ตอนที่3 ไม่ชอบผมหรอ แล้วแต่คุณเลยวุ้ย
กริ๊งๆ!
อื๊ม~
ร่างบนโซฟาขยับอย่างเกียจคร้านหลังได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังระงมและไม่มีท่าทางจะหยุดลงถ้าเจ้าของห้องไม่ตื่นไปปิดมัน
กริ๊งๆ!
ร่างใต้ผ้าขยับบิดไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ต่อเสียงนั้นแล้วดึงผ้านวมมาคลุมโปงเพื่อกลบเสียงรบกวนนั้นต่อ
กริ๊งๆ!
“โว้ย ยอมแล้ว ตื่นแล้วก็ได้วะ!” สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไอ้เครื่องส่งเสียงรบกวนนั้นแล้วลุกขึ้นมาอย่างไม่สร่างเมานัก
ร่างโงนเงนขยับมือมายีตาแล้วเดินไปปิดนาฬิกาปลุกทันที
เวลาตี5:40น.
เป็นเวลาที่ผมไม่มีวันตื่นเด็ดขาด แต่ช่วยไม่ได้ ร่างกายเจ้าตัวดูจะสนองตื่นตัวเวลานี้ หรือก็คือเวลาตื่นนอนของเดวาตามปกติ
ผมค่อนข้างเอือมเล็กน้อยกับอาการร่างกายตอบสนองไปตามความต้องการ หรือก็คือมันไม่ใช่ร่างกายของผมนั้นแหละ
คงต้องย้อนไปตอนที่คุยกับรุ่นพี่เมื่อวานก่อนหรือก็คือคืนวันศุกร์ที่งานเลี้ยงคณะ หลังคุยกันต่ออีกนิดผมก็ตัดสินใจโบกมือบายขอกลับก่อนไม่รอจีนตามที่เธอขอ แล้วผมจะรอเธอไปทำไมในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเธอให้รอตอบคำถามที่เธออยากรู้
ซึ่งผมดันไม่อยากตอบ การชิ่งหนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่เดียว ถึงยังไงผมก็ไม่ได้ดื่มอยู่ดี เนื่องในที่จีนบอกทุกคนว่าเดวามันคออ่อนแค่ไหน
ขากลับผมก็เลยแวะซื้อเหล้ากลับมาอีกลังพร้อมกับสปายและอาหารแช่แข็งเล็กน้อยกันหิว
วันอาทิตย์ถัดมาผมก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องพร้อมกับกระดกเหล้ายอมใจไปด้วย ผมต้องยอมรับว่าเครียดในเรื่องที่เจอจริงๆ เชื่อเถอะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนทำใจได้เร็วเหมือนทำเป็นว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ เห็นอยู่ตำตาว่ามันไม่ใช่ตัวเอง ยังจะมาหลอกตัวเองได้ลงได้ไง
อ่า แล้วผมก็กลับมาสูบมันจริงๆ ผมเดินผ่านผงบุหรี่มากมายที่กองตามพื้นห้องกับสภาพเละเทะของขวดเหล้าและซากอาหาร
สุดท้ายผมก็ตื่นขึ้นมาในวันจันทร์และพบว่า มันคือความจริง ผมยังคงอยู่ในร่างเดวา เด็กสายศิลป์ที่มีพ่อแม่เป็นทูตและพี่ชายเป็นจิตกรหนุ่มผู้มากประสบการณ์ อายุ 19 หน้าตาธรรมดา ส่วนสูงหาได้ทั่วไปไม่เตี้ยแต่ก็ไม่สูงเท่าไหร่ ชอบภาษาและฝันอยากจะเป็นทูตเหมือนพ่อกับแม่
ชีวิตวัยรุ่นมันก็แบบนี้แหละ เชื่อเถอะว่าโตอีกหน่อยจะรู้ว่าความฝันมันไม่ได้สวยงามเสมอ ไอ้หนุ่ม
ผมกระตุกยิ้ม และอดขำออกมาเบาๆไม่ได้ ไดอารี่เล่มนั้นทำให้ผมได้รู้จัดเดวาเพิ่มขึ้นเยอะทีเดียว
มันอยู่ใต้หมอนบนเตียงนอนของเดวา มันทำให้รู้ว่ารักแรกพบใสใสมันมีอยู่จริง เดวาแอบชอบคนที่ชื่อริวตั้งแต่มัธยม คงจะเรียนจากที่เดียวกัน แต่ด้วยความที่ไม่มีความกล้า เลยไม่ลงมือทำอะไรสักที
จนเรียนจบก็ยังคงเป็นได้แค่คนรู้จัก แต่สุดท้ายไม่รู้เป็นไงมาไง ในไดอารี่ไม่เขียนไว้ เจ้าตัวยอมขัดใจแม่เพื่อเข้ามาหาลัยที่อยากเรียน แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ว่าจะเจอกับริว คนที่แอบชอบมาตลอดสามปี ถ้ารวมปีนี้ก็หน้าจะสี่แล้วมั้ง
แต่นิสัยเดิมๆก็ไม่เคยหาย ไม่กล้ายังไงก็ไม่กล้ายังงั้น เหมือนถ้าริวเดินซ้ายเดวาจะเดินขวา ถ้าริวเดินหน้าเดวาจะหลบให้ หรือคงพยายามเลี่ยงมาตลอดนั้นแหละ
คิดตามเนื้อความในไดอารี่แล้ว เด็กนี้แม่ง…. เฮ้อ ผมก็ไม่อยากวิจารณ์ความคิดของคนอื่นหรอก แต่จะเอาคนอื่นมากำหนดชีวิตตัวเองทำไมวะ
ถ้าชอบมันก็บอกไปตรงๆหรือไม่ถ้ามันไม่ชอบก็จะได้รู้กันไปเลย ไม่ใช่อันนั้นก็ไม่ทำอันนี้ก็กลัว
ผมก็ได้แต่ส่ายหัวมืนๆ เพราะจากการดื่มขวดเดียวก็น็อคคาที่ ก็พอรู้ว่าถึงแต่ก่อนจะสายแข็งแค่ไหน แต่ร่างใครก็ควรรับสภาพไปตามระเบียบ
หยิบเสื้อผ้าอาบน้ำสักพักก็เปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษาที่ดูดีขึ้นมาหน่อย
จะว่าไปแล้ว….
ผมหยิบแอปพลิเคชันดูพิกัดมหาลัย มันมีในแผนที่ตามปกติ แต่มันเป็นที่ที่ผมไม่เคยเห็นจากแต่ก่อน ตรงถนนนี้เส้นนี้ผมจำได้ว่ามันเป็นห้างเล็กๆและมันไม่เคยมีมหาลัยอย่างแน่นอน ผมกำลังสงสัย….
ว่าผมอยู่ในโลกเดียวกับตัวเองเมื่อตอนก่อนตายใช่หรือเปล่า…..
คุณคิดยังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้ผมถึงมหาลัยโดยสวัสดิภาพแล้ว ขับวนไปมาตามเส้นทางในพิกัด ซึ่งมันไม่ได้ไกลจากหอสักเท่าไหร่ แต่เป็นผมเองที่ขับวนไปวนมา
กว่าจะมาถึงก็เกือบเจ็ดโมงเข้าให้ สุดท้ายเลยต้องเดินเข้าโรงอาหารและแวะซุปเปอร์ซื้อยาแก้แฮงค์ นมสักกล่องกับหมากฝรั่งกินดับกลิ่นบุหรี่จากเมื่อคืน
จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเดวาที่ใสใสสูบบุหรี่เป็นแถมหนักด้วยจากสภาพเมื่อคืน
ผมเดินลัดเลาะมาตามข้างอาคารโรงอาหารทะลุมาถึงโรงจอดรถที่ผมพึ่งจอดไปแล้วกะจะเดินเลยไปถึงอาคารคณะอักษร
“อ้าว เดวานิ มาเร็วตามเคยนะ”
ผมหันไปพยักหน้าให้เป็นการทักทาย ซึ่งใครก็ไม่รู้รูปร่างสูง….
สูงกว่าตูนะ ไม่ต้องถามว่าสูงเท่าไหร่ คิดแล้วเซ็ง
หน้าตาดูเป็นมิตร ส่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย
“กำลังจะไปคณะใช่ป่าว เราเรียนห้องเดียวกันนี้ไปทางเดียวกัน”
อาหะแล้วไง
ผมก็ยังคงพยักหน้าแล้วเลิกคิ้วสงสัย
แล้วไงไอ้หนุ่ม จะพูดอะไรก็รีบพูดมา
“ปะ...ไปด้วยกันไหม”
เออก็แค่นั้น ทำไมต้องก้มหน้าแล้วเกาคอด้วยฟะ
“ก็ไปดิ ทางเดียวกันประหยัดน้ำมัน” ผมก็ว่าไปนั้น ไม่ได้ขึ้นรถสักหน่อย แค่มุขนะไอ้หนุ่ม เด็กเกรียนเขาใช้กัน
“จริง ไว้เราค่อยไปด้วยกันนะ”
อีกคนดันตบมุกผมซะได้แถมเอามือมาตบบ่าแหมะๆเป็นการทำตัวเนียนมาสนิทสนม
“ก็แค่มุขกากๆ” ผมพึมพำเบาๆ หวังว่ามันคงไม่ได้ยิน
“หะ เดวาว่าไงนะ”
อีกคนดันหูดีซะนี้ แต่คงดีไม่พอ
“อ่อเปล่า แค่คิดว่าวันนี้อาจารย์จะสอนอะไร” ผมว่าอย่างไม่สนใจเท่าไหร่ ก่อนจะเดินเข้าลิฟท์อย่างเลี่ยงจะต่อความ
“เรื่องต่อจากบทที่แล้วไง เนื้อหาบางอย่างเราก็ยังไม่เข้าใจ ไว้ถึงห้องช่วยอธิบายให้หน่อยนะ” อีกคนเดินตามเข้ามาในลิฟท์แล้วยังชวนคุยไม่เลิกลา
ผมคงต้องกลับไปเข้ายิมแล้วสินะ แต่ก่อนวิศวะต่อยตีเป็นเรื่องปกติ ผมที่เป็นสายเปิดมักจะโดนขวดเหล้าไม่ก็ไม้เบสบอลเป็นแผลกลับบ้านบ่อยๆ หนักสุดก็เข้าโรงบาล จริงแล้วมันเรียกว่าแผลลูกผู้ชาย ผมไม่ใส่ใจมันนักหรอก
ผมแค่คิดว่าจะกลับไปเรียนเอากล้ามเนื้อสักหน่อย ไว้เจอไอ้พวกหน้าม้อจีบได้แม้กระทั้งเพศผู้ได้ ค่อยต่อยปากมันแล้วกระทืบสักทีสองทีให้มันเข็ดไปอย่าได้ส่ายหางหน้ารำคาญนั้นใส่ผมอีก เหอะ
แต่ช่วยอย่าวกเข้าเรื่องเรียนจะได้ไหม ไอ้ที่เมิงอยากชวนคุยนั้นนะ มันเป็นโคตรปัญหาที่ตูยังเอาตัวเองไม่รอดเลย
“เราว่า….” คิดดิๆ คิดให้ออกไอ้เชนทร์ มันจะให้มึงสอนภาษานะเว้ย
ติ๊ง! ยังไม่ทันที่จะได้ตอบประตูก็เปิดออกพร้อมกับรับเพื่อนเพิ่มก่อนขึ้นชั้นหก อันเป็นห้องเรียนของวันนี้
“อ่อ” เดดแอร์อีกครั้งเมื่อเจอคนที่ดูไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเมื่อวันก่อน และใช่ไอ้เสื้อดำ คนที่เดวาแอบชอบ
“จะไปไหมครับคุณริว ชั้นหกใช่ไหมรีบเข้ามา” ริวที่ดูลังเลอยู่เหมือนจะเข้ามาแต่ก็นิ่งไปแล้วยังคงสบตากับผมอยู่แล้วเลี่ยงไปอีกสักพักก็ก้มดูนาฬิกา
“ไปก่อนเลย ว่าจะลงไปหาอะไรกินที่โรงอาหาร” อีกคนโบกมือแล้วหันหลังเดินลงบันไดหนีไฟไป
ผมที่ยืนนิ่งอยู่ก็ยังคงนิ่งอยู่เหมือนเดิม นี้หน้าตาตูไล่ผู้คนขนาดนั้นเลยรึ
ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวอย่างลืมตัวแล้วหันไปเลิกคิ้วเป็นการหาผู้สุมหัวด้วย
“ริวเขาไม่ชอบผมหรอ” อดไม่ได้จริงๆที่จะถามออกไป แม่งมันให้บรรยากาศแบบนั้นจริงๆนี้หว่า
“อ้อไม่ใช่หรอก ไม่ใช่แน่นอน” เพื่อนใหม่ไม่ได้ตอบอะไรมากกว่านั้น เพียงแค่เปลี่ยนจากกดเปิดลิฟท์รอเป็นกดปิดแล้วเลือกชั้นหกอีกที
แล้วตกลงนายชื่ออะไรวะ
ยังไม่รู้ชื่อกันเลยวุ้ย
ผมเบะปากในความขัดใจนี้ไม่ไหวแล้วเดินตามเพื่อนใหม่ไปเข้าห้องเรียนที่ยังคงปราศจากผู้คน
ใจจริงผมไม่อยากจะมาเร็วหรอก แต่ก็นะอยากจะมาสำรวจมหาลัยก่อนแต่ก็กลัวหลงมาไม่ทันเรียนแล้วจะกลายเป็นเข้าสายเสียเปล่า
ไว้พักหรือชั่วโมงว่างค่อยเดินดูมหาลัยก็ไม่สาย
พอถึงห้องผมก็เลือกนั่งโต๊ะหลังสุดตามนิสัยแล้วหยิบสมุดโน๊ตของเดวามาอ่านฆ่าเวลา เจ้าตัวจดรายระเอียดเกี่ยวกับภาษาไว้มากมายระเอียดยิบ ผมก็อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พอฆ่าเวลาให้คนโง่ๆพอมีสมองขึ้นมาได้บ้าง ถึงศัพท์เฉพาะบางคำเจ้าตัวจะเขียนเพื่อให้ตัวเองเข้าใจเองก็เถอะ ผมก็คงดำน้ำเอาได้
“ไหนว่าจะช่วยอธิบายให้ฟังไง” หนังสือภาษาถูกกางออกแล้วเจ้าตัวยังคงพยายามยัดเยียดให้ผมอธิบายภาษาอังกฤษให้ฟัง
ผมเลยปิดสมุดโน๊ตลงแล้วฟุบหน้าลงโต๊ะ
“อยากนอนอย่ามากวน” จบแค่นั้นแหละ แล้วอย่ามาหาว่าเดวาใจร้าย
หลังจากนั้นเสียงคนข้างๆก็เงียบลง คงไม่อยากรบกวนเวลานอนของผมเท่าไหร่ ก็ยังพอมีมารยาทอยู่บ้างละ
จากที่จะแกล้งหลับหนีปัญหา ผมก็เลยเผลอหลับจริงๆเสียได้