ตอนที่ 1 หมอดูเป็นเหตุสังเกตได้ (2)
“คุณกันซื้อ เอ๊ย! บูชามาเท่าไหร่คะ” ส้มถามอย่างสงสัย และตั้งใจฟังคำตอบ ที่บอกเลยว่าจากประสบการณ์ไม่มีครั้งไหนที่ไม่ตื่นตกใจกับราคาของแต่ละอย่างที่เสียเงินให้กับบรรดาหมอดูหรือซินแส
“ไม่แพงหรอก ดอกละพันเอง”
“ดอกละพัน!” ส้มอุทานครั้งที่สามและเธอถึงกับต้องยกมือกุมขมับ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่เพิ่งเคยได้ยินราคาธูปที่มหาโหดขนาดนี้
“จะตกใจทำไม แค่นี้เอง ถ้ามันทำให้ชีวิตตาสิงห์ดีขึ้นดอกละหมื่นฉันก็จ่าย” นางกันยาบอกอย่างไม่ยี่หระ
“ธูปในบ้านเราก็มีนะคะ กล่องละไม่กี่บาทเอง” ส้มแย้งอย่างเสียดายเงินแทน และไม่รู้นายจ้างสาวซื้อมากี่ดอกกันแน่
“มันไม่เหมือนกัน เธอนี่ ไม่คุยด้วยแล้ว คุณกรณ์มาพอดี เธอทำกับข้าวไปเดี๋ยวฉันจะเอาน้ำไปให้เขาเอง” ว่าแล้วก็เดินผละออกไปรินน้ำใส่แก้ว ยกออกไปให้คนเป็นสามีที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน
“ค่ะ” ส้มมองตามเจ้านายแล้วส่ายหน้า “หวังว่าคุณสิงห์จะอยู่รอดปลอดภัยนะคะ เชื่อก็เชื่อเกิน จริง ๆ ดอกละพัน ธูปกล่องละไม่กี่บาทขายดอกละพัน ไม่รวยชาตินี้จะรวยชาติไหนวะ” หญิงสาวบ่นไปอย่างนั้น แม้เจ้านายของเธอจะใจดีแสดงความเห็นและแย้งได้บ้าง แต่เรื่องหมอดูนี่ห้ามเด็ดขาด
น้ำขี้ธูปศักดิ์สิทธิ์ที่นางกันยาตั้งใจจะให้ลูกชายดื่มถึงสามวันเป็นอันต้องถูกยกเลิก ชนิดที่ถูกสามีเอาไปทิ้งทันที เพราะคืนนั้นสิงหาท้องเสียหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล และโดนหมอต่อว่ามายกใหญ่ ถึงอย่างนั้นกันยาก็ยังแอบบ่นเล็ก ๆ ว่า “ที่ท้องตาสิงห์เสียอาจจะไม่ใช่เพราะน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่นก็ได้”
“คุณคิดว่าสิ่งสิ่งนั้นมันดื่มได้จริง ๆ เหรอ มันควรดื่มหรือไง” กรณ์ดุคนเป็นภรรยา ทั้งที่น้อยครั้งมากที่เขาจะทำแบบนี้ เขาตามใจเธอทุกอย่างไม่ขัดถ้ามันคือความสุข รวมทั้งเรื่องความเชื่อเรื่องการดูดวงดูหมออะไรพวกนี้ด้วย
“ก็ฉันหวังดีกับลูกนี่ค่ะ” กันยาแย้งเสียงดัง แต่เมื่อสามีชี้ไปที่เตียงผู้ป่วย ที่ตอนนี้ลูกชายของเธอนอนให้น้ำเกลืออยู่ก็ถึงกับพูดไม่ออก
“แล้วผลที่ตามมาล่ะ เชื่อได้ แต่อย่างมงายจนเกินขอบเขตสิ”
“ฉันขอโทษ” กันยาบอกเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิดขึ้นมาจริง ๆ
“เอาเป็นว่าคุณจะเชื่อหมอดู ซินแส่หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ไหนก็เชื่อไป แต่อย่าเอาอะไรแปลก ๆ มาให้ลูกดื่มอีกเข้าใจไหมครับ” ตอนท้ายกรณ์ยังควบคุมน้ำเสียงให้นุ่มลงเมื่อเห็นคนเป็นภรรยาเริ่มหน้าเสียน้ำตาคลอ
“ค่ะ”
และจากเหตุการณ์นี้เองกันยารู้สึกได้ว่าตัวเองสร้างตราบาปให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเข้าให้แล้ว เพราะสิงหาเหมือนจะไม่เชื่อใจและระแวงอาหารทุกอย่างที่ผ่านมือเธอ
“ได้เวลากินข้าวแล้วจ้ะ” กันยาถือชามข้าวต้มเดินมาหาลูกชายที่เตียง แล้วก็ต้องชะงักกับคำถาม “แม่ทำเองเหรอครับ”
“ทำไมจ้ะ” กันยาถามพลางยิ้มแห้ง ๆ เพราะสัมผัสได้ถึงความระแวงที่ลูกชายมีต่อเธอ
“ถ้าแม่ทำเองผมไม่ขอกินนะครับ”
“สิงหา...” เธอครางออกมาอย่างตกใจ ไม่คิดว่าผลที่ตามมามันมากมายขนาดนี้
“ผมยังไม่อยากท้องเสียตายครับ” เด็กน้อยให้เหตุผลพลางหลบสายตาคนเป็นแม่อย่างรู้สึกผิด แต่ถ้าไม่พูดออกไป ไม่แน่ว่าท่านก็อาจจะไม่รู้ตัว
“แม่ขอโทษ แต่นี่อาหารของโรงพยาบาลจ้ะ”
“แม่ไม่ได้เอาอะไรแปลก ๆ ใส่ลงไปใช่ไหมครับ” เด็กชายสิงหายังถามย้ำ
“สาบานเลยจ้ะ ต่อจากนี้แม่จะไม่เอาอะไรแปลก ๆ ให้ลูกกินอีกเด็ดขาด” กันยาให้คำมั่นอย่างจริงจัง แต่ถึงอย่างนั้นเด็กน้อยก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อมากนัก
“แม้คนที่บอกจะเป็นหมอดูอย่างนั้นเหรอครับ”
“จ๊ะ สัญญา”
จนเวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีจากเด็กชายอายุสิบเอ็ดจนกลายเป็นหนุ่มอายุสามสิบห้า คนเป็นแม่ก็ไม่ได้เอาอะไรแปลก ๆ ให้เขากินอีกเลย ทว่าเรื่องความเชื่อ ความชอบของนางกันยาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือลดลงไปแม้แต่น้อย แม้เรื่องกินนางไม่ยุ่ง แต่ตอนนี้กลับมายุ่งกับเรื่องคู่ของสิงหาแทน และนับวันมันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“ตาสิงห์วันหยุดนี้ว่างไหม” นางกันยาถามลูกชายในมื้อเย็นที่นาน ๆ จะได้กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที เพราะลูกชายตัวดีถ้าไม่ติดงานก็ไปเที่ยวกับเพื่อนกว่าจะกลับก็ดึกดื่น เผลอ ๆ กลับเอาเช้าเลยก็มี
“ถามทำไมครับ” สิงหาปรายตามองคนเป็นแม่เล็กน้อย ก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ
“ไปธุระเป็นเพื่อนแม่หน่อยสิ”
‘ธุระ’ คำคำนี้น่าขยาดพอ ๆ กับน้ำขี้ธูปที่เขาดื่มสมัยเด็ก ๆ เลยก็ว่าได้ ดังนั้นน้อยครั้งที่เขาจะเชื่อว่ามันเป็นธุระจริง ๆ
“อย่าบอกนะว่าจะหลอกผมไปดูตัวอีก”