บทที่ 8 คนเก่ง
ตกเย็นมารถม้าของหอเฟยเทียนก็กลับถึงเมืองหลวง วันนี้ที่จวนของท่านมหาเสนาบดีคลังมีการจัดงานเลี้ยงวันเกิด เป็นธรรมเนียมที่พ่อค้าจำนวนมากมายจะมาร่วมอวยพรพร้อมของกำนัลมากมาย
นอกจากของกำนัลชิ้นใหญ่ที่หอการค้าเฟยเทียนเตรียมไว้ให้ท่านเสนาบดีคลังแล้ว เฉินลี่จูก็ยังได้เตรียมของกำนัลบางอย่างเอาไว้ให้ฮูหยินท่านมหาเสนาอย่างลับ ๆ
ความจริงแล้วผู้มีอำนาจตัดสินใจเรื่องการคลังในราชสำนักที่แท้จริงคือฝ่าบาท หลังจากที่มหาเสนาบดีคลังพิจารณาและชี้แนะแล้วพระองค์จะตัดสินใจเด็ดขาดอีกคราหนึ่งว่าจะจัดสรรงบประมาณอย่างไรในแต่ละครั้ง
ทว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ว่ามหาเสนาบดีคลังจะชี้แนะเช่นไร ฝ่าบาทก็ตัดสินใจจัดสรรงบประมาณคลังหลวงไปเช่นนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
ดังนั้นเสนาบดีฝ่ายต่าง ๆ พร้อมทั้งข้าราชสำนัก จึงทยอยมาร่วมงานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อหวังผลประโยชน์
คนที่อยู่ข้างการเสนาบดีคลังตลอดเวลา คือคนสำคัญที่เขาไว้ใจที่สุดนั่นก็คือเจ้ากรมการค้า นามว่าซุนตัน
เหวินเฟยเทียนมาร่วมงานพร้อมกับเฉินลี่จู ในจวนของมหาเสนาบดีคลังแห่งนี้มีความใหญ่โตโอ่โถงตามแบบฉบับของจวนมหาเสนาบดีคนสำคัญของแคว้นซึ่งสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นมากกว่าร้อยปี
เรือนในจวนมหาเสนาบดีคลังล้วนแบ่งแยกด้วยกำแพงหนาที่วาดลวดลายดอกไห่ถังบ้างสีขาว บ้างสีแดง หรือไม่ก็ชมพู ซึ่งแตกต่างจากจวนทั่วไปซึ่งนิยมทาเป็นสีขาวหรือไม่ก็เต็มไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมันรูปทิวทัศน์
เหวินเฟยเทียนกล่าวเบา ๆ
“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าบนกำแพงล้วนเต็มไปด้วยภาพวาดดอกไห่ถัง”
“เจ้าค่ะ สวยงามแปลกตายิ่งนัก ประดุจมีสวนไห่ถังบานสะพรั่งทุกฤดู ข้าไม่เคยเห็นว่าจะมีจวนใดนิยมวาดดอกไห่ถังเช่นนี้”
“นั่นเพราะฮูหยินของท่านมหาเสนาบดีผู้นี้ชอบดอกไห่ถังมากเขาจึงได้ตามใจฮูหยินของตนเอง แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหมายความว่าอย่างไร”
เฉินลี่จูพยักหน้า
“ท่านให้ข้าเข้าหาฮูหยินผู้นั้น และทำให้นางชื่นชมให้ได้จากนั้นค่อยหาประโยชน์จากฮูหยิน”
“ใช่ ความประทับครั้งแรกสำคัญที่สุด จะทำให้คนผู้หนึ่งเปิดใจยอมรับเราโดยง่าย หลังจากนั้นทำให้นางไว้ใจ เมื่อไว้ใจแล้วคำพูดของเจ้าจะสำคัญขึ้นทันที คนผู้นั้นจะยอมเชื่อและทำตามได้อย่างสนิทใจ ยิ่งเจ้าสำคัญมากเท่าใดคำพูดของคนอื่นไม่ว่าจะรู้จักมาเนิ่นนานหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”
เขาสั่งสอนนางเบา ๆ
“เช่นนั้นข้าจะทำให้นางประทับใจได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ฮูหยินผู้นั้นฐานะเดิมคือท่านหญิงหลินซึ่งเป็นหลานสาวของฝ่าบาทและเป็นคนที่ไทเฮาทรงรักมากด้วยเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่แบเบาะ นางเติบโตในวังตลอดชีวิตล้วนได้รับเพียงคำยกยอปอปั้นไม่จริงใจ เจ้าคิดว่าหากเป็นเจ้าจะคิดเช่นไรเล่า ”
“คงเบื่อหน่ายคนรอบข้างมากเจ้าค่ะ ข้าไม่สามารถหาความจริงจากคนรอบข้างได้เลย”
“ใช่เช่นนั้นก็ใช้ความฉลาดของเจ้าแสดงความจริงใจให้นางได้รู้ หากทำให้ฮูหยินผู้นี้พึงใจได้ ไม่ว่าจะท่านมหาเสนาบดีคลังหรือวังหลังก็อยู่ในกำมือของพวกเราแล้ว”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ จะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง”
เขาพึงพอใจที่เฉินลี่จูรู้ใจเขายิ่งนัก เขาเป็นคนไม่ชอบอธิบายความมาก มีเพียงเฉินลี่จู่ที่แค่มองตาก็เข้าใจความคิดของเขาแล้ว
เขาพานางเดินมาจนถึงโถงด้านหน้าที่ใหญ่โตโอ่อ่าเบื้องหน้ามีผู้คนคลาคล่ำ
ด้วยรูปร่างสูงสง่างามอันหาใครเปรียบได้ของเหวินเฟยเทียนและความงามล่มเมืองของเฉินลี่จูจึงทำให้มีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่พวกเขาในอาการที่ตกตะลึง
เพราะเหวินเฟยเทียนเป็นบุรุษร่างสูงจึงทำให้เฉินลี่จูยิ่งดูตัวเล็กลงเมื่อเคียงข้างกับเขา ความสูงของนางแม้จะใส่รองเท้าเสริมส้นแล้วก็ยังสูงเพียงไหล่ของเขาเท่านั้น
ซึ่งนับว่าเป็นความสูงต่ำของชายหญิงที่ชวนให้รู้สึกว่าเหมาะสมและดูน่าเอ็นดู บุรุษแข็งแกร่งพร้อมที่จะปกป้องคนงามที่อ่อนแอ
เหวินเฟยเทียนหันมามองนางอ่อนโยนแล้วยิ้มหล่อเหลา เขาโค้งตัวอย่างสง่างามมาเอ่ยกับนางที่ริมหู
“ได้เวลาแสดงงิ้วแล้ว”
เฉินลี่จู่พยักหน้ารับโปรยยิ้มงดงามให้เขา
“นายท่าน ตรงนี้ไม่เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
นางช่วยจัดสาบเสื้อคลุมสีขาวของเขาให้เรียบร้อยไร้รอยยับย่น
นิ้วเรียวขาวลูบไปบนสาบเสื้อคลุมบริเวณแผ่นหน้าอก ลูบลงมาเป็นทางยาวหยุดลงที่ตรงหน้าท้องแข็งแกร่ง ท่าทางอ่อนโยนประดุจภรรยาที่ดูแลสามีเป็นอย่างดี
คนทั้งสองอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวสลับกับเสื้อตัวในสีแดง มองเผิน ๆ คล้ายกับชุดของคู่วิวาห์อยู่ไม่น้อย
บุรุษหล่อเหลากับสาวงามล้วนมีแต่คนชื่นชม แม้ว่าเหวินเฟยเทียนจะอายุล่วงเลยมาถึงยี่สิบห้าปีแล้วบัดนี้เขาก็ยังไม่แต่งงานและไม่มีอนุในคฤหาสน์แม้แต่คนเดียว
หลายคนจึงมองว่าเพราะเขามีใจให้เฉินลี่จูอย่างลึกซึ้งจึงไม่คิดรับใครอื่นเข้ามาอีก เพียงแต่ก็ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจเช่นกันว่าไยคนทั้งสองจึงยังไม่แต่งงานกัน ทั้ง ๆ ที่เฉินลี่จูบัดนี้ก็มีอายุสิบเก้าปีแล้ว
เบื้องหน้าผู้คนต่างชื่นชมเหวินเทียนเฟยว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามเชี่ยวชาญด้านการค้า มาอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงไม่ถึงสิบปีก็สร้างชื่อเสียงให้หอการค้าเฟยเทียนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการค้าด้วยความเก่งกล้าสามารถเกินตัว
ทว่าเบื้องหลังผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่า เขาคือจิ้งจอกตัวหนึ่ง ที่เห็นแก่ตัวและพร้อมจะบดขยี้คู่แข่งโดยไร้ปรานี
หลายปีมานี้เขายึดที่ดินและขับไล่คนที่ผิดสัญญาการค้าไปมากน้อยเพียงใดแล้วไม่อาจนับได้
กระทั่งกับเฉินลี่จูสตรีที่เคียงข้างและเป็นผู้ช่วยเขานั้น เหวินเฟยเทียนก็ยังไม่คิดยกย่องให้เป็นภรรยา
นั่นเพราะได้ข่าวว่าฐานะที่แท้จริงของนางก็คือทาสผู้หนึ่งที่หอเฟยเทียนเลี้ยงดูเอาไว้ สตรีที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาจะให้เป็นนายหญิงของคฤหาสน์ได้อย่างไร
คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่เช่นเหวินเฟยเทียน จึงได้แต่ป้อนคำหวานหลอกใช้ความรักของนางโดยไม่คิดยกย่องก็เท่านั้น
คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือเฉินลี่จูแล้ว
แต่เหล่าสตรีกลับไม่คิดเช่นนั้น พวกนางล้วนคิดว่าเพราะเหวินเฟยเทียนมีความรักลึกซึ้งกับเฉินลี่จู
ก่อนที่จะถูกยกฐานะให้เป็นผู้ช่วยการค้าของเขานางก็เคยอยู่ในชนชั้นทาสมาก่อนผู้ใดก็รู้ดี
หากเหวินเฟยเทียนรับนางเป็นฮูหยินก็คงถูกบิดามารดาโต้แย้ง เพื่อไม่ให้บิดามารดาขุ่นเคืองคงคิดจะให้เฉินลี่จูตั้งครรภ์เสียก่อนค่อยแต่งตั้งนางภายหลัง
สตรีเหล่านั้นคิดว่าตนเองมองออกได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าผู้ใด ดูจากสายตาของเหวินเฟยเทียนที่มองเฉินลี่จูก็ยิ่งประจักษ์ชัดว่าพวกนางคิดถูก
จะมีบุรุษใดบ้างเล่าที่ร่ำรวยยังสง่าและหล่อเหลาเพียบพร้อมเพียงนั้นแต่กลับไม่มีอนุหรือสตรีอื่นในคฤหาสน์นอกจากเฉินลี่จู
ในสายตาของสตรีด้วยกันเฉินลี่จูนั้นน่าอิจฉายิ่ง นอกจากความงามของนางแล้วอาจจะมีความลับบางสิ่งซ่อนอยู่ที่ทำให้บุรุษหลงใหลได้เพียงนั้น
สองคนเคียงคู่กันเดินเข้าไปในโถงรับรองที่ตกแต่งอย่างวิจิตรหรูหรา กลิ่นกำยานหอมกรุ่นลอยฟุ้งในอากาศ ผู้คนแต่งกายงดงามประดับเครื่องประดับล้ำค่าเพื่อแข่งขัน
ด้านหลังพวกเขาต่างมีบ่าวที่แต่งกายด้วยชุดบ่าวประจำจวนถือกล่องของกำนัลกล่องใหญ่อยู่เบื้องหลัง ดูละลานตา
ท่านมหาเสนาบดีคลังกำชับทุกคนว่าไม่อยากให้ผู้ที่มาร่วมงานสิ้นเปลืองจึงขอรับของขวัญจากจวนต่าง ๆ เพียงจวนละหนึ่งชิ้นเท่านั้น
แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ทุกจวนจึงล้วนคัดสรรของกำนัลที่ดีที่สุดเพื่อมอบให้ท่านมหาเสนาบดีคลัง
แม้ว่าหอการค้าเฟยเทียนจะเป็นหอการค้าที่ขยายอิทธิพลขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วในหลายปีนี้ ทว่าก็ยังมีหอการค้าที่เป็นคู่ค้ากับราชสำนักอีกมากมายแต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ หอการค้า หลาน หลง เฮย ปัน หยี ห้าหอการค้าผู้ทรงอิทธิพลที่นับเป็นผู้ส่งสินค้าเข้าราชสำนักเป็นหลักในแต่ละปี
ดังนั้นเมื่อเฉินลี่จูแจ้งชื่อหอการค้าของเฟยเทียนให้กับพ่อบ้านของจวนนางจึงได้ป้ายรายชื่อเข้ามอบของกำนัลในลำดับที่เก้า
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
นางหันมามองเหวินเฟยเทียน เขาเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย บ่าวรับใช้พาพวกเขาไปนั่งประจำที่ร่วมกับแขกในงานคนอื่น
นางนั่งเยื้องไปด้านหลังนายท่านของนางเล็กน้อย เหวินเฟยเทียนนั่งขัดสมาธิตัวตรงอยู่เบื้องหน้าทว่ายังเอ่ยเสียงเบา
“ลำดับที่เก้านับว่าไม่เลว ปีที่แล้วพวกเราอยู่อันดับสิบเก้ามิใช่หรือ ปีนี้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับเก้า ไม่แน่ว่าปีหน้าเราอาจจะเป็นหนึ่งในห้าของหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดก็ได้”
“คงเป็นเพราะกล้องส่องดูดาวที่พวกเราสามารถนำส่งเข้าวังในคราก่อนทั้งกระจกใสจากฝั่งตะวันตก และยังได้รับพระเมตตาจากไทเฮาให้เข้าเฝ้า จึงทำให้อันดับขยับขึ้นมาเร็วเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“สินค้าเหล่านี้เป็นของที่ห้าหอการค้าใหญ่มองข้ามเพราะไม่ได้ทำกำไรมากมาย พวกเราจึงมีโอกาสแทรกตัวเข้าไป แต่คนพวกนั้นหารู้ไม่ว่า ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนใดเรื่องภายในบ้านล้วนเป็นสตรีที่คอยจัดการ คนที่ยืนคุยกันจะมีความสำคัญมากกว่าคนที่นอนคุยกันได้อย่างไร ”
เพราะเหวินเฟยเทียนเข้าใจในหลักการเช่นนี้ ผู้ช่วยการค้าของเขาซึ่งเป็นสตรีที่เก่งกาจเช่นเฉินลี่จูจึงช่วยให้หอการค้าของเขาแผ่อิทธิพลได้อย่างรวดเร็ว
เขาเอนกายมาด้านหลังเล็กน้อย เอ่ยกับนางต่อว่า
“เรื่องไทเฮานับเป็นความชอบของเจ้า ข้ายังติดค้างรางวัลนี้ หากวันนี้เจ้าทำได้ดีข้าจะเพิ่มให้อีกมากกว่าเท่าตัว”
นอกจากนางจะเป็นสตรีอุ่นเตียงให้เขา ดูแลในฐานะบ่าวรับใช้ ในอีกฐานะหนึ่งก็คือผู้ร่วมงานที่ได้รับเงินเดือนจากเขาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
เฉินลี่จูทำงานให้เขาด้วยใจและความรัก แต่เหวินเฟยเทียนกลับวางระยะห่างจากนางเสมอ
ถึงจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในบางครั้งแต่นางก็ไม่เคยปริปากบ่นออกมา เพราะสำหรับนางแล้วขอเพียงมีเขาอยู่ข้างกายเช่นนี้ก็ดีแล้ว