บทที่ 7 ยังมีประโยชน์
ยามที่นางลืมตาตื่นก็ได้ยินเสียงของนกน้อยส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วในยามเช้าพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออก พบว่าบัดนี้ตัวเองยังนอนอยู่ที่เดิม
เฉินลี่จูจามออกมาทั้งรู้สึกคัดจมูก หายใจติดขัด จากนั้นก็ไอออกมา ริมฝีปากของนางแห้งผากและอาภรณ์ก็เย็นชื้น แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือในอ้อมกอดของนางยังมีเตาอุ่นที่ไม่รู้ว่ามีคนเอามาให้ตั้งแต่เมื่อใด
นางได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับเสียงเปิดประตู เป็นเหวินเฟยเทียนเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะหยุดมองร่างเล็กที่ยังนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับเอ่ยปากตำหนิ
“หนอนขี้เกียจเช่นเจ้ายังไม่รีบมาปรนนิบัติข้าอีก”
เขาพูดจบก็เดินหันหลังกลับเข้าห้องไป ในยามนั้นเฉินลี่จูเห็นเพียงเท้าคู่ใหญ่ที่สวมเพียงถุงเท้าเท่านั้น
นางขยับกายช้า ๆ บัดนี้รับรู้ถึงอาการชาที่ร่างกายส่วนบนลามมาถึงแขน คงเป็นเพราะนางนอนอยู่ในท่าคู้กายมาทั้งคืนจึงทำให้เป็นเช่นนี้
ไม่รู้ว่าตนเองหลับไปตั้งแต่เมื่อใดกระทั่งตื่นขึ้นมา
นางที่หลับสนิทเช่นนี้คงเพราะกินยานั่นเข้าไปสินะ
เฉินลี่จูรู้สึกว่าอาการปวดท้องทุเลาลงมาก แต่นางกลับมีอาการอ่อนเพลียปวดตามเนื้อตัว จนไม่อยากลืมตาขึ้น แต่นางไม่มีเวลาที่จะอ่อนแอมิเช่นนั้นคงได้ถูกเขาตำหนิและถูกโกรธเคืองอีกครั้ง
นางยันกายลุกขึ้น ตั้งสติแล้วระบายลมหายใจยาว ๆ ออกมาแล้วจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อย
มือเรียวผลักประตูให้เปิดออก รู้สึกปวดที่ขากระนั้นก็ยังลากเท้าเดินเข้าไปหาเขาแล้วเอ่ยว่า
“ท่านรอข้าสักครู่ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปเตรียมน้ำอุ่นเจ้าค่ะ”
ดูเหมือนว่าเรื่องของเมื่อวานนี้เขาคงไม่อยากให้นางเอ่ยถึงอีก
หลายครั้งที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะโกรธนางด้วยเรื่องอันใด หลังจากที่ลงโทษนางแล้ว ก็ต้องทำเป็นเหมือนกับว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น
ถึงหลายครั้งจะคับข้องหมองใจ แต่นางก็ไม่เคยเอ่ยปากและแสร้งที่จะลืมมันไปเสีย
นั่นเพราะนางรักเขามาก และคิดว่าที่เป็นเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว ขอเพียงมีเขาอยู่ข้างกายนางเช่นนี้
นางคิดถึงเสี่ยวเฉียน เสี่ยวเฉียนก็โผล่มาพร้อมด้วยบ่าวอีกสองคนที่ยกน้ำอุ่นถังใหญ่ตามเข้ามา บ่าวยกถังน้ำใหญ่ไปไว้หลังฉากกั้นอาบน้ำ
เสี่ยวเฉียนได้สัมผัสมือของคุณหนู พบว่ามือของนางเย็นเยียบทั้งสีหน้าก็ซีดเซียวอยากจะเอ่ยปากถาม แต่กลับถูกคุณหนูไล่ด้วยสายตา คล้ายจะเอ่ยว่า
‘อย่าก่อเรื่องให้ข้าพบความลำบากอีก’
เสี่ยวเฉียนเม้มปาก หากมีตาก็เห็นว่าคุณหนูกำลังไม่สบาย ทว่าคุณชายกลับไม่ใส่ใจยังให้คุณหนูปรนนิบัติตนเองอย่างไร้น้ำใจ
แต่นางก็เป็นเพียงบ่าวตัวเล็ก ๆ จึงไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก ได้แต่เอ่ยเรื่องอื่น
“อาหารเช้าให้นำมาที่นี่หรือว่าคุณชายจะไปรับประทานที่โรงเตี๊ยมเจ้าคะ”
แน่นอนคนที่ตอบก็คือเฉินลี่จู
“เตรียมที่นี่ ประเดี๋ยวข้าจะเรียก”
“เจ้าค่ะ”
เขาเหลือบตามองสตรีที่แม้จะเพิ่งตื่นนอน แต่ใบหน้ายังขาวผ่องงามพริ้ม ผมของนางยุ่งเล็กน้อยทว่ากลับยิ่งขับเน้นใบหน้าให้งดงาม
ดวงตาของเขาพลันอ่อนแสงลง เส้นตึงบนใบหน้าคลายลงทันใด
อย่างไรเฉินลี่จูก็คือคนที่รู้ใจเขาที่สุด
หากเขาอารมณ์ดีก็จะไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมเพื่อดูแขกที่มาพัก แต่วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีจึงไม่อยากพบคนมากให้วุ่นวาย
นางปรนนิบัติเขาอาบน้ำถูตัวจนสะอาดแต่งตัวให้เขาทั้งเกล้าผมอย่างชำนาญ
กว่านางจะปรนนิบัติเขาเสร็จก็รู้สึกว่าเวลาช่างยาวนานเหลือเกิน คงเพราะนางยังอ่อนเพลียมากมือเล็กจึงสั่นระริก นางกำมือของตนเองไว้ไม่อยากให้เขารู้เกรงว่าจะโดนวาจาเหยียดหยันหาว่านางสำออยอ่อนแอ
“นายท่าน ลี่จูขอล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ชั่วครู่นะเจ้าคะ จากนั้นจะให้ยกสำรับเข้ามา”
เขายังคงเงียบขรึมและไม่ยอมพูดกับนางแม้แต่คำเดียว เป็นเฉินลี่จูที่ต้องคอยเอาใจ
นางใช้น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานในเวลาที่เอ่ยปาก สังเกตุสีหน้าเขาเมื่อเห็นว่ามิได้เคร่งขรึมดังเดิมจึงลอบถอนหายใจยาว
เขาไม่ได้ตอบ แต่นางรู้ว่าเขาเข้าใจแล้ว
เพราะไม่มีเวลามากมายนัก นางไม่ได้พิถีพิถันในการอาบน้ำ นางรีบเดินไปหลังฉากกั้นถอดอาภรณ์ออกพาดไว้ที่ราวไม้แล้วรีบลงไปในอ่าง แช่ตัวล้างหน้าถูฟันอย่างรวดเร็ว
หลังอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ถึงนางจะนอนข้างนอกทั้งคืนแต่เพราะเสื้อคลุมที่เสี่ยวเฉียนนำมาให้ทำให้นางสามารถเอาชีวิตรอดผ่านพ้นมาได้
นางสั่งให้เสี่ยวเฉียนยกอาหารเข้ามา อาหารบนโต๊ะมีรสอ่อนครึ่งหนึ่งรสเผ็ดครึ่งหนึ่งเป็นเพราะว่าเสี่ยวเฉียนรู้ว่านางปวดท้อง
เสี่ยวเฉียนจงใจเอ่ยขึ้นให้เหวินเฟยเทียนได้ยิน จะได้รู้ว่าเฉินลี่จูกำลังป่วยและเมตตานายหญิงของตนบ้าง
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านยังคงปวดท้องอยู่ บ่าวจึงจัดอาหารรสอ่อนให้ท่านเจ้าค่ะ”
เฉินลี่จูยิ้มให้สาวใช้ มองเสี่ยวเฉียนด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ขอบใจเจ้ามาก”
ทว่าความหวังดีของเสี่ยวเฉียนกลับทำให้เหวินเฟยเทียนโกรธขึ้นมาอีก
“พวกเจ้าไสหัวออกไปให้หมด”
เสี่ยวเฉียนและบ่าวที่มาคอยรับใช้อีกสองคนมองหน้ากันอย่างอึกอัก ก่อนที่จะค้อมกายแล้วหมุนตัวออกไป
ภายในห้องเงียบกริบเหลือเพียงเฉินลี่จูและเหวินเฟยเทียนเพียงลำพัง
เฉินลี่จูชำเลืองมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยไอเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งของเขา เขามองนางด้วยสายตาเย็นชา
“นิสัยทำสิ่งใดไม่รู้จักประมาณตนของเจ้าข้าเห็นแล้วหงุดหงิดยิ่ง”
นางย่อมเข้าใจว่าเขาหมายถึงว่าเพราะนางทำตนเองจึงทำให้เกิดอาการปวดท้องเช่นนี้ ไม่ได้น่าสงสารแม้แต่น้อย
“นายท่าน เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ ข้ารู้ตัวแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะระวังให้ดี”
อารมณ์ขุ่นเคืองยังแสดงออกทางวาจาที่เย็นเยียบ
“งานของข้าที่มอบให้เจ้ามีค่านับล้านตำลึงมากกว่าชีวิตของเจ้าเสียอีก จงอย่าลืมเสีย”
หัวไหล่ของนางสั่นไหว ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ
“ลี่จูไม่เคยลืมเจ้าค่ะ”
เหวินเฟยเทียนปรายตามองนางเล็กน้อย
“กินข้าวของเจ้าเสีย และยาแก้ปวดท้องนั่นก็อย่าลืมกิน อย่าทำให้งานของข้าเสีย เย็นนี้เจ้ายังต้องตามข้าไปที่จวนเสนาบดีคลัง”
“เจ้าค่ะ”
นางเบือนหน้าหนียกมือปาดน้ำตาที่กลิ้งหล่นลงมาที่หางตาอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อหันหน้ามาก็พบว่าบนชามข้าวของตนเองมีเนื้อปลานึ่งนุ่มนิ่มหอมกรุ่นวางอยู่บนนั้น
เขากำลังทำดีต่อนาง แม้เพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้หัวใจของนางไหวยวบ
เฉินลี่จูเม้มปาก ความรู้สึกตึงเครียดค่อย ๆ ผ่อนคลายลง นางชำเลืองมองเขาเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ
หลังจากกินข้าวเสร็จ อารมณ์ขุ่นมัวของเหวินเฟยเทียนหายไปแล้ว
เฉินลี่จูลอบสังเกตสีหน้าเขากระทั่งพบว่าเส้นตึงที่ใบหน้าคลายลงจนเป็นปกติ นางจึงกล้าเปิดปากรายงานผลการเจรจากการค้ากับหอการค้าสกุลจาง
เหวินเฟยเทียนยกมือขึ้นเป็นการห้ามปราม เอ่ยถ้อยคำหนัก ๆ ออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“หอการค้าเฟยเทียนของข้า จะไม่ร่วมมือกับสกุลจางอย่างเด็ดขาด หากพวกเขาต้องการร่วมมือ ต้องให้คุณชายใหญ่ผู้นั้นมาคุกเข่าขอร้องต่อหน้าข้า”
“นายท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“ก็หมายความตามที่พูด”
“แต่ท่านคาดหวังว่าจะได้รับสัญญาจากสกุลจางมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ทำการค้ามีได้มีเสียเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งที่ข้าจะไม่ยอมเสียก็คือศักดิ์ศรีของข้า ไยข้าต้องร่วมมือกับคนที่กล้าล่วงเกินข้าด้วยเล่า”
สายตาตำหนิคู่นั้นส่งออกมาแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของนาง หากนางยืนกรานว่าตนเองรู้สึกปวดท้องและไม่ไปดื่มสุราจนถูกคนผู้นั้นล่วงเกินเรื่องนี้ก็คงไม่เกิด
แต่ถึงจะถูกเขาตำหนิ ทว่านางกลับรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด
ที่เขาไม่ร่วมมือกับสกุลจาง นั่นเพราะหึงหวงนางใช่หรือไม่
เฉินลี่จู่อมยิ้ม ก่อนจะช้อนตามองไปที่เขา ทว่าเมื่อสบเข้ากับสายตาดุ ๆ คู่นั้นนางก็หุบยิ้มโดยพลัน