ตอนที่2 อยากบอกให้โลกรู้ว่าตูเหนื่อยเพียงใด เหอะ
เสียงดนตรีอึกกระทึกครึกโครมรอบทิศทาง หันไปทางไหนล้วนเจอแต่ขาแดนซ์กัน รอบข้างแลดูมีชีวิตชีวา และใช่ผมถึงผับแล้ว
หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงในการขับรถหาร้าน สำหรับเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยกับแผนที่ที่ไม่เคยเจอ ผมยอมรับว่าใหม่มากสำหรับหลายๆเรื่อง อีกทั้งเดวามีรถขับเองนี่คงเป็นข้อดีอีกเรื่องที่ผมต้องจดไว้ ถึงจะไม่ใช่บิ๊กไบค์แบบที่ผมชอบแต่มินิคูเปอร์สีดำแดงก็พอถูไถไปได้
ต้องยอมรับในการเปย์ลูกของคนบ้านนี้จริงๆ แค่ปี1ก็ซื้อรถให้ลูกขับแล้ว กว่าผมจะได้บิ๊กไบท์คันนั้นต้องอ้อนแม่แล้วอ้อนแม่อีก ได้อีกทีปี3จะขึ้นปี4แล้วโน้น ที่ให้นี้ก็ไม่ใช่เพราะอยากให้อะไรหรอก แค่ปี4ไม่มีหอในให้พักแล้วต้องย้ายมาอยู่หอนอกกับเพื่อน ค่ารถเดินทางไปกลับมหาลัยเลยเพิ่มขึ้นอย่างใจหาย
ท่านแม่ผู้ขี้งกเลยยอมเจียดเงินมาซื้อรถดีๆให้ลูกชายขับสักที เฮ้อ แค่คิดแล้วก็ใจหาย ไม่รู้สภาพตอนชนไอ้แดงลูกรักจะเป็นยังไง อยู่กับมันมาได้ไม่กี่เดือน มาจากกันซะแล้ว
ตุ้บ
โอ้ย!
เหตุการณ์แอคซิเดนเกิดขึ้นทันทีหลังจากผมที่เดินคิดอะไรเพลินๆชนเข้ากับใครไม่รู้กะทันหัน
อ่า ยอมรับว่าผมมันผิดเองที่เดินไม่ได้ดูทาง แต่ไอ้คนที่ล้มน่ะมันผมนะเฮ้ย
คนเต้นใกล้ๆพลันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทุกคนกวาดสายตามองมาที่เราสองคน(ซึ่งใครไม่รู้) ผมได้แต่หันไปหาไอ้ที่มาของจุดสนใจและคนทำให้ผมที่อุตสาห์ชนก่อนกระเด็นแทนได้
“เป็นอะไรไหม เดวา?” อีกคนดูเหมือนจะรู้จักผม แถมด้วยการยื่นมือมาช่วยดึงอีกแรง
“อาหะ เห็นอยู่จะถามทำไม” ผมได้แต่เบะปากในใจ แล้วยื่นมือไปจับเพื่อลุกต่อ
“เปล่า ปกติไม่ค่อยเห็นนายตามงามพวกนี้เลยแปลกใจ” อีกคนว่าแล้วจูงมือผมพาเดินผ่าดงคนมุงให้หายใจสะดวกหน่อย
“หรอแล้วปกติฉัน… เราไม่ดิ ปกติผมเป็นคนยังไง” ให้เนียนสิวะ ใครไม่รู้แต่เขาดูรู้จักผมก็จะเนียนไปก่อนแล้วกัน
“ปกติหรอ ไม่รู้สิไม่ค่อยได้คุยเท่าไหร่” มือหนาที่จับอยู่ก็ปล่อยทันทีแล้วเกาหัวครุ่นคิด
ผมค้านจะสนใจเลยหันไปหาแหล่งที่ผมพอจะไปสถิตอยู่ได้ และไม่ไกลจากตรงหน้าผมพอดี มีสาวกวักมือเรียกไวๆ ให้ไปหา
ผมได้แต่เอามือชี้ตัวเองแล้วทำหน้าคำถามประมาณ ‘เรียกผมใช่ไหม’
“เดว มึงนั้นแหละรีบมานั่งข้างๆกูเลยจองไว้ให้แล้ว”
สาวเสื้อฟ้าตะโกนเรียกผม ผมมั่นใจว่าเธอเรียกผมแน่ในชื่อเดว หรือเธอจะเป็นจีน
ผมเก็บข้อมูลไว้ในใจเล็กน้อยแล้วจึงเดินไปนั่งข้างๆเธอ
“ว้ายยย วันนี้ฝนจะตกหรือเปล่าวะ เดวมางานเลี้ยงด้วย” สาวอีกคนใส่ชุดสีแดงหันมาแซวเล็กน้อย
“แปลกใจเหมือนกัน แต่ก็ดี! เอ้ามาชนให้วันเปิดโลกใหม่ของน้องเดวหน่อยเร็วววว”
“ชน!!” ผมว่าพวกเขาหาเรื่องชนแก้วกันมากกว่า…..
เวลาได้ล่วงเลยมากว่า5ทุ่มในการสถิตอยู่โต๊ะนี้ ซึ่งมีจีนที่นั่งข้างๆผมสาวเสื้อฟ้านั่นแหละ สาวเสื้อแดงชื่อหวานหวาน ที่เหลือเป็นรุ่นพี่ที่ชื่อเก้ากับเพื่อนคณะเดียวกันชื่อหินกับน่านน้ำ
ส่วนไอ้คนมาส่งผมนะหรอ พอผมนั่งโต๊ะปั๊บ หันไปก็หายหัวไปเลย ไม่ทันได้ขอบคุณด้วยซ้ำ
“เออใช่” จีนที่นั่งข้างกันหันมาสะกิดผมไวไว ผมที่กำลังกินน้ำโค้กต้องชะงักรอแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม
“มึงมากับใคร ถึงแสงในร้านมาจะสลัวแต่ตอนนั้นกูว่าไม่ผิดแน่ กูก็นึกอยู่ว่าเสื้อดำน่ะมันใคร” ใครล่ะแม่คุณ บอกผมมาเลยครับ ผมจะไปรู้จักใครได้ล่ะวะ
ผมพยักหน้าเป็นเชิงให้พูดต่อดิตูฟังอยู่ แล้วหวานก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงแหลมหู....
“โอ้ย นึกออกแล้วเมื่อกี้เป็นเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำเห็นเสื้อดำนั่งอยู่กับเขม ริวไงไอ้เดวมันเดินมากับริว” ผมหันไปหยิบกับแกล้มมากันแล้วพยักหน้าเบาๆอยู่คนเดียว ไอ้คนที่ผมเดินมาด้วยชื่อริวหรอ ครั้งหน้าจะได้ขอบคุณถูก
“กรี๊ด!!” ผมสะดุ้งแทบตกจากโซฟาแก้วน้ำโค้กผมกระเซ็นหกไปเกือบครึ่ง
จีนอยู่เฉยๆก็กรี๊ดออกมา ผมยอมรับว่าแต่ก่อนคลุกคลีกับสาวๆก็จริง แต่ไม่ใช่แนวเป็นเพื่อนของพวกเธอ เพราะส่วนใหญ่จะเจอกันบนเตียงไม่ก็เที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่น ก็ผมหล่ออะนะ จะมีสาวเข้ามาแย่งกันใช้ก็ไม่แปลก
คิดแล้วก็เซ็งขึ้นมาเลย ไอ้คนที่ผมมาสิงนี้สูงแค่170ต้นๆแถมไม่มีกล้ามเนื้อเหมือนคนขี้โรค ร่างกายเลยดูบอบบางไป
“เดว! มึงจะมานั่งมึนลอยไปลอยมาไม่ได้ ไหนเล่าสิว่าไปทำไรเขาถึงมาส่ง” จีนรีบเขย่าแขนผมอีกให้ผมที่นั่งมึนอยู่หันไปสนใจ ผมต้องหันไปหาความเห็นใจจากรุ่นพี่ที่นั่งตรงข้าม
พี่แกก็เพียงยกเหล้ามาดื่มแล้วส่ายหัวประมาณ 'เรื่องนี้พี่จะไม่ยุ่ง' ไล่สายตาไปหาเพื่อนชายร่วมคณะอีกสอง มันก็เสื-กอยากเข้าห้องน้ำกันแล้วสะบัดตูดหนีทันที
ผมได้แต่หันมาถอนใจแล้วกวาดสายตามองสองสาวที่ดูอยากสนใจเรื่องของผมขึ้นมา
“ผม …”
“มึงไม่เคยแทนตัวเองว่าผมซะหน่อย” จีนขมวดคิ้วแล้วจ้องเข้ามาในตาของเขาอย่างต้องการคำตอบ
“โอ้ย จะแทนตัวเองว่าอะไรก็ช่าง มึงให้มันเล่าก่อน” หวานแทรกขึ้นอีกทีทำให้จีนต้องล่าถอยไป
ผมโล่งอกอย่างกับยกภูเขาออกมาได้ แล้วเริ่มเล่าเรื่องที่ว่า
“เราเดินเข้าร้านมาแล้วเดินชนกับ …. ริว เออริวนั้นแหละ แล้วมันก็เลย เอ้ย เขาก็เลยมาส่งที่โต๊ะก็แค่นั้น” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจ อะไรก็แค่เรื่องผู้ชายที่พวกเธอชอบเขาเดินมาส่งเพื่อนร่วมคณะ
จะพูดอีกทีก็คือทั้งหมดในร้านนี้ถูกเหมาไว้สำหรับคณะอักษรฯที่จะมาเลี้ยงกันในคืนนี้ โดยของรุ่นพี่ปี4รวมตังค์กันจ่าย แล้วคณะอักษรฯทั้งหมดก็มารวมกันที่นี่ โซนวีไอพีด้านบนคืนส่วนของรุ่นพี่ปี4 ที่เหลือด้านล่างให้น้องปี3ปี2แล้วก็รุ่นน้องปี1ที่พึ่งเข้ามาสู่โลกของหาลัย
ตุ้บ!
“จะบ้าหรอวะ! แค่หรอ นั่นคนที่แกอยากจะคุยด้วยตลอดแถมขี้อายเกินจนไม่กล้าคุยด้วยนะเว้ย” ผมสะดุ้งอีกที กับน้ำเสียงที่ดูจริงจังขึ้นมาของจีน
ผมได้แต่ร้องวอทๆในใจ อะไร ทำไม ตูต้องทำท่าดีใจขนาดไหนฟะในการได้เดินกับไอ้เสื้อดำหน้าหล่อนั่น
ผมได้แต่ทำหน้างง ไม่รู้จะตอบยังไงต่อเลยตู แอบวางแก้วน้ำโค้กเงียบระหว่างที่เธอดูวุ่นวายกับโทรศัพท์อยู่คนเดียว
“เดี๋ยวกูมา ห้ามหนีไปไหนนะยะ!” จีนหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางคุมคามอีกทีแล้วเดินไปทางหลังร้าน
เหล้าแม่งก็ไม่ได้ซด! ยังจะมาอะไรกับตูมากมายครับสาวๆ
“ไหนอะไรยังไง เล่าสิหวานก็อยากรู้” สาวอีกคนย้ายที่มาใกล้ผม แหมะถ้าเป็นเมื่อก่อนผมไม่รอรีที่จะกอดเอวเธอไว้แล้วหยอดคำหวานนิดหน่อยแล้วชวนเธอไปต่อ แต่ดูจากน้ำเสียงกับท่าทางแล้วเธอคงไม่ได้พิศวาสผมแต่คงอยากรู้เรื่องผมกับไอ้เสื้อดำนั่นมากกว่า
ผมเลยส่งสายตาแห้งแล้งไปให้เธอแล้วหันไปหยิบขนมมากินเลี่ยงจะตอบ
จะให้ตอบยังไงละ ผมจะไปรู้รึว่ามันเป็นมายังไง เหอะ
“อะแห่มๆ น้องหวานอย่าไปอะไรกับเดวาเลยมานี่มา ชงเหล้าไปแจกคนกลางฟอร์มดีกว่า” รุ่นพี่เก้าหันไปมองกลางฟลอร์เต้นที่ผู้คนเต้นกันเหมือนได้ปลดปล่อย และบางคนดูจะอาการหนักจนเพื่อนต้องหามกลับโต๊ะ ต้องขอยอมรับว่า บรรดาเด็กศิลป์เวลาเขาเรียนก็ดูอินดี้ดีนะ แต่พอมาเห็นพวกเขาปล่อยตัวเต้นกันเหมือนผีเข้าแล้วผมก็อดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
แม่งบ้าจริงว่ะ สายนี้มันแหล่งรวมคนฮาเอาไว้ด้วยกันใช่ไหมวะ
“ฮึย ไม่สนุกเลย ไปโต๊ะยัยแพรวละ” เสียงแว่วๆของหวานพูดต่อแล้วเธอก็หยิบแก้วสปายแล้วเดินหายไปในฝูงชน
ผมที่ทำเป็นไม่สนใจแต่แรกก็หันมายิ้มให้พี่เก้าเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
“ขอบคุณนะครับที่ช่วย” ใจจริงผมอยากจะพูดไปว่า ขอบคุณนะเว้ยพี่ที่ช่วยไว้ แต่แม่งหันไปเจอหน้าที่ดูจะเอ็นดูที่พี่เก้าแล้วก็หยาบไม่ออก แม่งเดวามันสุภาพนี้หว่า จะมาใช่แนวผมได้ยังไง เหอะๆ
“ไม่เป็นไรๆ นานทีเดวาจะมางานเลี้ยงที จะหาเรื่องให้น้องอึดอัดใจไปทำไม” ผมพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง แม่งอุส่ามาเที่ยวยังจะถามเรื่องที่ชวนให้ไม่อยากตอบ(?!)อีก
“แล้วริวกับเดวานี่ยังไงนะ”
อ้าวพี่เก้าไหนเมื่อกี้ยังคุยกันดีอยู่เลย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี้หว่าาาา
“แหะๆ พี่ก็ไปเชื่อจีนมัน ไอ้เสื้อดำ เอ้ย ริวก็เพื่อนในคณะคนนึงนั่นแหละ ผมไม่ได้อะไรอยู่แล้ว”(ผมไม่ได้อะไรกับเพศผู้อยู่แล้วอะนะ)
“ไม่ต้องคิดมากหรอก บอกพี่ได้ เรื่องวันนี้จะเป็นความลับแค่เราสองคน” อยู่ดีๆไอ้พี่เก้าก็ก้มมากระซิบเบาๆแล้วขยิบตาให้หนึ่งที
ไอ้ท่าทางแบบนี้ต่างหากที่ผมไม่ควรไปเชื่อ เหอะให้ตายสิ
“ไม่เป็นไรๆ ผมบอกไปแล้วก็ตามนั้น”
“อ๋อหรอ อ้าวไอ้ริวมาได้จังหวะพอดีมาๆ เหล้าเข้มๆสักแก้วก่อนไป” ผมนี้หันควับไปดูแทบไม่ทัน แล้วก็เจอกับเสื้อดำเจ้าเก่ากำลังเดินผ่านไปพอดี เจ้าตัวดูงงไม่น้อย
“ไม่ล่ะพี่ ผมว่าจะกลับแล้ว” เขาเหลือบมาเห็นผมแล้วทำท่าจะเดินต่อ
วอท อะไรคือมองเนือยๆแล้วเบือนหน้าหนี ตูไปทำอะไรผิดไว้ว่ะนั้น ก่อนหน้าก็ยังคุยกันดีนี้
“เอาหน่า มาสักแก้วก่อนกลับ”
“ผม..”
“เขาไม่อยากกินก็ปล่อยเขาไปเถอะพี่ มาผมกินเอง”
ก็เห็นอยู่ว่าเขาไม่อยากกิน พี่จะไปบังคับเขาทำไมฟะ
ผมเลยคว้าเอาเหล้าเข้มๆในมือพี่เก้าแทน
ยังไม่ทันที่ผมจะยกดื่ม ไอ้คนด้านหลังก็ฉวยแก้วในมือไปไวจนผมยังไม่ทันตั้งตัว รู้อีกที
ตุ้บ!
ก็เหลือแค่แก้วเปล่าไปแล้ว….
เพื่อนนน มันเข้มมากนะนั่นนายกินไปได้ยังไง
ผมรีบหันไปมองหน้าริวด้วยความไว แต่อีกคนก็หันหน้าหนีไปแล้ว
“แค่นี้ใช่ไหม ผมกลับละ” ดูเขาไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่กับผมนะ
ผมได้แต่หันไปขอความเห็นจากพี่เก้าด้วยความงง
“พี่ว่าเขาหงุดหงิดอะไรหรือเปล่า”
พี่เก้าก็แค่หันมายิ้มให้ผมอย่างนึกสนุก
“ไว้ว่างๆจะแวะมาหานะ” แล้วก็เสื-กเอามือมายีผมตูเหมือนหมาอีก
“ผมไม่ได้ต้องการคำตอบแบบนั้น”(นะเฟ้ย)
ผมปัดมือออกทันทีอย่างรำคาญ นี้ตูต้องงมให้เนียนในดงคนแปลกหน้าอีกนานเลยสินะ