินจ่ายเขาก็ยินดีช่วยเหลือ
ชื่อเสียงของเขาย่อมเป็นที่กล่าวขาน กระทั่งเข้าหูของเหวินเฟยเทียน หลายเดือนก่อนเหวินเฟยเทียนถึงกับยอมไปพบเขาด้วยตนเอง
คนสองคนมิได้สนทนาเรื่องผลประโยชน์การตอบแทน เหวินเฟยเทียนเมื่อไปพบเขาก็เพียงถามไถ่ดนตรี กับเขาเท่านั้น
ป๋อไฉมีชื่อเสียงด้านการเปล่าขลุ่ย ในขณะที่เหวินเฟยเทียนชอบเล่นฉินนี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนมาพบเขาแล้วมิได้พูดคุยถึงเรื่องการติดต่อค้าขาย
ป๋อไฉยามนั้นรู้สึกประหลาดใจและคิดว่าเหวินเฟยเทียนผู้นี้ช่างฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่งเขาจึงรับคำขอของเหวินเฟยเทียน
แรกเริ่มเดิมทีคนทั้งสองคงคิดจะเล่นดนตรีตอบโต้กันเพียงแค่ไม่กี่บทเพลงเท่านั้น ทว่าจากเมื่อเริ่มบรรเลงบทเพลงแรกในยามสายของวันนั้นคนทั้งสองก็ไม่อาจหยุดประชันกันได้
เนิ่นนานกระทั่งพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงสู่พื้นดินพวกเขาก็ยังไม่วางมือ
เสียงเล่าลือกล่าวขานดังไปทั่ว ว่าคุณชายรูปงามดุจเทพเซียนทั้งสองประลองดนตรีกันที่หอหลงหยาอันเป็นหอสูงของมณฑลจิ่วโจวอยู่หลายชั่วยามโดยไม่กินไม่ดื่ม
ยามนั้นไม่ได้รู้ผลแพ้ชนะนอกจากเสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหูประดุจเสียงเพลงพิณจากสวรรค์ที่ดังก้องไปทั่วแผ่นดิน และหลังจากวันนั้นเหวินเฟยเทียนก็เดินทางกลับมาที่เมืองหลวงอีกหนึ่งเดือนให้หลังก็พบว่าป๋อไฉได้ตอบรับคำเชิญของเขาและติดตามมาที่เมืองหลวงแล้ว
เรื่องราวระหว่างป๋อไฉและเหวินเฟยเทียนบัดนี้จึงกลายเป็นเรื่องเล่าขานและยังมีหลายคนนำมาดัดแปลงเป็นนิทานพื้นบ้านได้อย่างน่าตกใจ
เพราะคนเล่านิทานได้แต่งเติมเพิ่มความรักลึกซึ้งของทั้งสองคนเข้าไปในนิทานเรื่องนั้นได้อย่างลงตัว ที่ตกใจก็เพราะแทนที่จะแต่งให้เป็นนิยายรักชายหญิง กลับกลายเป็นนิยายรักชายชายซึ่งได้ข่าวว่าขายดีจนคัดลอกไม่ทัน
ป๋อไฉหันหน้ามามองนางมือของเขายังถือพู่กันค้าง สองคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าของเขาขาวราวกับทาแป้ง ริมฝีปากสีแดงสด โครงหน้าอ่อนหวานค่อนข้างงามคล้ายใบหน้าของสตรี รูปร่างสูงโปร่งไหล่หลังยืดตรง
ด้วยรูปร่างหน้าตาดั่งเซียนนี้ช่างเข้ากันกับอาภรณ์ชุดขาวปักลวดลายวิหคเหินด้วยไหมเงินไหมทองเป็นอย่างยิ่ง
ป๋อไฉเพ่งพินิจมองนางอย่างตะลึงพรึงเพริด ทั้งยังรู้สึกว่าวิญญาณของตนเองแทบจะหลุดจากร่างถึงกับต้องยืนนิ่งมองนางร่างกายแข็งค้างโดยไม่อาจถอนสายตาได้
ทว่าอาการนั้นก็บังเกิดกับเขาเพียงชั่วครู่ แววตาคู่นั้นจึงกลับมาเป็นปกติก่อนจะหันไปวาดภาพต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ข้าไม่รับแขก เชิญแม่นางกลับไปเถิด”
เฉินลี่จูรู้มาว่า ด้วยรูปโฉมเหนือบุรุษอื่นของเขา จึงมีคุณหนูมากมายที่มักมารบกวนที่นี่เป็นประจำ เขาคงคิดว่านางคือหนึ่งในคุณหนูที่คิดมาตามตื๊อเขาเป็นแน่
เฉินลี่จูยิ้มเล็กน้อย สุ้มเสียงหวานใสดึงให้คนฟังสนใจได้อย่างง่ายดาย
“ข้าน้อยคือ เฉินลี่จูผู้ช่วยการค้าของหอเฟยเทยเทียน วันนี้ตั้งใจจะมาแนะนำตนเองกับคุณชาย และหวังจะดื่มชากับท่านสักจอก แต่ลี่จูเสียมารยาทแล้วที่ไม่ได้ให้คนมาแจ้งก่อน ในเมื่อท่านไม่สะดวกเช่นนั้นลี่จูก็ขอลาเจ้าค่ะ”
มือเรียวขาวของเขาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามามองนางอีกคราหนึ่ง
“ช้าก่อน แม่นางคือคุณหนูเฉินลี่จู ผู้ช่วยการค้าของคุณชายเหวินหรอกหรือ”