ตอนที่ 1
“พรายตานี”
(นวนิยายสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น)
ผู้เขียน : กาสะลอง
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2537
ไม่อนุญาตให้สแกนหนังสือหรือคัดลอกเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหนังสือเท่านั้น
“พรายตานี”
ผู้เขียน
รักยม
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2537
ไม่อนุญาตให้สแกนหนังสือหรือคัดลอกเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหนังสือเท่านั้น
แสงจันทร์ในคืนข้างขึ้นอาบไล้ไปทั่วทุ่งนาข้าวซึ่งกำลังค้อมรวงหนักอึ้ง รอคมเคียวมาเกี่ยวเก็บตามฤดูกาล เสียงกบเขียดและหรีดหริ่งเรไรร้องประสานกันระงม ช่วยขับกล่อมรัตติกาลอันสงบสงัดไม่ให้เงียบเหงาถึงกับวิเวกวังเวงจนเกินไป
ลมดึกโชยพัดเม็ดน้ำค้างพรมพราวอยู่ทั่วป่ากล้วย กำลังขยับใบไหวเอนไปตามแรงลม มองไกลๆ คล้ายมือขนาดใหญ่วูบไหวโบกสะบัดไปมาอยู่เหนือดงกล้วยหนาทึบ
ภายในกระท่อมมุงแฝกหลังน้อยกลางป่ากล้วย ‘เชนทร์’ หนุ่มฉกรรจ์หลานชาย ‘ลุงมั่น’ กับ ‘ป้าช้อย’ กำลังนอนพริ้มตาเอกเขนกฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถืออยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่วางอยู่หน้ากระท่อมอย่างสบายอุรา
ทุกครั้งที่ได้หยุดงาน เชนทร์มักจะเดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ บ่อยๆ เพื่อเยี่ยมลุงกับป้าที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด
แม้ว่าปัจจุบันเชนทร์จะเข้าไปทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ได้หลายปีแล้วก็ตาม หากมีเวลาเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านนาเสมอ เพราะความผูกพันที่มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย ด้วยเชนทร์เกิดและเติบโตมาท่ามกลางท้องไร่ท้องนาของชนนบทบ้านนอกที่มีชื่อว่า ‘โคกมะขาม’ แห่งนี้
“เชนทร์... ”
เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลัง ทำเอาคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของรัตติกาลถึงกับสะดุ้งโหยง
เชนทร์ชันศอกขึ้นจากแคร่ไม้ไผ่ หันขวับมายังทิศทางที่มาของเสียง กระนั้นจึงได้รู้ว่าร่างสูงของลุงมั่นกำลังย่ำมาตามทางดินเล็กๆ ทอดผ่านมายังดงกล้วยใกล้กับกระท่อมหลังน้อยที่ตนกำลังนอนทอดอารมณ์ชมแสงจันทร์ เพลิดเพลินอยู่กับกลิ่นอายของธรรมชาติในค่ำคืนของชนบทซึ่งยังห่างไกลความศิวิไลซ์
“มีอะไรครับลุง”
เชนทร์ร้องถามผู้ซึ่งกำลังทรุดร่างสูงโปร่งลงนั่งบนปลายแคร่ไม้ไผ่ ยาเส้นมวนใบตองที่คาบไว้ในปากสว่างวาบขึ้นพร้อมๆ กันควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากริมฝีปาก
“ลุงตัดสินใจแล้ว... ว่าจะขายที่ดินผืนนี้”
บุรุษวัยกลางคนเอ่ยกับหลานชาย ด้วยเมื่อตอนหัวค่ำลุงมั่นเพิ่งตัดสินใจว่าจะขายที่นาผืนนี้ให้กับกำนันแดงที่เทียวมาหว่านล้อมขอซื้อที่นาแปลงนี้อยู่หลายครั้งหลายหน กระทั่งลุงมั่นกับป้าช้อยผู้เป็นเจ้าของที่ดินเกิดใจอ่อนในที่สุด
“แล้วลุงกับป้าไม่เสียดายที่นาผืนนี้หรือครับ?”
เชนทร์มีท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด ร่างกำยำขยับลุกขึ้นนั่งสนทนาเป็นจริงเป็นจังกับผู้เป็นลุง
“อันที่จริงลุงก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ที่ตัดสินใจขายก็เพราะว่าวันหนึ่งข้างหน้าลุงกับป้าก็คงทำนาไม่ไหวอยู่ดี ยังไงที่นาผืนนี้ก็ต้องเปลี่ยนมือเข้าสักวัน เพราะเอ็งก็มีการมีงานทำอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วนี่นา”
เสียงของลุงมั่นบ่งบอกว่าหมดห่วงในตัวของหลานชาย ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจขายที่ดินในครั้งนี้
“ผมเสียดายที่ดินนะครับ”
เชนทร์ปรารภขึ้นเบาๆ ยิ่งมองดงกล้วยที่กำลังพลิ้วใบอยู่ในสายลมค่ำ ยิ่งทำให้ความคิดบางอย่างวาบแล่นเข้ามาในสมอง
“อย่าไปเสียดายมันเลย มนุษย์เราพอถึงคราวตายก็ไม่เห็นจะมีใครหยิบจับอะไรติดมือไปได้สักอย่าง เอ็งไม่เห็นหรอกหรือว่าชื่อของคนที่ครอบครองที่ดินในโฉนดนั้นเปลี่ยนมือมากี่รายแล้ว... ก่อนที่จะมาถึงลุง มันแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสามารถครอบครองอะไรได้อย่างแท้จริง”
ลุงมั่นพูดให้คิด
“แต่ก็น่าเสียดายเหมือนกันนะครับ... ถ้านาผืนนี้ต้องถูกขายจริงๆ”
ชายหนุ่มทอดสายตามองผืนนาที่เคยเห็นมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยด้วยความรู้สึกใจหาย เมื่อนึกถึงวันที่จะต้องทิ้งทุกอย่างตามที่ลุงมั่นบอก