ตอนที่ 3 ดาวฟู้ดด้า (3)
ตอนที่ 3 ดาวฟู้ดด้า (3)
บนยานสำรวจขนาดเล็กหากแต่ทันสมัยและครบถ้วนด้วยเครื่องมือ นักสำรวจทั้งห้าช่วยกันขนข้าวของอุปกรณ์ต่างๆขึ้นมาจบครบแล้ว ก่อนจะเริ่มออกเดินทางออกจากดาวฟู้ดด้าทันที เพราะตอนนี้มีเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงพักผ่อนรอให้พวกเขาไปส่งอยู่
“ไงน้องชาย เป็นไงบ้างไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เสียงของเทียนอี้ดังขึ้นทำให้ในห้องพักที่เพเนียสกำลังนอนพักแต่ยังไม่ได้หลับคลายความเงียบเหงาลง เทียนอี้อาสาเข้ามาพูดคุยกับเจ้าเด็กนักเรียนนี้เอง และตามมาพร้อมสเตเฟียหญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่มที่พอจะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายได้บ้าง
“ผมไม่เป็นไรครับ” เพเนียสเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มกลับไปให้
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กินยาสักหน่อยเถอะ ดูจากอาการแล้วอีกไม่นานนายคงเป็นไข้และเจ็บปวดร่างกายเป็นแน่ แล้วก็พี่ขอฉีดยาฆ่าเชื้อฉุกเฉินให้เราด้วยเลยนะ” สเตเฟียไม่เห็นด้วยก่อนจะคะยั้นคะยอให้กินยาลงไปก่อน ซึ่งเพเนียสก็เป็นเด็กว่าง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยาสองเม็ดคนละชนิดกันก็ถูกเขากลืนลงท้องไปพร้อมน้ำอีกแก้วทันที หลังนั้นที่เขากินยาไปแล้วสเตเฟียหยิบซองหมุดออกมา ตัวหมุดฉีดยาสีเงินขนาดเล็กกว่านิ้วก้อนที่มียาอยู่ด้านในถูกแทงเข้าไปในใต้ผิวหนังของเพเนียสความเจ็บเพียงมดกัด
“ว่าง่ายๆ แบบนี้สิ ถึงจะเป็นเด็กดีหน่อย” สเตเฟียว่าขึ้นยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือไปลูบผมสีขาวที่มีฝุ่นดินติดจนขมุกขมัวไปบ้างของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“นอนพักเถอะ” และเธอก็ค่อยๆพยุงเขานอนลงอีกครั้ง พร้อมห่มผ้าห่มอย่างดีที่กักเก็บความอบอุ่นให้อีกด้วย ช่วงนี้ที่ไหนๆ ก็หนาวทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ที่ดาวดวงนี้ แต่ดีหน่อยที่นี่ถ้าเทียบกับดาวดวงอื่นไม่ค่อยจะหนาวเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นเธอไม่อยากจะคิดเลยว่าคนตรงหน้าอาจจะหนาวและแข็งตายไปแล้วก็ได้ และยังดีที่เสื้อผ้าของเพเนียสยังอยู่ครบมันเลยกันหนาวได้ดีทีเดียว
“พี่พูดแบบนี้ อย่างกับพวกที่ชอบเลี้ยงเด็กๆ อย่างนั้นแหละ” เทียนอี้พูดขึ้นที่เห็นท่าทางของรุ่นพี่สาวพูดดีกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นพิเศษ ทีกลับเขาล่ะบ่นตลอด
“นี่ เจ้าบ้า เอ็นดูแบบพี่น้องย่ะ” สเตเฟียได้ยินเช่นนั้นเป็นต้องเดินเข้าไปทำร้ายร่างกายรุ่นน้องร่วมทีมทันที
“โอ๊ยๆๆ ผมเจ็บนะ อ๊ะ จริงด้วย เรายังไม่ถามเขาเลยว่าเขามาจากดาวไหน” เทียนอี้หาทางเบี่ยงประเด็นให้รุ่นพี่สาวหันเหไปจากเขาทันที
“นั่นสินะ เราจะได้ไปส่งเขาถูกด้วย” สเตเฟียได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติ รีบหันไปให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มแทนทันที
“ว่าแต่เธอล่ะ ว่าจากดาวไหนกันเหรอ เราจะได้ไปส่งถูก” เธอถามขึ้นด้วยเสียที่อ่อนลงมามาก จนเทียนอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังต้องยิงฟันอ้าปากทำตาโตให้เธออย่างล้อเลียนและเป็นการสร้างบรรยากาศให้คนบนเตียงคลายความเครียดลงด้วย
“ผมมาจากดาวระดับบีที่ชื่อว่ากอซครับ แต่บ้านเกิดอยู่ดาวดีชื่อว่าทอลู” เพเนียสตอบ
“ให้พี่เดา คงจะไปเรียนที่ดาวบีสินะ” สเตเฟียถามกลับ
“ใช่ครับ”
“เฮ่อๆ ใครๆ ก็เดาได้หรอก ว่าคนจากดาวดีจะต้องเดินทางไปเรียนที่ดาวระดับอื่นน่ะ” เทียนอี้เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนดูจะภูมิใจที่เดาเรื่องออก
“เอ่อ ครับ แฮ่ๆๆ” เพเนียสได้แต่ขำแห้งๆออกมา ใครๆก็ต้องรู้ว่าเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ใครกันที่กำหนดว่าดาวระดับดีไม่ให้มีโรงเรียนระดับมัธยมปลายกันนะ ทั้งๆที่ก็มีคนอาศัยอยู่แท้ๆ ทำไมต้องให้ถ่อเดินทางไปเรียนที่ดาวอื่นด้วย ต้องเสียทั้งเงินต้องจากบ้านจากครอบครัวไปอีก
“เอ่อ พี่ไม่ได้ดูถูกดาวของนายนะ” เทียนอี้รีบออกตัวเพราะดูเหมือนเขาจะว่าอะไรผิดไป เขาไม่เข้าใจความรู้สึกคนที่มาจากดาวระดับดีหรอก แต่ก็ได้ยินมาบ้างว่ามันเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟมากกับการเอ่ยเรื่องดวงดาวและเอามาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะกับดาวระดับดีด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวัง แต่ว่าก็ว่าเถอะเรื่องแบบนี้ไม่ว่าจะผ่านมากี่พันปีแล้วเรื่องนี้ก็ยังถือว่าเป็นปัญหาอยู่ตลอดไม่หายไปไหน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชินแล้ว” เพเนียสว่าขึ้น แต่ท้ายประโยคก็ได้แต่พึมพำกับตนเองอย่างน้อยใจ บ้านเมืองเขาก็ว่ามันพัฒนาไปไกลแล้วนะ แต่ทำไมยังต้องแบ่งแยกและจัดสรรสิ่งต่างๆไม่เท่ากันอีก ไหนจะการบูลลี่ต่างๆที่คิดว่าเป็นเรื่องปกติอีก
“พูดแบบนี้เหมือนคนปลงตกเลยแฮะ” สเตเฟียอดจะว่าออกมาไม่ได้อย่างเห็นใจ
“เรื่องเด็กๆ น่ะครับ ไม่มีอะไรให้ใส่ใจเหรอ” เพเนียสว่ายิ้มๆไม่อยากให้อีกสองคนผู้มีพระคุณช่วยเหลือเขาไว้ต้องหนักใจกับเรื่องที่ตนพูด
“ก็ได้จ้ะ ว่าแต่จะให้เราไปส่งที่ไหนล่ะ” สเตเฟียถามอีกครั้ง
“ช่วยไปส่งผมที่ดาวทอลูด้วยนะครับ” ถึงเขาจะหยุดนิ่งเหมือนคิดไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกตอบสิ่งที่คิดมาแต่ตอนต้นอยู่ดี กลับบ้านเลยก็แล้วกัน เพราะอย่างไรข้าวของเขาเกือบทั้งหมดก็ถูกเขาส่งกลับบ้านไปแล้ว ที่นั่นเหลืองเพียงเสื้อผ้าอีกไม่กี่ชุดเท่านั้น
“เช่นนั้นพี่จะไปบอกหัวหน้าให้นะ เราจะไปดาวทอลูกัน” สเตเฟียว่าแล้วรีบเดินออกไปทันที เพราะเดี๋ยวก็จะเริ่มออกเดินทางกันแล้ว พวกเขาจะได้รู้ว่าต้องบังคับยานไปทางไหน
“นี่น้องชาย ว่าแต่ไปทำอะไรมากันแน่ถึงได้ถูกพามาทิ้งไว้ที่ดาวร้างแบบนี้” เทียนอี้ได้ทีรีบลากเก้าอี้มานั่งใกล้กับเพเนียสและถามออกมาอย่างสนใจทันที ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะพามาทิ้งถึงนี่ และก็ไม่ใช่จะมีโชคน้อยๆเลยนะที่จะมีคนมาพบได้แบบนี้และทันเวลาด้วย
“ผมมีเรื่องกับคนที่โรงเรียนมาน่ะครับ สู้ไม่ได้เลยสลบไป หลังจากนั้นก็ไม่รู้อะไรแล้ว ตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” เพเนียสเล่าออกมาแบบรวบรัดด้วยท่าทางเหมือนคนเข้าใจอะไรได้แล้ว เหมือนไม่ใส่ใจเรื่องที่ผ่านมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“อ้อ ความรุนแรงในโรงเรียนว่างั้นเถอะ” เทียนอี้พยักหน้าหงึกหงักเหมือนเข้าใจ
“ก็น่าจะประมาณนั้นมั้งครับ”
“แล้วแบบนี้ จะแก้แค้นเอาคืนหรือเอาผิดไหม” เทียนอี้เลื่อนหน้าเข้ามาให้เด็กหนุ่มและถามออกมาเสียงเบาเหมือนไม่อยากให้ใครได้ยินคำถามที่ชักพาให้เด็กทำตัวไม่ดี
“ฮ่าๆๆ พี่คิดว่าผมจะยังสู้ได้อีกหรอ”
“ก็นะ ถ้าให้พี่เดานะ คนคนนั้นจะต้องมียานส่วนตัวหรือไม่ก็ต้องเช่ายานบินเพื่อพานายมาที่นี่โดยเฉพาะเลยหละ แล้วแบบนั้นคนนั้นก็ไม่น่าจะใช่คนธรรมดา และไม่น่าจะจัดการอะไรได้ง่ายๆ” เทียนอี้วิเคราะห์ตามที่ดูจากรูปการ
“ก็น่าจะเป็นไปตามที่ว่านั่นแหละครับ” เขาพยักหน้าเห็นด้วย คนพวกนั้นก็เป็นคุณหนูคุณชายกันทั้งนั้น เขาซวยเองแหละที่เรียนไม่เก่งทำให้ต้องสอบได้คะแนนเท่านั้น ต้องอยู่ห้องกับพวกนั้นที่ดีแต่ใช้อำนาจคนที่บ้าน ถ้าเขาโง่กว่านี้ก็คงได้อยู่ห้องท้ายๆก็น่าจะมีคนแย่พอกันซึ่งก็จะเข้าใจกันได้ และถ้าหากเขาสอบได้เรียนห้องดีๆก็ได้อยู่ร่วมห้องกับคนที่สนใจแต่เรียน แต่ก็นั่นแหละก็แค่คำว่าถ้า
“พี่ว่านะ ถึงนายจะทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ แต่เก็บหลักฐานไว้ก่อนก็ดีนะ อย่างเช่นตรวจร่างกายเพื่อเป็นหลักฐานว่าถูกทำร้าย” เทียนอี้เสนอความคิด เขาเป็นคนที่ไม่ยอมใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ว่าครอบครัวเขาก็พอมีอิทธิพลอยู่บ้างเลยไม่ต้องกลัวใคร แต่เขาก็ไม่เคยกลั่นแกล้งหรือทำร้ายใครนะ มีแต่แกล้งเล่นกับเพื่อนกันเองไปมาในกลุ่มแค่นั้น
“เอ่อ เช่นนั้นเอาตามที่พี่ว่าก็ได้ครับ” เพเนียสไม่มีความคิดเห็น ได้แต่พยักหน้าเห็นตามด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจะได้ใช้ข้อมูลนี้จัดการคนพวกนั้นหรือเปล่าก็เถอะ เพราะว่าแค่หลักฐานบาดแผลจากร่างกายของเขา มันก็ไม่อาจะบ่งชี้ได้เสียหน่อยว่าใครเป็นคนทำ(เพเนียสดูถูกการทำงานของเจ้าหน้าที่เกินไปแล้ว)
-เชื้อโรคประจำถิ่น ในแต่ละดวงดาวจะมีเชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ที่แตกต่างกัน(ส่วนที่คล้ายหรือเหมือนก็มีเช่นกัน) โดยปกติมันจะไม่ก่อโรคในผู้คนในถิ่นนั้นๆ แต่หากคนต่างถิ่นที่พึ่งจะเดินทางเข้ามาใหม่ อาจจะมีอาการป่วยขึ้นได้ ซึ่งอาการที่เกิดจากเชื้อโรคประจำถิ่นก็มีตั้งแต่ จาม ไอ ไข้หวัด ท้องร่วง อาการแพ้ต่างๆ หายใจลำบาก เป็นต้น
-การเตรียมตัวเมื่อต้องเดินทางไปยังดวงดาวที่ไม่เคยไปมาก่อน ปกติจะต้องกินยาป้องกันเชื้อโรคประจำถิ่นก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หากว่าไม่ได้กินมาก่อนแบบเพเนียสจะต้องมีการฉีดยาฆ่าเชื้อประจำถิ่นฉุกเฉินทันทีเมื่อทำได้ และยานี้จะมีผลต่อร่างกายแค่ 5 วัน หากหลังจากนั้นถ้าได้เดินทางไปดาวอื่นอีก(ที่ไม่เคยไป)ก็ต้องกินยาต่อไป ซึ่งหากใน 5 วันเดินทางไปหลายดวงดาว(ที่ไม่เคยไปมาก่อน)ก็กินยาแค่ครั้งเดียวได้
-เดินทางทั่วทุกดวงดาวเพื่อรู้จักเชื้อโรคประจำถิ่น เป็นชื่อไฟล์บินกึ่งๆนำเที่ยว ที่จะพาลูกทัวร์เดินทางไปยังดวงดาวต่างๆเพื่อให้ร่างกายได้ชินหรือรู้จักกับเชื้อโรคของดาวนั้นๆ ซึ่งร่างกายจะปรับตัวกับเชื้อโรคถิ่นนั้นและจดจำได้ก็จะใช้เวลาอย่างน้อย 36 ชั่วโมง(จะใช้เวลานี้ทำอะไรก็ได้ กิน เดินเล่น นอนในห้องที่เปิดโล่ง เที่ยว) ดังนั้นแล้วการทัวร์ครั้งหนึ่งก็อาจจะใช้เวลาหลายวัน แล้วแต่ว่าจะไปทัวร์กี่ดวงดาว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่ดาวระดับต้นๆ ไปทัวร์ทีหนึ่งอย่างน้อยก็ห้า-หกดวงดาวได้ แต่ว่าจะกี่วันนั้นต้องนับเวลาการเดินทางต่างหากด้วย