บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

“อะไรนะคะ นี่น้าบิ๋มจะบอกว่า ทั้งบ้านที่นี่ แล้วก็บ้านสวน น้าบิ๋มขายแล้วหรือคะ”

เสียงใสเอ่ยอย่างพยายามจะระงับอาการสั่นของน้ำเสียงของตนเองไว้อย่างสุดความสามารถ มือบางกำเข้าหากันแน่น นัยน์ตากลมโตจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน เธอกลับมาจากการทำงานที่ตึงเครียดมากในวันนี้ ยังจะต้องมาเจอเรื่องเครียดๆ อีกหรืออย่างไรกันนี่

“ใช่!” บุปฝาพยักหน้า พลางยักไหล่

“ฉันขายมันไปหมดแล้ว ก็พี่ณัฐเค้ายกให้ฉันนี่นา ฉันจะทำอะไรยังไงก็ได้”

“แต่พ่อเคยบอกว่า จะยกบ้านสวนให้กับแต้ว”

หญิงสาวเอ่ยทวงถึงกรรมสิทธิ์ของตนเองทันที พร้อมกับมองจ้องใบหน้าของบุปผา ที่มองโต้ตอบเธอด้วยสายตาเหยียดๆ

“เหรอ...ไหนล่ะหลักฐาน คนก็ตายไปแล้ว ไม่มีพยานมายืนยันนี่ยะ”

ท่าทางลอยหน้าลอยตาของบุปผา ทำให้จันทร์กระจ่างนึกคันมือยิบๆ เลยทันที เธอกอดอก ก่อนจะมองกลับมารดาเลี้ยง ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอมาตลอดตั้งแต่ที่บิดาพาบุปผาเข้ามาในบ้าน ด้วยสายตาเหยียดๆ เลียนแบบอีกฝ่ายหนึ่งเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น

“นั่นน่ะสิคะ คนก็ตายไปแล้ว จะมีอะไรมายืนยัน เหมือนๆ กับอะไรที่พ่อเคยบอกกับแต้วไว้ก่อนที่จะเข้าห้องไอซียู ฝากฝังอะไรไว้ มันถึงได้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดเลย”

“จะว่าฉันโกงเธอหรือยังไงกันแม่แต้ว”

บุปผาทำคอแข็ง หน้าร้อนวาบขึ้นเล็กน้อยด้วยความละอาย แต่ถ้าเกิดให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเข้าครอบงำ เธอก็มีหวังอดได้ในสิ่งที่ต้องการพอดี ไหนๆ ก็ใช้เล่ห์กลมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ต้องทำมันไปให้ถึงที่สุด อุตส่าห์ดูแลไอ้ผัวแก่ขี้โรคมาเป็นปีๆ จะไม่ให้เธอตะครุบโอกาสนี้ไว้ ก็คงจะโง่แล้วเต็มที

“ฉันมีหลักฐานเป็นลายเซ็นพี่ณัฐ ที่เซ็นลงบนใบโอนมอบอำนาจ ก็บอกแล้วว่าพี่ณัฐไว้ใจให้ฉันดูแลทรัพย์สินให้ เธอก็จำได้นี่แม่แต้ว ว่าพ่อเธอเคยบอกอะไรไว้ ตอนวันที่เค้าตายน่ะ”

คำพูดนั้นทำให้จันทร์กระจ่างเม้มปากแน่น จำได้สิ เธอจำได้ดีเลยทีเดียว ว่าบิดาพูดว่าอะไร ท่านฝากฝังบุปผากับเธอ และบอกให้ไว้ใจมารดาเลี้ยง แต่นี่น่ะหรือ สิ่งที่บุปผาตอบแทนกับลูกสาวของคนที่หลงไว้ใจตนเอง นั่นก็คือการโกงทรัพย์สินในส่วนที่ควรจะเป็นของเธอไปเป็นของตนเอง เงินทองนั้น จันทร์กระจ่างไม่ได้เสียดมเสียดายมากเท่าไหร่ เพราะคิดว่าไม่ตายก็หาเอาใหม่ได้ แต่มรดกที่เธอรักอย่างบ้านสวนนี่สิ ที่นั่นมีความทรงจำมากมาย ของครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น แต่บุปผากลับบอกเธอว่าได้ขายไปแล้ว ทำร้ายจิตใจกันชัดๆ นี่เพิ่งจะทำการฌาปนกิจบิดาไปไม่กี่วัน มารดาเลี้ยงของเธอก็เอาทรัพย์สมบัติมาขายเสียแล้ว

“น้าบิ๋มไม่ขายบ้านสวนไม่ได้หรือคะ แต้วขอเถอะค่ะ น้าบิ๋มจะเรียกเงินเท่าไหร่ก็ได้ แต้วจะพยายามหามาให้ ขอร้องเถอะนะคะ แต้วรักบ้านสวนมาก”

“โอย...” บุปผาทำหน้าดูถูก พลางโบกมือ

“ไม่ได้หรอกนะแม่แต้ว ฉันน่ะขายไปแล้ว รับเงินทางโน้นมาแล้วด้วยค่ามัดจำน่ะ ต้องเอาไปจ่ายที่โรงพยาบาล แม่แต้วก็รู้นี่นา ว่าค่ารักษาพี่ณัฐน่ะแพงมาก เรายังติดโรงพยาบาลอยู่หลายแสนเลย ไหนจะหนี้สินเก่าอีกล่ะ ที่ขายน่ะน้าจะต้องจัดการมาเคลียร์เรื่องหนี้สินพวกนี้ หนี้เก่าของพี่ณัฐอีก เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่หรอก”

ประโยคหลังพูดเสียงอ่อนลงนิดหนึ่ง และเปลี่ยนคำแทนตัวจากฉันเป็นน้า เหมือนกับจะอ้อนวอนขอให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นใจ กับความลำบากของเธอ จันทร์กระจ่างกัดริมฝีปาก เนื่องจากรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าค่ารักษาบิดาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งนั้น ไม่ใช่น้อยๆ

“เอ่อ...นั่นน่ะสิคะ แต่น้าบิ๋มขายบ้านไปทั้งสองที่แล้วแบบนี้ เราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะคะ”

“เรา หึๆ ไม่ใช่เราหรอกนะแม่แต้ว เพราะว่าฉันน่ะจะกลับไปอยู่ที่สุโขทัย บอกกับญาติๆ ทางโน้นไว้แล้ว เดี๋ยวเงินที่เหลือจากใช้หนี้ เอ่อ...น้าคงจะต้องขอนะแม่แต้ว เพราะว่าน้าน่ะแก่แล้ว ดูแลพ่อหนูมาก็นาน อยากจะเอาไว้ทำทุน หนูน่ะยังสาว งานการก็มีทำ คงจะไม่ว่าน้าเอาเปรียบหรอกนะ”

“คือ...”

หญิงสาวถึงกับอ้าปากค้าง อย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าบุปผาจะกล้าขอร้องอะไรแบบนี้ อีกฝ่ายหนึ่งทึกทักเอาเลยทันที ว่าจันทร์กระจ่างตกลง จึงเอ่ยต่อเสียงหวาน

“ขอบใจมากนะแม่แต้ว ที่เห็นใจกันน่ะ ของแค่นี้ เงินเหลือแค่ไม่กี่แสนเอง แม่แต้วคงไม่ว่าใช่ไหม ถ้าน้าจะเอาไปทำทุน เลี้ยงตัวตอนแก่”

“เอ่อ...”

“ขอบใจจริงๆ นะแม่แต้ว น้าเก็บของไว้เรียบร้อยหมดแล้ว อยู่ที่รถข้างนอกนั่นแหละ อ้อ...เจ้าของบ้านใหม่ เค้าจะเข้ามาอยู่อาทิตย์หน้านะ มีเวลาให้หนูเตรียมตัวย้ายออกหลายวันอยู่ น้าแบ่งเงินใส่บัญชีให้หนูไว้แล้วนะ ห้าหมื่นคงจะพอสำหรับการหาที่อยู่ใหม่ น้าไปล่ะนะ รอบอกหนูแค่นี้แหละจ้ะ”

ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ถือโอกาสตอนที่จันทร์กระจ่างยังคงยืนอึ้ง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำขนาดนี้ เดินลิ่วๆ ออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว และกว่าจะรู้ตัว บุปผาก็ไปไหนต่อไหนไกลแล้ว

“อะไรกันเนี่ย”

หญิงสาวถึงกับนั่นแปะลงบนพื้นพรมอย่างหมดแรง ไม่คิดว่าจะได้รับข่าวร้ายแบบนี้ แถมยังถูกมัดมือชกให้เออออเบ็ดเสร็จกับการตัดสินใจของมารดาเลี้ยง จันทร์กระจ่างมองไปยังรูปของบิดาและมารดาในชุดแต่งงาน ที่ขยายใส่กรอบไว้ติดผนัง ก่อนจะมองไปรอบๆ เพิ่งจะสังเกตว่าของในบ้านหลายๆ ชิ้นหายไป คงจะเป็นฝีมือของมารดาเลี้ยงแน่นอน เออหนอ...นี่มันเมียพ่อหรือว่าโจรกันนะ พอบิดาของเธอตาย อีกฝ่ายก็ยกเค้าเอาทุกสิ่งไปจนเกือบหมดแบบนี้ เหลือให้เธอแค่เงินเพียงห้าหมื่นบาท เฮ้อ...

เสียงโทรศัพท์มือถือ ดังขึ้นทำให้ หญิงสาวตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความมึนงง เธอค่อยเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ แล้วกดรับอย่างเบลอๆ เนื่องจากสมองยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางมากนัก

“ค่ะ”

“แย่แล้วยายแต้ว แย่แล้วๆๆ”

เสียงแว้ดๆ ที่ดังมาตามสาย ทำให้จันทร์กระจ่างถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยปลอบปลายสาย ที่ดูทำเหมือนกับคนเสียสติ

“ใจเย็นๆ มิ้น เป็นอะไรไปน่ะ มีอะไรเหรอ?”

“ใจเย็นไม่ไหวแล้ว ใจเย็นไม่ได้แล้ว เราเพิ่งได้ข่าวจากพี่แว่นแผนกบุคคลมาหมาดๆ โอย...จะเสียจริตอยู่แล้วนะแก ฮือๆ เราตายกันแน่ๆ ยายแต้ว”

“เดี๋ยวก่อนสิมิ้น ใจเย็นๆ นะแก เรื่องอะไรน่ะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย”

คิ้วข้างขวาของจันทร์กระจ่างกระตุกยิบๆ อย่างบอกไม่ถูก โบราณเค้าว่าขวาร้ายซ้ายดี หนนี้ข้างขวากระตุก จะมีอะไรร้ายไปกว่านี้อีกไหมนะ เธอต้องออกจากบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เล็ก มรดกทั้งหมดถูกมารดาเลี้ยงโกงไปทิ้งเงินให้ห้าหมื่นบาท เออ...เอาเข้าไป ถูกไล่ออกจากงานอีกสักอย่างไหม จะได้ซวยมหาซวยกันให้สุดๆ ไปเลย

“แกทำใจดีๆ นะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันเป็นข่าวร้ายเร่งด่วน มาก มากที่สุดแล้วนะแกในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ เราก็ต้องยืดอกรับมันนะ”

ฝ่ายนั้นพูดเหมือนกับจะเข้าเค้าลาง ที่เธอสังหรณ์เสียด้วยสิ จันทร์กระจ่างถอนใจเฮือก พลางพูดกับปลายสายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ปลงๆ

“เราสองคนถูกไล่ออกจากงานใช่หรือเปล่า หรือจะพูดให้ดีคือเชิญออกใช่ไหม?”

“ว้าย!” ฝ่ายนั้นอุทานอย่างตกใจ แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก

“แกรู้ได้ยังไงยายแต้ว รู้ได้ยังไงว่าบริษัทเรายุบแผนก โดนไล่ออกกราวรูดตั้งแต่ผจก.ยันเด็กเสมียน”

“เหอๆ เฮ้อ ชีวิตจะมีอะไรซวยไปกว่านี้อีกไหมนี่”

จันทร์กระจ่างครางระโหย พร้อมกับก่ายหน้าผาก เอาเข้าไป ชะตากรรมจะซ้ำเติมเธอไปขนาดไหนกันนะ โอย...ช่างเป็นการฉลองอายุครบยี่สิบห้าปีที่สุดซวยเสียจริงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel