9. น่ากลัวมากเลยเหรอ
“ขออนุญาตนะคะ ได้เวลาที่คุณหมอจะมาตรวจแล้วค่ะ” พยาบาลสาวเอ่ยแทรกการสนทนาของทุกคน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณน้า ผมมีนัดกับลูกค้าต่อ แล้วผมจะแวะมาเยี่ยมบ่อย ๆ”
“ขอบใจจ้ะ” บอกเสร็จเขาก็เดินออกไปทิ้งมารดาและเมธาวีไว้เพราะมารถคนละคัน
“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับคนไข้ ยังมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดอยู่มั้ย”
“มีแต่ไม่มากแล้วค่ะคุณหมอ”
“ดีครับช่วงนี้พยายามพักผ่อนให้มาก ๆ ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว ๆ ถ้าร่างกายคนไข้พร้อมเราก็จะเริ่มผ่าตัดทันที”
หลังคุณหมอตรวจอาการปิ่นอนงค์แล้วสามสาวคุยกันต่อสักพักก่อนขอตัวกลับให้คนป่วยได้พักผ่อน เมธาวีทำหน้าไม่อยากกลับ
“กลับกันก่อนเถอะลูกปล่อยให้เป็นหน้าที่ ของพยาบาลแล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาเยี่ยมกันใหม่” คุณหญิงแก้วฤดีบอกหญิงสาวที่มีสีหน้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไปเถอะลูก แม่ไม่เป็นไร อยู่บ้านคุณป้าเขาก็อย่าดื้ออย่าซนเชื่อฟังป้าเชื่อฟังพี่กรเขาให้มาก ๆ รู้มั้ย”
“รู้แล้วจ้ะ แม่ก็ต้องอดทนนะรู้มั้ย”
“อืม ไปได้แล้ว”
ขึ้นรถมาได้เมธาวีเอาแต่นั่งน่าเศร้ากลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่ให้ไหลออกมา คุณหญิงแก้วฤดีเห็นจึงดึงร่างบางเข้ามากอดปลอบ
“เดี๋ยวแม่ปิ่นของหนูก็หาย อย่าเศร้าไปเลยนะอยู่บ้านป้าหนูก็อยู่ให้สบายใจ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง” เธอปาดน้ำตาให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยน
“เมย์กลัวค่ะ”
“ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยหนูเมย์ต้องเข้มแข็งให้มาก ๆ ตอนนี้แม่ปิ่นของหนูต้องการกำลังใจจากพวกเรา เราต้องคอยเติมพลังให้แม่ปิ่นของหนูมีแรงสู้กับโรคร้ายนะลูก อีกอย่างหนูไม่ได้ตัวคนเดียว หนูไม่ต้องกลัวอะไร มีป้ามีพี่กรอยู่”
“ขอบคุณนะคะคุณป้า”
เธอปาดน้ำตาและฮึดสู้ถึงเสียใจ แต่ด้วยนิสัยที่เป็นคนเข้มแข็งและไม่ยอมให้ใครเห็นความอ่อนแอ เมธาวีจึงรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติให้เร็วที่สุด โชคดีเหลือเกินที่วันนั้นเธอได้เจอกับแก้วฤดีคนนี้ หากวันนั้นไม่เจอกันป่านนี้แม่ของเธอจะเป็นอย่างไร หญิงสูงวัยกว่าสังเกตเห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนเข้มแข็งคนหนึ่งเลย ถึงจะเสียใจแต่ไม่แสดงออกมาเก็บไว้เพียงคนเดียว
หลังจากเดินทางกลับจากโรงพยาบาลสองสาวต่างวัยกลับสู่บ้านหลังใหญ่เสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวดังออกไปถึงข้างนอก จนคนที่พึ่งกลับมาจากคุยงานได้ยิน ปกติแล้วบ้านของเขาจะเงียบมากเวลานี้มารดาของเขาก็ขึ้นห้องของตัวเองไปนานแล้ว ส่วนเขาไม่อยู่ที่ห้องทำงาน ก็อยู่ที่ห้องพักของตัวเองเช่นกัน การมีเมธาวีมาอยู่ด้วยรู้สึกว่าบ้านของเขาจะมีสีสันขึ้นมาเยอะเลย
“อ่าวกรทำไมกลับดึกจังลูก”
“มีประชุมด่วนครับคุณแม่”
“ทำไมแม่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“พอดีลูกค้าพึ่งติดต่อมาครับต้องการคำตอบด่วนผมเลยเรียกประชุมทีมเพื่อวางแผน เห็นว่าดึกแล้วเลยไม่ได้บอกครับ”
“กินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“งั้นก็ไปพักผ่อนเถอะแม่ไม่กวนแล้ว”
“ครับ” ปากพูดไปแต่สายตาเอาแต่จ้องหญิงสาวอีกคนที่เอาแต่ก้มหลบหน้าเขา
“หนูเมย์ก็ด้วยเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว วันนี้ขึ้นไปพักก่อนเถอะพรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อ”
“ค่ะคุณป้า”
คืนแรกของการมานอนบ้านคนอื่น เมธาวีนอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายชั่วโมงก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้
'โอ๊ยมาหิวน้ำอะไรตอนนี้เนี่ยยัยเมย์'
ปากบ่นแต่ก็ลุกขึ้นเดินลงไปหาน้ำดื่ม พอลงบันไดขั้นสุดท้ายได้มีเงาดำ ๆ หัวฟูโตโผล่มาตรงหน้า เมธาวีหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ ใช้สองแขนกำหมัดแน่นตีระรัวร้องโวยวายด้วยความตกใจ
“ว้าย ผี ๆ ๆ ๆ ๆ”
“โอ๊ย ๆ นี่คุณ หยุด หยุดตีก่อน ผมเอง” คนถูกตีก็ตกใจไม่แพ้กัน เขารวบมือทั้งสองข้างล็อกไว้ด้านหลังเธอด้วยมือเดียว
“ลืมตาแล้วดู ว่าคนไม่ใช่ผี”
“โอ๊ยให้ตายสิไอ้ลุงโรคจิตมายืนหัวฟูมืดๆทำไม เวลาปกติก็น่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ในที่มืดแบบนี้ ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก”
-ดูเธอซิขนาดตกใจอยู่ยังด่าเขาโรคจิตได้มันน่ามั้ย- บ่นเสร็จร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คุณนั่นแหละลงมาทำอะไร แล้วทำไมไม่เปิดไฟหรือกำลังแอบมาขโมยอะไร”
“จะบ้ารึไง ก็ฉันไม่รู้นิ ว่าสวิตช์ไฟมันอยู่ตรงไหน” เขามองคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า สัมผัสได้ว่าเธอคงจะตกใจกลัวจริง ๆ
“อยู่ตรงนี้” เขาชี้นิ้วให้ดูก่อนจะกดเปิดสวิตช์ไฟโดยที่มืออีกข้างยังคงรวบมือของเธอไว้ในท่าเดิม
ความกลัวทำให้เมธาวีลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย เมื่อแสงสว่างขึ้นเธอต้องตกใจอีกครั้งกับภาพชายตรงหน้าที่ปล่อยผมยาวสยายทั้งฟูทั้งรุงรังกว่าเมื่อกลางวันอีก ใบหน้าคมถูกปิดบังไปด้วยหนวดเคราที่ไม่เป็นทรง เผยให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าเป็นคน
“โอ๊ยลุงน่ากลัวกว่าโจรอีก ทำไมถึงไม่รู้จักตัดผมโกนหนวดออกให้มันเรียบร้อยหน่อย แบบนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว รู้ตัวหรือเปล่า” เธอบอกโดยไม่กล้าสบตามองเพราะกลัวจริง ๆ
“แล้วมายุ่งอะไรกับทรงผมและหนวดเคราของผม”
“ก็มันน่ากลัว”
“น่ากลัวมากเลยเหรอ ถึงต้องทำท่าทางแบบนี้” เขาเค้นเสียงถาม