บทที่ ๑ อุบัติเหตุครั้งที่สอง
บรรยากาศยามเย็นเวลาโพล้เพล้ กลุ่มวัยรุ่นที่ก่อนหน้านัดรวมตัวเตะบอลจนจบเกม กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์เกาะกลุ่มเต็มถนน พูดคุยกันเสียงดังแข่งกับท่อรถแต่ง หากไม่ใช่ทางหลวงระหว่างหมู่บ้านที่สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งนา คงถูกชาวบ้านด่าไล่หลังเล่นพ่อล่อแม่ไปแล้ว
ตัวถนนอยู่สูงกว่าระดับนา เป็นเนินลาดลงไปข้างทาง มีหญ้าและต้นไม้ปลูกไว้เป็นระยะไม่ได้รกทึบ แต่ก็ไม่ได้โล่งเตียน
แล้วใครจะไปคิดว่ามอเตอร์ไซค์กว่าหกคัน บทจะซวยกลับมีเพียงคันเดียวที่อยู่ด้านหน้าสุด ลองเครื่องด้วยการบิดเพิ่มความแรง ระยะทางที่ตั้งใจไม่กี่สิบเมตรก็จะเบรคแล้วแท้ๆ กลับมีวัวตัวใหญ่ที่หนีออกจากคอกยืนกินหญ้าริมทางหลังต้นไม้ จะตื่นเสียงท่อที่คันดังกล่าวบิดเร่งพอดังกว่าเดิมพอดี ทำให้กระโดดดีดตัวโผล่ออกมากะทันหัน ก่อนจะหมุนตัววิ่งลงไปในทุ่งนาทันที
“เฮ้ย!!” ไม่รู้เสียงใครต่อเสียงใครดังขึ้นพร้อมเพรียงกันกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้นัดหมาย
และแน่นอนว่ารถคันดังกล่าวเสียหลักไหลตกข้างทางไปเป็นที่เรียบร้อย
โครม!!
“เชี้ยเอ้ย!” หลังจากลงมานอนอยู่กลางทุ่งนาโดยมีมอเตอร์ไซค์ทับขา เจ้าของรถก็สบถขึ้นด้วยความหงุดหงิดและตกใจ
โชคดีที่ดินหลังเกี่ยวข้าวไม่ได้แข็งแน่นขนาดนั้น ทำให้ไม่ถึงกับหัวร้างข้างแตก แค่ร้าวระบบมจากแรงกระแทก และปวดขาที่ถูกรถทับตอนเสียหลักจนไม่อยากลุก
“เป็นไงวะ!” เพื่อนสนิทอย่างภีมเริ่มลงมาถามเพื่อน
“ซวยฉิบหาย” ตามด้วยธีร์ที่พูดขึ้นกับสิ่งที่เพื่อนเจอ
“ลุกไหวไหมมึง” นายถามก่อนจะช่วยกันกับธีร์ยกรถมอเตอร์ไซค์ออโต้คันใหญ่อย่างฟอร์ซ่าขึ้น โดยมีเพื่อนและรุ่นน้องคนอื่นตามลงมาช่วยสมทบ
“ตั้งนานไม่เสนอหน้าออก มาออกตอนกูเร่งเครื่อง!” บูมถูกเพื่อนประคองลุกขึ้นบ่นอย่างหัวเสีย “อย่าให้กูรู้นะว่าวัวใคร เชือดแม่งแบ่งกิโลให้รู้แล้วรูรอด!”
คนลุกขึ้นยืนได้ด้วยขาข้างเดียว เพราะขาอีกข้างเจ็บจนไม่อยากทิ้งน้ำหนักบ่นไม่หยุด
“ร้องผู้ใหญ่เลย ใช่เรื่องที่จะปล่อยวัวตามใจแบบนี้ไหม” ภีมที่ให้เพื่อนพาดไหล่อยู่ด้านขวาพาขึ้นถนนพูดขึ้น
แม้บริเวณนี้จะมีวัวชาวบ้านเอามาผูกไว้ตลอด แต่เจ้าของควรดูแลวัวตัวเองให้ดีไหม ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการเอาป้ายมาติดว่า ระวังวัว แทน
“แม่กูบ่นอีก” พอขึ้นมาถึงถนนได้ คนอารมณ์เสียยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเก่า ทั้งสภาพรถที่ถลอกปอกเปิกไม่ต่างจากคน ฟันธงได้เลยว่ากลับบ้านไปคงไม่พ้นเรื่องปวดหัวให้เขาอีก
ไม่ใช่อะไร เพราะสองเดือนก่อนเขาก็พึ่งรถล้มเพราะหมาตัดหน้า!
แล้วตอนนั้นขับเร็วกว่านี้ ล้มบนถนนลาดยาง ขาหักแขนเข้าเฝือก นอนรักษาตัวอยู่เกือบเดือนกว่าจะหายดี กว่าแม่จะยอมให้ขับขี่มอเตอร์ไซค์อีก
แล้วนี่มันพึ่งผ่านมาเท่าไหร่เอง เหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นอีกแล้ว เขาก็ว่าไม่ได้ประมาทขนาดนั้นนะ ถนนมันที่ของรถ ไม่ใช่ที่ของวัวเว้ย!
“จำศีลอีกแล้วมึง” พวกเขาจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ อยากดื่มอยากกินต้องพากันหอบไปบ้านเพื่อนแทน เพราะแม่ของมันไม่ให้ออกไปไหน
ภีมประคองเพื่อนให้ขึ้นซ้อนท้ายรถตัวเอง ให้รุ่นน้องอีกคนเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ของบูมกลับบ้านแทน
ร้านรุ่งกิจ...
ร้านขายส่งขายปลีกที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอแห่งหนึ่งของจังหวัด เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นขนาดห้าคูหาต่อกัน สามคูหาเป็นสินค้าทั้งปลีกและส่งเรียงชั้นเป็นระเบียบ แยกกั้นอีกสองคูหาสำหรับสต๊อกเครื่องดื่มต่างๆ
ด้านข้างพื้นที่โล่งและปิดกั้นด้วยกำแพงสำหรับพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าบ้าน ใช้เข้าออกและจอดรถ ใช้เข้าออกมากกว่าการจะเดินผ่านร้านให้เกะกะ
เสียงรถท่อดังหลายคันดังขึ้น เรียกความสนใจของคนเป็นแม่ให้หันไปมองผ่านหน้าต่างกระจกบานเลื่อนสีดำ ก่อนคิ้วเรียงสวยที่สักมาจะขมวดด้วยความสงสัย เพราะลูกชายที่รักรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองมากซ้อนหลังเพื่อน ส่วนรถตัวเองกลับให้รุ่นน้องขับมา
ยายแอ๋วหรือลูกค้าชอบเรียกกันว่าเจ๊ วางมือจากงานเดินออกไปดูสถานการณ์ทันที ในใจก็ได้แต่เถียงกับตัวเองว่าคงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ แล้วถ้าเกิดเรื่องอีกน่าดูแน่
“เป็นอะไร” แต่พอเอาเข้าจริงน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วความเป็นห่วง เมื่อสภาพลูกชายลงจากรถก่อนเพื่อนจะต้องเข้ามาประคอง
“รถล้ม” บูมถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็งกับการตอบคำถามนี้
“อะไรนะ!”
นั่นไง เสียงตกใจมาขนาดนี้ไม่ต้องเดาอนาคตเลยสักนิด
“พาไปรอที่รถเลย” บอกด้วยความร้อนรนไม่คิดฟังใคร หมุนกลับไปในร้านค้า เดินตรงไปหาสามีก่อนจะลากแขนหยิบกุญแจรถออกจากร้าน “ลูกตัวดีของพ่อรถล้มอีกแล้ว ดูร้านด้วยเดี๋ยวแม่ไปโรงพยาบาลก่อน”
“ได้ๆ มีอะไรก็โทรมาบอก” ตอบรับภรรยาด้วยความตกใจไม่น้อย แต่ก็ทิ้งร้านไปไม่ได้เพราะยิ่งช่วงบ่ายแก่ๆ แบบนี้ลูกค้าเยอะมาก ทั้งปลีกและส่งเต็มร้านไปหมด
สุดท้ายเจ๊แอ๋วก็ขับรถมาส่งลูกชายด้วยตัวเองจนถึงโรงพยาบาลในตัวอำเภอที่ไม่ได้ไกลจากบ้านตัวเองมากนัก ผลสรุปครั้งนี้ไม่ได้หนักเท่าครั้งที่แล้ว แค่รักษาเล็กน้อยไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็รับยากลับบ้านได้
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เจ๊แอ๋วหายห่วงหรือปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้เลย