ตอนที่ 5 อุบัติเหตูหรือพระเจ้ากลั่แกล้ง
พอโกโจทราบเรื่องราวทั้งหมดก็รู้สึกเห็นใจครอบครัวของเด็กน้อยเคนชินเป็นอย่างมาก ซ้ำร้ายเมื่อตรวจร่างกายของซายาโกะโดยละเอียดก็ทราบว่านางได้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายเหลือเวลาอีกไม่มากเพราะเนื้อร้ายได้ลามไปทั่วเกินกว่าจะเยียวยารักษาได้ทัน
นั้นยิ่งทำให้โกโจรู้สึกเวทนาสงสารเด็กน้อยเคนชินในชีวิตที่ในอนาคตอันใกล้นี้ต้องขาดแม่ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างไป
ซ้ำยังรู้สึกถูกชะตาเด็กชายผู้ที่มีแววตาคมกล้าแต่แฝงไว้ซึ่งแววเศร้านั้นอย่างประหลาด โกโจรับซายาโกะเป็นคนไข้พิเศษ ทั้งยังออกค่ารักษาพยาบาล
คอยช่วยเหลือดูแลเคนชินกับแม่มาโดยตลอดโดยมีไทจิคอยเป็นเพื่อนดูแลซึ่งกันและกัน
จวบจนกระทั่งวันนั้นก็มาถึง วันที่แม่ของเคนชินจากโลกนี้ไปหลังจากเข้ารับการรักษาพยาบาลได้เพียงแค่หกเดือนเท่านั้น
ไทจิยังจำวันนั้นได้เป็นอย่างดี วันที่เขาได้เห็นเพื่อนรักร้องไห้ฟูมฟายปริ่มใจจะขาด
เขาเองก็ไม่ต่างกัน ดีที่มีโทโจผู้เป็นพ่อของเขาที่รักเคนชินเหมือนลูกชายอีกคนหนึ่งคอยปลอบโยนเคนชินไม่ห่าง
เสร็จสิ้นงานศพของซายาโกะได้ไม่นาน โทโจตัดสินใจเตรียมที่จะรับเคนชินเป็นบุตรบุญธรรม เพราะเขาก็มีเพียงแค่ไทจิเป็นลูกคนเดียว
แต่ยังไม่ทันได้ดำเนินการก็มีชายสูงอายุคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น เขามาพร้อมกับชายชาวอิตาลีคนหนึ่ง ได้มาแสดงตัวว่าเป็นบิดาของเคนชิน โดยมีใบเกิดและรูปถ่ายของซายาโกะที่ถ่ายคู่กันสมัยที่ทั้งคู่ยังวัยรุ่น เรื่อยมาจนถึงรูปเคนชินตอนแรกเกิดทั้งสองดูรักใคร่กันมาก
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเคนชินมีอายุได้เพียงหนึ่งขวบ ซายาโกะได้หอบหิ้วเคนชินกลับมาที่ญี่ปุ่น และใช้ชีวิตสองคนแม่ลูกนับแต่นั้นมา
พ่อของเคนชินพยายามที่จะตามหาแม่และเคนชินมาโดยตลอดแต่ก็คลาดกันเรื่อยมา
จนในที่สุดก็ได้รับทราบว่าซายาโกะได้เสียชีวิตลงแล้ว นั้นทำให้พ่อของเคนชินเสียใจมากและโทษตัวเองมาโดยตลอดที่ตัวเองไม่พยายามมากพอที่จะตามหาแม่และเคนชิน
ดังนั้นเคนชินจึงถูกพ่อแท้ๆรับตัวไปอยู่ด้วยนับแต่นั้นมา ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน
โกโจและไทจิก็ได้รับการติดต่อจากเคนชินและพ่อของเคนชินมาโดยตลอด ด้วยซาบซึ้งในน้ำใจของโทโจที่ได้ช่วยเหลือเคนชินและซายาโกะจนสิ้นลมหายใจสุดท้ายของชีวิตของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่
ก่อนจากกันเด็กชายไทจิและเด็กชายเคนชินก็สาบทสาบานกันไว้ว่าทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป
และตั้งแต่วันนั้นตราบถึงทุกวันนี้ความสัมพันธ์ของไทจิและเคนชินต่างก็แน่นแฟ้นเหมือนทั้งสองไม่เคยห่างกัน ส่งอีเมล์ถึงกัน มีเวลาว่างต่างก็วีดีโคอลหากันอยู่เสมอๆ
ไทจิยิ้มน้อยๆเมื่อคิดถึงความหลังสมัยเมื่อครั้งยังเป็นเด็กชายไทจิและเด็กชายเคนชิน
..............................................................................
ณ สวนสาธารณะใจกลางกรุงโตเกียว ไม่ไกลจากย่านฮาราจูกุนัก
ชินะนั่งละเลียดเบียร์อยู่คนเดียว ณ ม้านั่งริมน้ำด้วยทีท่าสบายใจ ปากก็ฮัมเพลงเบาๆตามเพลงโปรดที่เปิดจากโทรศัพท์เครื่องทันสมัยรุ่นล่าสุดผ่านหูฟังแบบอินเอียร์เครื่องเล็กอย่างสบายอารมณ์
พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ระยิบระยับไปด้วยดาวดวงเล็กที่ยังคงพอมองเห็นได้จากที่นี่ ที่ซึ่งไกลจากแสงสีจากตึกสูงและรถราที่แล่นกันขวักไขว่พอประมาณสะท้อนผืนน้ำแลดูสวยงาม
เธอมักชอบมานั่งทอดอาลัย จิบเบียร์วุ้นเบาๆที่นี่หลังจากเลิกงาน โดยสวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของเธอเท่าใดนัก
อากาศที่เย็นลง ลมพัดค่อนข้างแรง ทำให้ชินะต้องยกนาฬิกาสมาร์ทวอชขึ้นมาดู ขณะนี้เป็นเวลาค่อนข้างที่จะดึกแล้วเกือบๆจะเที่ยงคืน
"ตายแล้ว!!! ดึกเลยหรือนี่!!"
ชินะพึมพำเบาๆ กว่าจะเสร็จงานก็ปาเข้าไปเกือบจะสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ไม่แปลกที่เวลาจะผ่านมาเร็วแบบนี้หลังจากที่ปล่อยให้สมองได้ว่างเปล่ามองท้องฟ้าและแสงสีไปเรื่อยจนลืมที่จะดูเวลา
ชินะลุกขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบออกจากร่างกายและหันไปเก็บกระป๋องเบียร์ที่วางเกลื่อนนับได้สี่ถึงห้ากระป๋องนั้นไปทิ้งถังขยะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
ก่อนจะกระชับกระเป๋าใบเล็กที่สะพายเฉียงให้เข้าที่พร้อมทั้งก้าวเดินออกไป ห่อไหล่กระชับเลื้อคลุมผืนบางเมื่อรับรู้ถึงลมที่พัดกระทบกับร่าง
AUfXpKH3HhwRznxTSrWvMJTaAXhT7W3s5i1fgxC5vaES ชินะเดินทอดน่องไปตามทางเดินของสนามหญ้าลัดผ่านไปยังชุมชนที่เริ่มมีผู้คนหนาตาเพื่อที่จะข้ามทางม้าลายไปเพื่อเดินไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
ก่อนจะเดินเลียบทางไปอีกประมาณ 10 กว่านาทีก็ถึงที่พักอพาทเมนต์หลังน้อยของเธอ
แต่ยังไม่ทันที่ชินะจะเดินผ่านบริเวณที่มีต้นไม้ซึ่งกำลังผลัดใบที่ขึ้นอยู่ตลอดแนวข้างทางนั้น ลมก็พัดแรงหมุนวนจนใบไม้รอบๆตัวดังซู่
เสียงวีดหวิวของลมพายุหมุน รวมไปถึงแรงลมที่พัดปลิวค่อนข้างแรงทำให้ฝุ่นผงและเศษใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วทั้งบริเวณ
ชินะพยายามยกแขนขึ้นป้องใบหน้ากันลมพายุขนาดย่อมที่พัดเอาฝุ่นผงและใบไม้เข้าปะทะใบหน้านวลอย่างจัง
ร่างบางทำได้เพียงยืนซุกหน้ากับท่อนแขนของตัวเอง พยายามที่จะเดินออกจากบริเวณนั้นให้ไกลจากพายุหมุน แต่ยากเหลือเกิน
จึงทำได้เพียงยืนนิ่งๆรอจนกว่าพายุหมุนวนนั้นจะขยับไปที่อื่นหรือหยุดลง ในที่สุดพายุหมุนลูกนั้นก็พัดผ่านไป ทิ้งไว้เพียงเศษฝุ่นและใบไม้ใบหญ้าที่เกาะอยู่ทั่วตัวของหญิงสาว
ชินะพยายามลืมตาขึ้นมา แต่เป็นไปได้ยากยิ่งในขณะนี้ กว่าจะลืมตาขึ้นมาได้ น้ำตาทั้งสองข้างไหลออกมาทุกครั้งที่ขยับเปลือกตา
เมื่อขยับแต่ละทีก็เจ็บเคืองจนอดที่จะร้องโอดโอยไม่ได้ ร่างบางทรุดตัวลงนั่งแมะกับพื้น
"คุณ เอาน้ำล้างหน้าเสียหน่อยน่าจะดีขึ้น"
เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล พร้อมกับที่ชินะสัมผัสกับขวดน้ำที่แตะมาบริเวณมือของเธอ
"ขอบคุณค่ะ โอ้ย..."
ชินะเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนจะยกขวดน้ำที่ถูกส่งให้ในมือราดรดลงบนใบหน้าอย่างว่าง่าย ทั้งยังค่อยๆพยายามลืมตาขึ้น
จนในที่สุดชินะก็สามารถที่จะลืมตาขึ้นมาได้ ร่างบางพยายามกระพริบตาถี่ๆเพื่อขับไล่ความระคายเคืองในดวงตาทั้งสอง
แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องชะงัก เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมา ภาพที่มองเห็นเบื้องหน้าพล่าเลือน ชายที่ยื่นขวดน้ำมาให้เธอใบหน้าเขากลับเลือนลาง จนไม่อาจเห็นใบหน้าและสิ่งแวดล้อมต่างๆได้ในขณะนี้ อย่าบอกนะว่า...
"คุณ...ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย งั้นผมขอตัวนะ"
ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนและเดินจากไปก่อนที่เธอจะได้ตอบอะไรไปเสียด้วยซ้ำ
"ตายแล้ว! ทำยังไงดี คอนแทคเลนส์หลุด!! ชิบหายแล้ว!! แล้วฉันจะกลับบ้านได้ยังไงเนี๊ยะ!!! โธ่!!"
ชินะพึมพำพลางหันรีหันขวาพยายามตั้งสติเมื่อรู้สึกได้ว่าตอนนี้คอนแทคเลนส์สายตาสั้นกว่าหนึ่งพันสองร้อยของเธอนั้นได้หลุดหายไปกับลมพายุเมื่อกี้แล้ว
หญิงสาวพยายามเรียกสติของตนกลับคืนมา ก่อนจะล่วงมือหยิบโทรศัพท์ออกมาเมื่อนึกได้ว่าใครที่พอจะช่วยเธอได้ตอนนี้ แต่แล้วก็ต้องชะงักอีกรอบ
"แบตหมด!!!! โธ่โว้ย!! เสือกมาหมดอะไรเอาตอนนี้วะ!! ซวยจริงๆเลย"
ชินะครางอย่างเหนื่อยอ่อน AUfXpKH3HhwRznxTSrWvMJTaAXhT7W3s5i1fgxC5vaES ดีนะที่เธอมาบ่อยๆจึงพอจะจำทางได้แม้ว่าภาพที่เธอเห็นตอนนี้จะเลือนลางและเบลอมากก็ตาม
ชินะพยายามเดินอย่างระมัดระวัง หยีตามองค่อยๆก้าวเดินแบบระวังทุกฝีก้าว จนในที่สุดหญิงสาวก็เดินมาหยุดอยู่ตรงทางม้าลาย เธอต้องข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม
ชินะหันซ้ายหันขวา มองรถรถที่แล่นกันขวักไขว่ และผู้คนที่เดินสวนทางกันไปมา ไม่มีใครมองใคร ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างเดินไปตามทางของตน หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างอดที่จะหวั่นกลัวไม่ได้
"ทำยังไงดี จะข้ามไปได้ยังไงกัน แล้วมันใช่ทางที่ฉันต้องไปมั้ยเนี๊ยะ!! โอ๊ย! พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยชินะด้วย ชินะกลัว!"
ร่างบางยืนสั่น มือบางจับเสาไฟฟ้าส่องสว่างแน่น ก่อนที่จะรวบรวมความกล้า ตัดสินใจก้าวขาออกไป
"ปริ้น! ปริ้น!"
"กรี๊ดดดดด!"