ตอนที่4 จริงๆนิสัยผมหล่อมาก โดยเฉพาะกับผู้หญิง
'ไอ้เด็กนี้ อย่ามามึนนะ แกไปโดนใครตีมาที่หน้านะหะ!’ เสียงพิโรธยังคงทำให้ผมคุ้นชินเสมอทำผมสะดุ้ง ในท่าที่แอบย่องเข้าบ้านกับบาดแผลรอยช้ำหลายจุด ปากแตกเลือดซิบ รอยช้ำตามแขนตามขาที่พยายามใส่เสื้อคลุมคงไม่พ้นสายตาของท่านแม่ผู้บังเกิดเกล้า
'โถ้แม่~ ผู้ชายเขาเล่นกันนะ เล่นแรงตามประสาผู้ชายนะรู้มะ' รีบสวนกลับแล้ววิ่งแจ้นขึ้นห้องทันที
'กลับมาคุยกันก่อน ไอ้เชนทร์! คุณดูสิลูกชายคนโตทำไมมันนักเลงจริง ได้คุณมาใช่ไหม'
'ปล่อยๆให้เด็กมันค่อยๆโตไปเถอะ เดียวมันก็คิดได้'
'ก็กลัวจะไม่ทันโตนะสิ'
เสียงสนทนาของแม่กับพ่อก็แผ่วลง ผมที่แอบฟังอยู่ก็เลิกสนใจ หันไปหายามาใส่แผลแล้วดึกๆค่อยแอบลงไปกินข้าว
แม่ก็ยังงี้ ดุมาแต่ไหนแต่ไร
แต่ทำไมรู้สึกว่าภาพพวกนี้มันทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจแปลกๆ มันก็แค่ความทรงจำเก่าๆ
“เดวา เดวา” เสียงกระซิบบางอย่างกำลังส่งเสียงรบกวนผมเวลาผมอย่างชวนให้หงุดหงิด
“ตื่นได้แล้ว อาจารย์กำลังจะมา” มันยังคงดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆให้รู้สึกเหมือนมีแมลงหวี่มาตอมใกล้หูให้รำคาญใจ
ผมเลยตัดสินใจเปิดตาแล้วหาสิ่งที่กำลังระคายหูผมแทน
“เดวะ....”
“เชี่ย!!!”
โคร้ม!
เสียงดังของการกระแทกพื้นและโต๊ะที่ล้มทำให้คนทั้งห้องหันมาสนใจทันที
ผมที่ตกใจอยู่ก็เครียดขึ้นมาทันที ใครสั่งใครสอนให้ยื่นหน้ามาใกล้ๆคนนอนหลับวะ แล้วเสื-กเป็นไอ้หน้าหล่อนั้น ริวมานั่งข้างผมตอนไหนไม่รู้หรอก
แต่ดันอยากมาเป็นคนดีปลุกผม คนพึ่งตื่นตาไม่สร่างเห็นคนใครมาใกล้ปฎิกริยาบางอย่างก็ตอบสนองด้วยการถีบเข้าให้ แล้วสภาพมันก็ออกมาเป็นแบบนี้
“เชี่ย!” เพื่อนอีกคนที่ยื่นหน้ามาสนใจข้ามโต๊ะก็ร้องเลียนแบบผม
“ใช่ เชี่ยแล้วจริงๆ” ส่วนไอ้คนที่นั่งข้างๆกันตั้งแต่ก่อนผมจะหลับก็ยื่นหน้าผ่านไหล่แล้วตบบ่าผมให้กำลังใจ
แม่ง ปลอบใจกันได้ห่วยมากเพื่อน มันทำให้ตูเครียดกว่าเดิมอีก
ผมได้แต่ส่งสายตาหนักใจแล้วยื่นมือไปให้คนล้มที่พื้น เขาดูนิ่งเหมือนยังช็อคอยู่ไม่หายและคงยังมองผมแถมด้วยการส่งสายตาที่ชวนให้กดดัน
นี้ตูต้องทำท่ากลัวด้วยไหมเนี่ย
ผมที่ยืนอยู่หันซ้ายหันขวาหาตัวช่วย ไอ้คนมุงก็เริ่มแห่กันมาทั้งห้อง
หันไปซ้ายก็เจอไอ้แว่นตบไหล่เพื่อนข้างๆให้ดู ส่วนไอ้คนขวาก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายภาพเฉย
พอหันไปหน้าห้อง จีนหันมากวักเรียกแล้วตบโต๊ะข้างๆ เหมือนบอกว่าจองให้ที่หนึ่งของเดวา
ผมเห็นแบบนั้นก็เก็บมือที่จะช่วยคนล้ม แล้วสะกิดไอ้เพื่อนใหม่ที่ยืนแสลนข้างๆแต่ไม่มีความจะอยากมาช่วยเพื่อน
“ไปช่วยริวดิ” ผมก้มไปกระซิบเนียนก่อนจะไหลออกไปเงียบๆแล้วไปโผล่อีกทีที่หน้าห้องพร้อมนั่งแหมะอย่างคนไม่มีส่วนกับเหตุการณ์ความผิดปกติอะไรทั้งนั้น
“อ้าวเพื่อนๆ พอแค่นี้เนอะ ริวมันก็ล้มได้เจ็บได้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรแปลก” ไอ้เพื่อนใหม่พอเป็นงานอยู่ไม่น้อย
หลังจากมันปรบมือเรียกความสนใจเพื่อนอีกคนของริวก็มาดึงให้ลุกขึ้น
เขาดูไม่ได้หงุดหงิดสักเท่าไหร่ เพียงปัดมือเพื่อนทิ้งแล้วลุกขึ้นเองอย่างคนหยิ่งๆไม่ต้องการความช่วยเหลือ
อย่างน้อยก็ไม่ได้เอาเรื่องผมแล้วก็ทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โต
ก็ดี ดูท่าคนแบบนั้นจะมีคนให้ความสนใจไม่น้อย ไม่เป็นประธานรุ่นก็คงเป็นเดือนคณะหรือที่แย่กว่านั้นคืนลูกคนใหญ่คนโต
ผมกลืนน้ำลายอึกอักแล้วขมวดคิ้วเตรียมหาวิธีไปขอโทษ ถึงผมจะไม่ใช่ส่วนผิดทั้งหมด แต่คนที่รับผลมันคือริวเต็มๆ จะให้มาโกรธแค้นกันมากกว่านี้คงชวนให้กระเพาะลำใส้ไม่ทำงานแทน(อาการไม่อยากอาหารที่เกิดจากความเครียด)
“ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันแกพัฒนาไปถึงขนาดไหนแล้วเนี่ย” จีนหันมากระซิบกระซาบเตรียมเข้าสายเม้าทันนที
ผมที่ไม่มีใจจะไปด้านนั้นก็หันไปเปิดกระเป๋าแล้วหาหนังสือเตรียมเรียน
“นี้ ไม่คิดจะตอบหรือเพราะมีเรื่องอะไร” ครั้งนี้จีนเครียดขึ้นมาจริงๆ ผมเลยอดที่จะพูดให้เรื่องมันรีบจบไปเสียไม่ได้
“เราไม่ได้ชอบริวแล้ว เลิกพูดถึงเขาเถอะ” ผมกระซิบตอบเสียงแผ่วเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน
“หะ! อะไรยังไง” จีนตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนเหมือนคนยังตกใจไม่หาย เป็นผมที่หันไปรอบๆห้องแล้วโบกมือไปประมาณไม่มีไรเพื่อนทำอะไรต่อได้เลย
“นั่งก่อน ใจเย็นๆ” ผมเลยต้องดึงมือให้คุณเธอใจเย็นลงหน่อยแล้วลูบหลังมือเธอให้ได้สติก่อน
“เออ โทษที” เธอกันไปยิ้มแห้งๆรอบตัวแ้้วรีบนั่งลงเหมือนคุณเธอพึ่งรู้สึกอายเมื่อได้สติ
“จารย์มาแล้ว” ผมรีบตัดเรื่องทิ้งแล้วหันไปมองกระดานอย่างตัดบท
จีนก็คงได้แต่อ้าปากเตรียมจะพูดต่อแล้วก็ค้างไว้แบบนั้น
“มันยังไง ไม่เล่าจริงๆใช่ไหม” จีนยังคงกระซิบถามผมตลอดคาบ
“เลิกถามเราประโยคเดิมได้แล้ว พูดแค่ไหนก็แค่นั้น” ผมตอบเธอในที่สุดแล้วหันไปจดโน๊ตบนกระดานทั้งที่ไม่รู้ความหมาย
“เออก็ได้ ก็แค่ถามเพื่อให้แกคิดดีๆ แต่ฉันก็ดีใจที่แกตัดใจได้สักที” จีนที่เอาแต่ทำหน้าเครียดตลอดคาบก็หันมายิ้มให้
มันดูสดใสแล้วจริงใจในแบบฉบับผู้หญิงที่ผมไม่ค่อยพบเจอ
เลยชวนให้ผมนิ่งไปอย่างไม่รู้ตัว
“พอแค่นี้แล้วกัน คาบหน้าอาจารย์จะให้มิสเตอร์แฟรงค์กัสมาสอนแทน หวังว่านักเรียนจะตั้งใจ” อาจารย์ว่าจบก็หยิบอุปกรณ์เตรียมออกจากห้อง นักเรียนบางส่วนก็ทยอยกันออกไปแล้วเช่นกัน
ผมกระแหมเล็กน้อยแล้วหันไปหยิบอุปกรณ์หนังสือปากการเตรียมไปหาอะไรกินต่อ จีนก็หันไปเก็บของเช่นกัน
ผมที่กำลังเก็บอะไรเพลินๆก็หันไปเจอสายตาคนบางคนที่มองมาอยู่ก่อน สายตานิ่งๆที่ไม่รู้ที่มาที่ไปและอธิบายไม่ออกว่ามีอะไรแอบแฝงกำลังมองมาที่ผมเงียบๆ
ผมเลิกคิ้วฉงนกับท่าทางแบบนั้น มองเป็นเชิงคำถามประมาณ นายมีปัญหา เอ้ย นายมีอะไรจะถามหรือเปล่า
แต่ถ้าเป็นผมแต่ก่อนเจอมองแบบนี้ก็คงไม่ค้านจะหยิบไม้ไปชี้หน้า เพราะการมองหน้าของวิศวะมันแปลว่าอยากมีเรื่องอะนะ
แล้วเพื่อนอีกคนของริวก็มาสะกิดให้เพื่อนหันไปสนใจ เขาดูสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนยังไม่ตื่นแล้วหันไปพยักหน้ากับเพื่อนก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินออกไป
ผมเบะปากในใจอย่างมั่นใส้ แล้วหันมายิ้มให้จีนก่อนจะเดินตามเธอออกไปโรงอาหาร
การต่อคิวในโรงอาหารกับอากาศร้อนๆเป็นสิ่งที่ผมคุ้นชินอยู่แล้ว แต่จีนเธอดูไม่ชอบการรอคิวนานๆและอากาศร้อนสักเท่าไหร่
“ฉันว่าเราไปกินที่ห้างใกล้ๆเถอะ อากาศเย็นกว่านี้สักนิด ฉันจะตายแล้ว” จีนยังคงคร่ำครวญไม่หยุดกับการต่อคิวซื้อข้าว
ผมซึ่งเป็นจำพวกขี้เกียจอยู่แล้ว แค่ข้าวกินให้พออิ่มไม่ใช่เหตุที่ผมจะต้องขับรถไปถึงห้างเพื่อการนั้น
“ไม่ละเรารอได้ แกอยากไปก็ชวนหวานไปดิ” หวานก็เป็นเพื่อนอีกคนในกลุ่มสาวๆที่มีผมคนเดียวในกลุ่มเธอที่เป็นผู้ชาย
หรือในสายตาของพวกเธอผมคงเป็นเพื่อนสาวเสียมากกว่า
คิดแบบนั้นผมก็นึกสภาพตัวเองในสายตาของพวกเธอออก นี้ผมคงหาแฟนยากเลยสินะ
ในคณะที่70%เป็นผู้หญิง30%เป็นผู้ชาย และใน30%นั้นยังมีอีก10%ที่เป็นชายแต่งหญิงหรือก็คือชายเทียมนั้นแหละ และในอีก5%ยังคงมีเกย์ที่ยอมรับว่าตัวเองชอบผู้ชายด้วยกันเอาไว้ ที่เหลืออีก15%คือไม่หน้าตาเห่ยก็อาจเป็นบรรดาชายที่อาจจะยังซุกซ้อนว่าตัวเองอาจชอบผู้อยู่ในวงนั้น
ซึ่งผมคงไม่ต้องบอกหรอกเนอะว่าถูกจัดอยู่ในจำพวกไหน
พวกเธออาจจะยังมองผมเป็นผู้ชายอยู่ ดูเหมือนจีนจะไม่เคยบอกใครว่าผมชอบริว แต่แล้วยังไงพวกเธอก็เหมือนจะรู้สึกกับผมในทางเพื่อนชายน่ารักๆ ไม่พูดหยาบ ไม่แกล้งใคร(มีแต่คนแกล้ง) แล้วแถมเรียบร้อยกว่าพวกเธอ
ผมเป็นผู้หญิงผมก็มองว่าเดวามันควรเป็นเพื่อนมากกว่าจะให้มาเป็นผั-ละวะ
ผมมันก็ไม่ได้เตี้ยอะไรนะ แต่ในบรรดาเอกภาษาดันมีแต่พวกสูงกว่ามาตรฐานเยอะไง สาวบางคนยังมีนางแบบอีก เออและดันสูงกว่าตูไง ผมเลยเป็นผู้ชายตัวเล็กลงอย่างไม่จำยอม
แล้วเสียงหนึ่งก็เรียกให้ผมหยุดคิดทุกอย่างลง
“เอาอะไรละพ่อหนุ่ม” ผมเงยหน้าไปสนใจเสียป้าแล้วกวาดสายตาหากับข้าวประจำตัว
“ผัดกระเพรากับไข่ดาวครับ”
“ปกติเห็นกินแต่สปาเก็ตตี้” จีนบ่นอุบอิบยังคงไม่หยุดความพยายามที่จะไปกินอาหารข้างนอก
“ก็เราอยากเปลี่ยนแนว” เนียนต่อไปอีกไอ้หนุ่ม คำตอบไหลลื่นตามฉบับคนโกหกเก่งอย่างหน้ามึน
บอกแล้วไงแม่ มีแต่แม่นั้นแหละที่จับได้ ผมโกหกใครเขาก็เชื่อทั้งนั้น
“เออ รู้แล้วๆ หลังจากเลิกชอบแล้วก็จะเปลี่ยนตัวเองสินะ” จีนพูดอย่างเข้าอกเข้าใจอยู่คนเดียว
“เหมือนได้เห็นเด็กข้างบ้านที่โตมาด้วยกันเติบโตขึ้นเลยงะ” จีนทำท่าจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ผมที่หันไปเจอเลยทำตัวไม่ถูก นี้ผมทำผู้หญิงร้องไห้หรอวะ
“เอ่ย อย่าร้องดิ ฮึบๆ” ผมเลยต้องดึงเสื้อนักศึกษาออกจากกางเกงแล้วหยิบปลายเสื้อไปเช็ดน้ำตาให้เธอแทน