บทย่อ
“พี่ธิชาก็ออกจะน่ารัก ทำไมยังไม่ยอมมีแฟนสักทีคะเนี่ย” หญิงสาวที่ทำงานในแผนกเดียวกับธิชามานานกว่าสองปีถามอย่างสงสัย “ทั้งเก่งและน่ารักขนาดนี้ ต้องมีซุกไว้แน่ๆ ไม่เชื่อหรอกว่าไม่มี แค่ไม่อยากเปิดตัวเท่านั้น ดีไม่ดีอาจจะเป็นเด็กเอาะๆ ที่อย่างพวกเราไม่มีวันได้กิน” หญิงสาวอีกคนคาดเดา และไม่ใช่แค่เธอคนเดียวรวมไปถึงเพื่อนๆ ในแผนกอีกหลายคนต่างก็คิดอย่างนั้น “พอๆ พวกเธอนี่ก็เดาไปเรื่อย ไม่มีก็คือไม่มีจ้ะ พี่มีแค่งานกับเงินก็มีความสุขแล้ว” พูดจบก็แทบอยากจะร้องไห้ เพราะนั่นมันเมื่อก่อน ตอนที่ยังไม่รู้สึกตัว แต่ตอนนี้บอกเลยว่ามาเถอะ จะเด็กจะแก่ลองคุยได้หมดแหละ ถ้าคลิกถูกใจและไปกันได้ ขอแต่งก็จะแต่งเดี๋ยวนั้นเลยค่ะ
ตอนที่ 1 โสดแล้วพาล (1)
1
โสดแล้วพาล
หลังจากผิดหวังในความรัก ไม่ได้ถึงกับเข็ด แต่ก็เลิกใส่ใจ ไม่แสวงหา คิดแค่ว่ามีเงินมีงานอยู่เป็นโสดไปจนตายก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่ธิชาให้ความสนใจตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยคือการหางานแล้วหาเงินให้ได้มากๆ เพื่อที่ครอบครัวจะได้ไม่ลำบาก
และตอนนี้เธอก็ทำมันสำเร็จ มีงานที่มั่นคง พ่อแม่อยู่สุขสบาย เงินเก็บสำรองรอวันเกษียนตัวเองก็มีมากพอ เรียกได้ว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้บรรลุล่วงแล้ว
นั่นทำให้จากที่เมื่อก่อนสนใจแต่งาน ตอนนี้เลยมีเวลามองรอบๆ ตัว และได้พบว่ามีแค่เธอที่ยังโสด เพื่อนสนิทก็แต่งงานมีลูกเต้าไปตั้งแต่ยี่สิบปลายๆ น้องสาวน้องชายเองก็ไม่ต่างกัน รวมไปถึงเพื่อนๆ ไม่ว่ารุ่นเดียวกัน รุ่นพี่หรือว่ารุ่นน้อง คนโสดก็มีนะ แต่น้อยเหลือเกิน และหนึ่งในนั้นก็คือเธอ ที่ตอนนี้ถือว่าเป็นสาวโสดที่อายุมากที่สุดในแผนกไปแล้ว
และนี่อะไร...
การ์ดงานแต่ง...
ปีนี้ได้สามซองแล้วนะเนี่ย ขยันแต่งกันจัง
ไม่อยากยอมรับหรอกว่าโสดแล้วพาล แต่พักนี้มันเป็นอย่างนี้จริง ๆ จากที่เมื่อก่อนตั้งปณิธานว่าจะโสดยันตาย แต่พอมาถึงตอนนี้ทำไมมันรู้สึกเหงา ๆ อย่างบอกไม่ถูก
และมาเหงาเอาตอนสามสิบเก้าเนี่ยนะ
ความรู้สึกช้าฉิบหาย
ธิชาดึงการ์ดสีชมพูในมือขึ้นมาอ่านดูรายละเอียดแล้วกลอกตามองบน ภาพที่ลูกน้องในแผนกเลือกมาใส่ในการ์ดหวานจนคนโสดอิจฉาตาร้อน ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีของธีมที่ทางบ่าวสาวระบุเอาไว้
สีฟ้า!
ทำไมไม่เป็นสีชมพูหรือสีอะไรก็ได้ล่ะเนี่ย ธิชาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่ในตู้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าโทนทึม ๆ ที่ตัวเองชอบ มีสีขาวบ้างประปราย ส่วนชมพูซื้อตอนไปงานแต่งเพื่อนร่วมงานเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ยังต้องมาซื้อสีฟ้าเพื่อไปงานแต่งอีกงานหรือเนี่ย สิ้นเปลืองมาก
แต่ก็ต้องซื้อล่ะ
เรื่องเลือกเสื้อผ้าเธอไม่สันทัดเท่าไหร่ จึงต้องพึ่งพาโชติกาและไปรยา ที่ทั้งสองคนแต่งตัวค่อนข้างเก่ง แม้ทางด้านไปรยานั้นหุ่นจะอวบๆ จนเกือบอ้วน แต่อีกฝ่ายก็สามารถแต่งตัวให้ออกมาสวยและดูดีไม่แพ้สาวหุ่นบางร่างน้อยเลย แถมเธอยังโดนบ่นบ่อย ๆ ว่า เสียดายหุ่นดี ๆ ที่วัน ๆ เอาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลวมโพรกสีก็ทะมึน ๆ ไม่มีความสดใสเอาซะเลย และลงท้ายด้วย
แบบนี้ผู้ชายที่ไหนจะมอง...
นั่นทำให้ธิชาที่มาก่อนเวลาและกำลังนั่งรอเพื่อนๆ ทั้งสองคนก้มดูการแต่งตัวของตัวเอง มองเสื้อยืดสีเทาราคาครึ่งพันอย่างพิจารณา ถ้าอยากให้ผู้ชายมาสนใจ งั้นเธอต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ก่อนเป็นอันดับแรกสินะ
“ยิ้มอะไรธิชา!” ไปรยาที่เดินเข้ามาพร้อมโชติกาตบที่โต๊ะไม่ได้แรงมากแต่ก็ทำให้คนที่คิดอะไรเพลิน ๆ จิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวถึงกับสะดุ้ง ผุดลุกขึ้นพร้อมกับอุทานเสียงหลง
“ลูกแม่หกตกเก้าอี้!”
“กรุณาเก็บลูกของแกด้วย” โชติกาชี้กระเป๋าสีเทาที่นอนแอ้งแม้งบนพื้นแทบเท้าของเพื่อนรัก
“แกนี่ชอบแกล้ง...” ธิชาบ่นไม่ได้จริงจังนัก พร้อมกับก้มลงเก็บกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาปัดๆ แล้ววางมันไว้บนโต๊ะ มองค้อนเพื่อนรักไปคนละทีสองที
“ก็เห็นนั่งยิ้มอะไรคนเดียว นั่นแน่...หรือว่าถูกหวย” ไปรยามองเพื่อนด้วยสายตาล้อเลียนขณะขยับเก้าอีกแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“ไม่เคยซื้อ”
“ยิ้มฟิน ๆ แบบนี้นอกจากเรื่องผู้ชายแล้วจะเรื่องอะไร” โชติกาตั้งข้อสังเกตพร้อมกับมองเพื่อนรักด้วยสายตาจับผิด และไม่ทันที่จะได้เห็นปฏิกิริยาที่แปลกไปของอีกฝ่าย ไปรยาก็พูดแทรกขึ้น
“บ้าแก แม่ชีของเราบรรลุทางธรรม ปล่อยวางเรื่องผู้ชายแล้ว ใช่ไหมจ๊ะ” ตอนท้ายไปรยาหันมาถาม แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบลูกคู่อย่างโชติกาก็เอ่ยถึงเรื่องที่เธอทั้งคู่ถูกเรียกออกมาในวันนี้
“จริงด้วย แล้วนี่จะซื้อชุดใหม่ไปนั่งสมาธิที่วัดไหนเหรอจ๊ะ”
ธิชาใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากของทั้งคู่แรง ๆ พลางอมยิ้มขำ “เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะพวกแก ฉันอยากได้ชุดไปงานแต่ง คราวนี้ธีมฟ้า”
“งานแต่งทีไร เป็นได้แค่แขกรับเชิญ...” โชติกาโชว์ลูกคอ ก่อนจะหลุดขำเมื่อเพื่อนๆ ต่างพากันปิดหู “พวกแกอะใจร้าย” เธอบ่นพลางยื่นมือไปตีคนนั้นทีคนนี้ที
“กลัวหูหนวก” ธิชาบอกเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อได้เอาคืน