ตอนที่ 2
“นับวันลุงกับป้าก็แก่ตัวลงทุกวัน... ต่อไปก็ทำนาไม่ไหวอยู่ดี แล้วตอนนี้ชีวิตลุงก็หมดห่วงแล้ว เพราะว่าเอ็งก็ทำการทำงานจนเลี้ยงดูตัวเองได้แล้ว”
ลุงมั่นบอกความในใจ
“หรือว่า... ”
เชนทร์หรี่ตาครุ่นคิด สายตาจับอยู่ที่ดงกล้วยพลิ้วไสวอยู่ในสายลมค่ำ คล้ายมีความรู้สึกผูกพันล้ำลึกกับบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ บอกไม่ถูก บางทีอาจจะเป็นเพราะหญิงสาวในชุดสใบกับผ้านุ่งโจงสีตองอ่อนที่เคยฝันเห็นบ่อยๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเดินออกมาจากดงกล้วย
“หรือเอ็งมีความเห็นว่ายังไง?”
ลุงมั่นจ้องหน้าหลานชายพลางย้อนถามด้วยความสงสัย ด้วยสังเกตเห็นท่าทางของเชนทร์ดูเหมือนไม่อยากขายที่นา
“ลุงจะขัดข้องไหมครับ ถ้าผมตัดสินใจว่าจะลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาทำนาอยู่กับลุงกับป้า”
เชนทร์ตัดสินใจกะทันหัน
“อะไรนะ... ”
คิ้วซึ่งเป็นสีดอกเลาชิดเข้าหากันด้วยความประหลาดใจ ลุงมั่นนึกว่าตัวเองหูฝาด
“ผมตัดสินใจแล้วครับลุง... ผมจะกลับมาทำนา... มาอยู่ที่หมู่บ้านโคกมะขามของเรา”
เชนทร์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ลุงไม่ขัดข้องหรอก... เพราะว่าต่อไปในอนาคต มรดกทุกๆอย่างของลุงกับป้าก็ต้องยกให้เอ็งอยู่วันยังค่ำ... ”
มีความดีใจซุกซ่อนเอาไว้ในน้ำเสียงของลุงมั่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะลึกๆ ในใจของแกไม่เคยอยากให้เชนทร์ทิ้งบ้านนอกเพื่อเข้าไปทำการทำงานในกรุงเทพฯ
ด้วยลุงมั่นมองว่าทรัพย์สินซึ่งเป็นที่ไร่ที่นาของแกก็มีมากมายพอให้ทุกคนในครอบครัวอยู่อย่างสุขสบายไปทั้งชีวิต ขาดก็แต่คนที่จะมาทุ่มเทแรงกายอย่างแท้จริง เพื่อพลิกฟื้นผืนนาให้กลับกลายเป็นเงินเป็นทองขึ้นมาได้ จึงไม่แปลกถ้าลุงมั่นจะดีใจกับการตัดสินใจของหลานชายในครั้งนี้
แม้ว่าเชนทร์จะเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่บังเอิญมีคนนำมาทิ้งไว้ข้างถนน หากลุงมั่นกับป้าช้อยก็เก็บเอามาเลี้ยงดูด้วยความรักไม่ต่างจากลูกในไส้ ส่งเสียให้ร่ำเรียนจนชายหนุ่มสำเร็จการศึกษา มีงานทำจนถึงทุกวันนี้
“บอกตรงๆ ว่าลุงดีใจกับการตัดสินใจของเอ็งในครั้งนี้”
ลุงมั่นตบไหล่หลานชายเบาๆ ก่อนหยัดร่างสูงโปร่งขึ้นจากแคร่ไม้ เพราะอยากนำเอาข่าวดีเรื่องที่เชนทร์ตัดสินใจว่าจะกลับมาอยู่บ้านนอก ไปบอกให้ป้าช้อยผู้เป็นภรรยาได้ร่วมดีใจไปกับตน
เชนทร์ทอดสายตามองตามร่างสูงโปร่งของลุงมั่นที่กำลังก้าวย่ำกลับไปยังเรือนไม้หลังใหญ่ จากนั้นก็เอนกายลงนอนทอดอารมณ์อยู่บนแคร่ไม้ต่อมาตามลำพังอีกนานเป็นครู่ กระทั่งเผลอหลุดเข้าไปในภวังค์ของอารมณ์อันก้ำกึ่งระหว่าง ‘ความจริง’ กับ ‘ความฝัน’ คล้ายหลับ... แต่กลับพบว่าตัวเองตื่น
ในกลางดึกสงัดของคืนที่จู่ๆ กระแสลมก็เริ่มสงบเหมือนมีใครบางคนสั่งได้ ทั้งที่เมื่อครู่ยังพัดกรรโชกจนใบกล้วยโบกพลิ้ว รอบๆ กายมืดและเงียบจนไม่รู้โมงยาม
ครั้นแล้วในความสงบจนวิเวกนั้นเอง จู่ๆ ก็เกิดมีกระแสลมพัดกรรโชกแรงเข้ามาอีกระลอกโดยไม่มีที่มาที่ไป มาพร้อมกับกลิ่นหอมเย็นคล้ายน้ำอบโบราณลอยมากระทบจมูก รวยรินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัตติกาลอันยะเยือก เป็นกลิ่นเดียวกันกับเมื่อครั้งก่อนหน้า และอีกหลายๆ ครั้งที่เชนทร์เคยได้กลิ่น…โดยไม่รู้ที่มา ทั้งในความจริงและความฝัน
เชนทร์เข้าใจว่าตอนนั้นตัวเองกำลังหลับ มีการเคลื่อนไหวซึ่งชายหนุ่มไม่ได้เห็นด้วยตา หากสามารถ ‘รับรู้’ ได้ด้วยความรู้สึก มันเกิดขึ้นในชั่วอึดใจสั้นๆ ที่ทำให้รู้สึกอึดอัดจนเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้า ทั้งๆ ที่อากาศรอบๆ กายก็ไม่ร้อนเลยสักนิด
‘นั่นอะไร?’
ชายหนุ่มถามตัวเองอยู่ในใจ เขาปรือตาขึ้นในความสลัวราง ใช้เวลาสั้นๆ เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับสภาพของป่ากล้วยรอบๆ กระท่อม
สายตาคมกริบเพ่งผ่านละอองหมอกควันสีขาวที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป เหมือนกับมีกลุ่มเมฆหรือหมอกจางๆ ฟุ้งกระจายขึ้นตรงหน้ากระท่อม ค่อยๆ เคลื่อนเป็นวงอยู่ในมวลอากาศอันเย็นยะเยือกและบางเบา