บทที่ 4 ผู้ช่วยนายท่าน
“คุณหนู คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงอันอ่อนโยนของเสี่ยวเฉียนสาวใช้ประจำตัวดังขึ้นที่ข้างหู
เฉินลี่จูลืมตานางขยับกายลุกขึ้นพบว่าภายในเรือนยังจุดตะเกียงน้ำมัน แสดงว่าฟ้ายังไม่สว่างด้วยซ้ำ
“อืม นี่ยามใดแล้ว”
“ยามเหม่า เจ้าค่ะ”
“อ๊ะ ทำไมเจ้ารีบปลุกข้าเช้าเช่นนี้”
นางขมวดคิ้วหันไปมองคนข้างกายแต่กลับพบว่าไร้เงาของเขาแล้ว
“คุณชายสั่งให้คุณหนูรีบเตรียมตัวออกไปนอกคฤหาสน์กับคุณชายเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องด่วนหรือ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
นางคิดว่าตนเองเพิ่งได้นอนไม่ถึงชั่วยาม จึงรู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนักด้วยเมื่อคืนถูกเขาเคี่ยวกรำมาค่อนคืน แต่กระนั้นก็ต้องฝืนความง่วงแล้วบังคับตนเองให้ลุกขึ้นจากเตียงอันอบอุ่น
“เช่นนั้นช่วยข้าหน่อย”
เสี่ยวเฉียนปรนนิบัติให้นางล้างหน้าถูฟัน ยังใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวให้จนสะอาด ร่องรอยบนร่างของนางทำให้เสี่ยวเฉียนไม่กล้าเช็ดแรงด้วยกลัวว่านางจะเจ็บ
แม้ว่าเสี่ยวเฉียนจะเคยชินเพราะเห็นร่องรอยเหล่านี้มาเนิ่นนานแล้ว และเฉินลี่จูก็ไม่เคยร้องบ่นว่าเจ็บเสี่ยวเฉียนก็ยังเข้าใจผิดว่าเฉินลี่จูถูกคุณชายทำร้าย
นางไม่เข้าใจว่าเฉินลี่จูทนได้อย่างไร
นางแต่งหน้าให้เฉินลี่จูอย่างประณีต แม้เสี่ยวเฉียนจะค่อนข้างโง่ในเรื่องอื่น แต่ฝีมือการแต่งหน้ากลับนับเป็นมือหนึ่ง
ใบหน้าของเฉินลี่จูประดุจบุปผา ดวงหน้าเลอโฉม ผิวพรรณขาวผ่องประดุจหยกขาวเนื้อดี ยิ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงามก็ยิ่งขับเน้นให้ชวนตกตะลึง
เฉินลี่จูมองเงาตนเองในกระจกใสแจ๋วซึ่งเป็นสินค้าชิ้นใหม่ที่หอการค้าเฟยเทียนนำเข้ามาจากแดนตะวันตกและส่งเข้าราชสำนักและขายในราคาแพงลิบลิ่วให้กับผู้มีฐานะทั่วไป
นางเห็นความงามของตนเองอย่างชัดเจนก็พึงพอใจนัก เอ่ยชมเสี่ยวเฉียนไม่หยุด
“ฝีมือของเจ้าช่างยอดเยี่ยม หากพวกเราไม่อยู่ที่นี่ข้าคงจะเปิดหอการค้าขายเครื่องสำอางให้เจ้าเป็นผู้ช่วย”
เสี่ยวเฉียนหัวเราะ
“คุณหนูอย่าเย้าข้าเลย รีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
เฉินลี่จูพยักหน้าเอ่ยว่า
“เช่นนั้นก็รีบไปเถิด อ้ะ เจ้าช่วยหยิบเสื้อคลุมของนายท่านให้ข้าหน่อย เขาออกไปเช่นนั้นคงไม่ได้สวมเสื้อคลุมไปด้วย”
“เจ้าค่ะ”
เหวินเฟยเทียนไม่ชอบให้ผู้ใดแตะต้องตัวยกเว้นเฉินลี่จู ปกติในทุกเช้านางต้องตื่นขึ้นมาปรนนิบัติ ทว่าวันนี้เพราะเขาตื่นก่อนและไม่ปลุกนาง เฉินลี่จูย่อมรู้ว่าเขาต้องลืมสิ่งใดบ้าง
เสี่ยวเฉียนเดินนำหน้าแล้วเปิดประตู ด้านนอกมีบ่าวจากโรงครัวรอนางอยู่แล้ว
“คุณหนูเชิญดื่มน้ำแกงเจ้าค่ะ”
เฉินลี่จูรับถ้วยยามาดื่มอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะดื่มยานี่แทบจะทุกวันมาถึงสี่ปีแล้วนางก็ไม่เคยชินกับความขมของมันเสียที
ถึงผู้อื่นจะเรียกว่ามันคือน้ำแกงไก่ดำตุ๋นโสม ทว่าเฉินลี่จูรู้ดีว่ามันได้ผสม ‘ยาระงับการตั้งครรภ์’ เอาไว้อย่างเข้มข้น
นางส่งคืนถ้วยยาให้สาวใช้คนนั้นก่อนจะรับเสื้อคลุมมาจากเสี่ยวเฉียน
“ไปกันเถิด”
เมื่อนางเดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ฟ้าก็สางพอดี
บุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนหันหลังรอนางอยู่ตรงนั้น เขาเป็นบุรุษร่างสูงสง่า บ่าไหล่กว้าง รูปร่างภายนอกดูคล้ายจะผอม ทว่าเฉินลี่จูรู้ดีว่าภายใต้เสื้อผ้าที่คลุมกายนั้นล้วนเต็มไปด้วยมัดกล้ามงดงามพอเหมาะ
นางชอบที่สุดก็คือการได้นอนกอดเขาที่ร่างกายอบอุ่นเหมือนเตาไฟเพื่อผ่านพ้นคืนอันหนาวเหน็บ
แม้ว่านางจะมาถึงแล้ว เขาก็ยังคงยืนทอดสายตาแน่นิ่งมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่มีแสงสีแดงอมส้มระเรื่องดงาม ราวกับมีผู้ใดเอาสีมาทาไว้
“นายท่านระวังสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ”
นางเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง เขย่งปลายเท้าเพื่อคลุมเสื้อคลุมให้เขา เขามิได้สวมเสื้อคลุมจริง ๆ แม้อากาศจะเหน็บหนาวเขาก็ไม่ได้สนใจ
นางขยับมาด้านหน้าช่วยผูกเชือกให้เขาจนเรียบร้อย เสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวเมื่อถูกคลุมลงบนร่างของสูงยิ่งทำให้เขาดูสง่างามและสูงส่งยิ่งขึ้น
ใบหน้าของเขาขาวผ่องเหมือนหยก คิ้วเฉียงคล้ายกระบี่ รูปหน้าคมชัดหล่อเหลา ทว่าดวงตากลับเฉยชาไร้ความรู้สึก
“ข้าให้เสี่ยวเฉียนไปปลุกเจ้านานแล้ว ไยจึงเพิ่งออกมาชักช้าจะเสียงาน”
เขาตำหนินางเสียงเย็น ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อย
“ลี่จูขออภัยเจ้าค่ะ”
เขาไม่สนใจนางอีกกลับก้าวขาเดินนำหน้า เหยียบบันไดเล็กที่คนขับรถม้าวางเอาไว้แล้วก้าวขาขึ้นไป เฉินลี่จูรีบเดินตามเขาอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเฉียนจับมือของนางแล้วประคองร่างคุณหนูขึ้นรถม้า
เสี่ยวเฉียนนั่งอยู่ด้านนอก อากาศยังหนาวเหน็บราวกับจะฆ่าคนตาย เสี่ยวเฉียนจึงให้สาวใช้อีกคนเตรียมเตาอุ่นให้คุณหนูของตน
“คุณหนู เตาอุ่นเจ้าค่ะ”
เฉินลี่จูรับเตาอุ่นจากเสี่ยวเฉียน มือของนางเย็นเยียบนางเป็นสตรีร่างเล็กจึงทนความหนาวไม่ค่อยได้
ซูมิ่งเป็นผู้คุ้มกันของเหวินเฟยเทียนอยู่บนหลังม้าสีดำตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างรถม้า
เขาตะโกนเสียงดังเมื่อเสี่ยวเฉียนนั่งลงด้านหน้าข้างคนขับรถม้าจนเรียบร้อย
“ออกเดินทางได้”
รถม้าเคลื่อนออกไปแล้ว เฉินลี่จูส่งเตาอุ่นให้เหวินเฟยเทียน เขายังคงมีสีหน้าราบเรียบและไม่ยอมรับเตาอุ่นจากนาง
นางขยับเข้าใกล้เขายิ่งขึ้น เอ่ยเสียงเบา
“นายท่าน อากาศหนาวยิ่งนักรับเตาอุ่นเถิดเจ้าค่ะ”
เขาไม่ยอมรับเตาอุ่นแต่กลับดึงร่างของนางไปกอดเอาไว้ ห่อทับร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกที
หัวใจของเฉินลี่จูอุ่นวาบ นางอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า
“เช่นนั้นข้ารินน้ำชาให้นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง”
นางไม่ได้ถามว่าเขาจะพานางไปที่ใด สังเกตได้จากรถม้าคิดว่าคงเดินทางไปเมืองท่าเรือซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองหลวงใช้เวลาครึ่งวันก็เดินทางถึงแล้ว
คงมีการตกลงการค้ากับผู้ใดที่นั่นอย่างแน่นอน
นางเผลอหลับไปเมื่อใดไม่รู้ เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนตื่นขึ้นมาอีกคราก็พบว่านางนอนอยู่เพียงลำพังในรถม้าโดยมีเสื้อคลุมของเขาห่มให้นางอีกที
และคนที่อยู่ข้างกายนางบัดนี้ก็คือเสี่ยวเฉียน
“นายท่านเล่า”
“คุณชายออกไปพบคนผู้หนึ่งเจ้าค่ะ บอกให้คุณหนูไปพบคนผู้นี้ในยามอู่ ตามนี้เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฉียนส่งกระดาษที่มีรายละเอียดงานและรูปวาดคนผู้หนึ่งให้นาง
“หอการค้าสกุลจางหรือ”
“เจ้าค่ะ อีกครึ่งชั่วยามจะถึงยามอู่แล้ว บ่าวกำลังจะปลุกคุณหนูพอดี คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไม่ได้นอนเช่นนี้มาสองสามวันแล้วนะเจ้าคะ”
“ข้าได้งีบไปแล้วไม่ต้องห่วง”
หลายวันมานี้ไม่รู้ว่าเหวินเฟยเทียนเป็นอะไร เขาจึงเคี่ยวกรำนางไม่หยุด ยามเช้ามามีเพียงเขาที่ดูสดชื่น ทว่านางรู้สึกว่าตนเองแทบจะทนรับไม่ไหวแล้ว
วันนี้จึงเผลอหลับไปตลอดการเดินทาง
“เช่นนั้นข้าช่วยเช็ดหน้าให้ท่านแล้วแต่งหน้าใหม่อีกครานะเจ้าคะ”
“อืม”
เมื่อใกล้ยามอู่เฉินลี่จูก็ออกมาจากรถม้า นางรู้สึกหิวมากเพราะเมื่อเช้าไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากน้ำชาถ้วยหนึ่งที่เสี่ยวเฉียนเตรียมไว้ให้เมื่อเช้า
การพบปะกันกับคนของหอการค้าสกุลจาง ก็คือภัตตาคารหลี่หลงอันขึ้นชื่อ
คนที่นัดหมายกับนางก็คือคุณชายใหญ่สกุลจางผู้ที่จะมาเป็นคู่ค้ารายใหม่ของหอการค้าเฟยเทียน
เส้นทางการค้าของสกุลจางเดิมทีจะอยู่แถบแดนใต้ ทว่าเขาต้องการหาทางส่งสินค้ามาขายที่นี่ จึงคิดหาคู่ค้าที่เหมาะสม ที่ไม่ขูดรีดส่วนแบ่งจากเขามากเกินไป
หนึ่งในคู่เจรจาการค้าครานี้ก็คือหอการค้าเฟยเทียน
และสินค้าของเขาก็คือหยกและทับทิม
เสี่ยวเฉียนเดินนำหน้าเฉินลี่จูเข้าไปในภัตตาคารโดยมีผู้คุ้มกันสองคนติดตามมาด้วยเพื่อคุ้มครอง
เสี่ยวเฉียนแจ้งกับเสี่ยวเอ้อที่ออกมาต้อนรับว่าตนเองมาจากหอการค้าเฟยเทียน เสี่ยวเอ้อจึงนำทางมายังห้องพิเศษห้องใหญ่ซึ่งอยู่บนชั้นสอง
เมื่อเปิดประตูเข้ามานางพบว่ามีบุรุษอยู่ในห้องทั้งหมดสี่คน สามคนยืนอยู่ด้านหลังอีกหนึ่งคนที่สวมอาภรณ์ผ้าไหมสีเขียวตระการตากำลังนั่งจิบสุราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
บุรุษผู้นั้นมีรูปโฉมไม่ธรรมดา ใบหน้าขาวผ่องริมฝีปากแดงระเรื่อ ท่าทางของเขานั้นก็ไม่แตกต่างจากคุณชายหน้าขาวทั่วไปที่นางเคยเจรจาการค้าด้วย
ทว่าสายตาคู่นั้นเมื่อมองมายังนางเห็นได้ชัดว่าตื่นตะลึง หลังจากนั้นก็กลายเป็นกรุ้มกริ่มทันใด
นางย่อมรู้ว่านี่คือสาเหตุที่เหวินเฟยเทียนมอบหมายหน้าที่นี้ให้นาง
“ข้าน้อยเฉินลี่จู ผู้แทนการค้าหอเฟยเทียนคารวะคุณชายใหญ่จางเจ้าค่ะ”
คุณชายจางยังพูดไม่ออก เมื่อเห็นสตรีเลอโฉมดั่งหยกยืนอยู่เบื้องหน้า
นางผู้นี้มีใบหน้าเฉิดฉาย งดงามสง่าใดเปรียบทั้งยังกิริยามารยาทก็แช่มช้อยยิ่งนัก
ที่เขาได้ยินมานั้นไม่ผิดไปเลยแม้แต่น้อย ตัวแทนการค้าของหอการค้าเฟยเทียนเป็นสตรีมากความสามารถทั้งยังงามล่มเมือง