บทที่ 4
การแคสต์บทภาพยนตร์ในช่วงเช้าผ่านพ้นไปด้วยดีทีเดียว ผู้จัด ผู้กำกับและทีมงานที่มีส่วนในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้จะดูพอใจกับการแสดงของเขาพอสมควร
แน่นอนว่าผู้ใหญ่ในที่นั้นรู้จักเขาดี และก็พอจะรู้ฝีมือการแสดงของเขาอยู่บ้าง แต่ทว่ากานต์ก็ไม่อยากมั่นใจว่าตัวเองจะผ่านการคัดเลือก แม้จะคร่ำหวอดในวงการ ฝากฝีไม้ลายมือมาก็มากแถมยังมีรางวัลการันตีจนหลายคนเชื่อมั่นในฝีมือการแสดงของเขา แต่กระนั้น...ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
ภาพยนตร์เรื่องนี้แม้ไม่ใช่ฟอร์มยักษ์ แต่เนื้อเรื่องน่าสนใจ ตัวละครที่เป็นยมทูตมีทั้งความลึกลับซับซ้อน หลากหลายบุคลิก ที่สำคัญบทก็พลิกไปมาสมกับเป็นบทที่เล่นกับเรื่องจิตวิทยาสุดๆ และกานต์คิดว่าถ้ามีโอกาสได้เล่น ก็คงเป็นประสบการณ์ที่ดีไม่น้อย ทีมผู้สร้างและผู้กำกับก็ถือว่าเป็นมือทอง สร้างภาพยนตร์กี่เรื่องรายได้ก็ทะลุร้อยล้านตลอด
การแคสต์ตัวละครใช้เวลาพอสมควร ด้วยทีมงานไม่เพียงให้เขาแคสต์บทหลักเท่านั้น แต่ยังให้ลองแสดงเป็นตัวละครอื่น เพื่อลองเปรียบเทียบความเหมาะสมของตัวละคร ราวสิบโมงกว่า กานต์ก็มานั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นภายในตัวห้างฯ ที่เขาจะต้องออกอีเว้นท์วันนี้แล้ว
นายไทม์จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมด เขานั่งรอไม่ถึงสิบห้านาที อาหารทุกอย่างก็มาเสิร์ฟ เป็นข้าวหน้าปลาไหลกับซุปสาหร่ายมิโซะ และสลัดผักธัญพืช
"สั่งมาซะเยอะแยะ ฉันกินไม่หมดหรอก"
"แต่นี่เป็นของที่พี่บ่นอยากกินทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรือครับ" ไทม์แย้งแล้วยิ้มเรียบๆ ตอบกลับไป "เอาเถอะครับ พี่กินไม่หมดก็ให้พนักงานห่อกลับก็ได้ อ้อ...มื้อนี้ผมจ่ายเงินไปแล้วนะครับ"
"เดี๋ยวก่อน มื้อนี้ตั้งกี่บาท นายจ่ายเองนี่นะ" ช้อนที่เตรียมจะตักข้าวชะงัก มองหน้าผู้ช่วยของตนที่ยังคงมีรอยยิ้มพรายอย่างคงเส้นคงวา "นายเอาเลขบัญชีมา ฉันโอนเงินคืนให้"
"ไม่ต้องครับ"
"ไม่ได้...ถ้าราคามันไม่เท่าไหร่อย่างแซนด์วิชกับขนมปังฉันยังพอรับได้ นี่มื้อนี้ราคาไม่ใช่ร้อยสองร้อยนะ เงินเดือนนายก็แค่เท่าไหร่เอง"
"ผมตัวคนเดียว ปกติก็ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยอะไรอยู่แล้ว เงินเก็บมีเหลือเฟือ อีกอย่างค่าอาหารของพี่ ผมเอาไปเบิกกับบริษัทได้"
ฟังวาจาที่กึ่งๆ อวดนิดๆ แล้วกานต์ก็ชักหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ ...
"เมื่อเช้ายังบอกอยากได้เงินเดือนเพิ่ม"
"เงินใครจะไม่อยากได้ล่ะครับ ทำงานก็อยากได้เงินเยอะๆ นะครับพี่กานต์ เอาไว้เปย์ศิลปินที่ชอบ"
"เป็นติ่งเหมือนกันหรือ..." ดูไม่ออกเลยแฮะว่านายไทม์จะเป็นติ่งด้วยเหมือนกัน ที่ทำงานด้วยกันมา ก็ไม่เคยเห็นว่าหมอนี่จะสนใจดาราศิลปินคนไหนเลยสักนิด "เออ...แล้วนายไม่กินอะไรหน่อยหรือ สั่งอาหารมากินด้วยกันสิ ฉันเลี้ยง"
"ผมไม่หิว นี่ว่าจะไปเอาเสื้อของพี่ที่รถแล้วไปฝากที่ร้านพี่แพรวก่อน พี่กินข้าวเสร็จแล้วโทรเรียกผมนะ" ร่างสูงว่าจบก็ทำท่าจะลุกจากที่นั่งเพื่อเดินออกจากร้าน
ทว่าก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกตรงที่พวกเขานั่ง
แว้บแรกไทม์คิดว่ากานต์คงเจอซาแซง [1] เข้าซะแล้ว แต่พอหันไปมองกลับเห็นบุรุษร่างสูงในชุดเสื้อยืดตัวโคร่ง ดวงหน้าจิ้มลิ้มกำลังส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ นัยน์ตาสีนิลหรือก็ฉายแววดีใจ
แม้แต่พี่กานต์...ไทม์ก็เห็นประกายจ้าแสงขึ้นมาวาบหนึ่ง
ถ้าไทม์จำไม่ผิด คนที่เคาะกระจกเหมือนจะชื่อจีน เป็นอดีตสมาชิกวงเรย์ บอยแบนด์วงเดียวกับกานต์ คนคนนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงพอตัว ด้วยพรสวรรค์ด้านดนตรีกับการแต่งเพลงที่ไม่ว่าจะร้องเองหรือให้คนอื่นร้องก็ล้วนแต่เป็นเพลงฮิตติดหู แว่วว่า ตอนนี้ใครจะจ้างชายหนุ่มแต่งเพลงให้ ก็มีค่าสร้างสรรค์หนักพอสมควร
"กานต์...บังเอิญจัง ไม่คิดว่าจะเจอกานต์ที่นี่นะเนี่ย" จีนเอ่ยทักทาย เมื่อสับเท้าเข้ามาในร้าน ตรงดิ่งมาหากานต์
"เราก็ไม่คิดว่าจะเจอจีนเหมือนกัน...เมื่อวานยังเห็นไอจีอยู่เชียงรายอยู่เลย"
"กลับจากเชียงรายเมื่อเช้าน่ะ พอมาถึงกรุงเทพฯ คีตาก็เข้ากองถ่ายเลย"
พูดถึงเชียงราย...จู่ๆ กานต์ก็เผลอเหลือบมองที่นิ้วนางข้างซ้ายของจีน แหวนทองคำขาววาววับจับจิตให้สะท้านไหว จนเผลอหลุบตาต่ำเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางเบาสบสายตาสุกใสของคนตรงหน้าและว่า
"จริงสิ... สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะจีน แล้วก็...ยินดีด้วยนะ...อ้อ ลืมเลย นี่ไทม์ผู้ช่วยเรา ไทม์...นี่จีนนะ เพื่อนฉันเอง"
"ผมจำได้ พี่เพิ่งได้รางวัลนักแต่งเพลงยอดเยี่ยมเมื่อเดือนก่อนนี่เอง" ไทม์เอ่ยทักทายจีนพอเป็นพิธี ก่อนจะเห็นว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้นาน จึงเอ่ยขอตัวและเดินออกจากร้าน ให้ความเป็นส่วนตัวกับคนทั้งคู่
ไทม์กลับไปยังรถตู้พร้อมข้าวกล่องมื้อกลางวันไปฝากลุงสิงห์ และนำเอาชุดสำหรับออกงานของกานต์ไปยังร้านแพรวพราว แดนเนรมิต
ไม่ผิดหรอก ชื่อร้าน 'แพรวพราว แดนเนรมิต' จริงๆ เป็นห้องเสื้อที่กานต์หรือแม้กระทั่งดาราเซเลบิตีมาใช้บริการตัดชุดออกงานบ่อยๆ พี่แพรว หรือ แพรวพราว ถือเป็นดีไซเนอร์สาววัยสามสิบห้าฝีมือดีและได้รับความน่าเชื่อถือในวงการแฟชั่นด้วยรางวัลการันตีมากมาย ดูเหมือนว่าพี่จี๊ดจะรู้จักกับพี่แพรวเป็นการส่วนตัวด้วย เลยทำให้กานต์สนิทกับพี่แพรวไปอีกคน
สนิทไม่สนิทก็ขนาดมาขอใช้ห้องเสื้อของพี่แพรวแต่งองค์ทรงเครื่อง แถมช่างแต่งหน้าทำผมประจำของกานต์ ก็ได้พี่แพรวนี่แหละช่วยหาให้
กานต์ใช้เวลากินข้าวไม่นานก็มาที่ร้านของพี่แพรว ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินมาที่ร้านเองโดยไม่โทรตามให้ไทม์ไปรับ ด้วยระยะทางไม่ได้ไกล อีกอย่าง กานต์มีคนเดินมาส่งแล้วด้วย
และคนนั้นก็คือจีน
แน่นอนว่าผู้ชายหน้าตาดีสองคนแถมมีชื่อเสียงทั้งคู่ แถมอีกคนเพิ่งประกาศถูกขอแต่งงานไป ย่อมเรียกสายตาจากคนที่เดินผ่านไปมาและส่งยิ้มมาทักทาย
เพราะวันนี้จีนว่าง เลยถูกคะนิ้งผู้เป็นพี่สาวไหว้วานให้มารับหนังสือที่สั่งไว้จากร้านหนังสือต่างประเทศ พอได้เจอกานต์ก็เลยถือโอกาสนั่งพูดคุยหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมานาน สุดท้ายก็เลยเดินมาส่งกานต์ที่ร้านพี่แพรว
"ไป...เดี๋ยวเราเดินไปเป็นเพื่อน จะได้ทักทายพี่แพรวด้วย"
"จะจองคิวพี่แพรวตัดชุดล่ะสิ" กานต์กระเซ้าอย่างรู้ทัน เพราะเมื่อครู่ที่คุยกัน จีนบอกว่าพ่อกับแม่กำลังหาฤกษ์จัดงานแต่งงานให้อยู่
แม้จะรู้สึกแปลบๆ หวิวๆ โหวงๆ แต่กานต์ก็ชินกับความรู้สึกนี้เสียแล้ว...ก็อยู่กับความรู้สึกนี้มาตั้งกี่ปีล่ะ...
ความรู้สึกที่สุดท้าย กานต์ต้องขีดเส้นไว้แค่คำว่าเพื่อน...แอบรักเพื่อนมันเจ็บ แต่ที่เจ็บกว่าคือเพื่อนที่เขารักดันคบกับเพื่อนรักของเขา
ใช่...คีตา คนรักของจีนเป็นเพื่อนสนิทของเขา เรียกว่าในวงที่เดบิวต์ด้วยกันตอนนั้น เขากับคีตาสนิทกันที่สุดเลยก็ว่าได้
เพื่อนรักกับคนที่รักคบกันแถมยังรักกันขนาดนี้ กานต์ก็ทำได้เพียงยินดีกับคนทั้งคู่เท่านั้น
ตราบใดที่จีนยังคงมีความสุข
ตราบใดที่จีนยังคงมีรอยยิ้มสดใส
ตราบใดที่จีนยังคงมีแววตาที่เปล่งประกาย
กานต์ก็พอใจมากแล้ว
แม้ไม่ได้อยู่ในสถานะคนรัก แม้จะถูกจำกัดเพียงคำว่า 'เพื่อน' แต่เพื่อนคนนี้ก็ยังคงหวังดีกับจีนเสมอ
อยู่ตรงนี้ ในมุมนี้ มุมที่ยังคงได้เห็นจีน แม้ไม่สามารถเข้าใกล้ได้มากกว่านี้ หากก็ไม่ถูกผลักไสให้ห่างไกลออกไป ไม่คาดหวังที่จะได้ครอบครอง แต่จะเป็นคนที่จีนหันมาเมื่อไหร่ก็จะเจอเขาเสมอ