บทที่ 4 หลอน
ทองสุขแกล้งทำเสียงหวานเย้าหลานชายแต่ภากรไม่มีอารมณ์ยิ้มหัวเช่นแต่ก่อน เขามองหน้าป้ากับลุงนิ่งครู่หนึ่งจึงเหลือบสายตาลงมองจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง หน้าจอปกติสิ่งแปลกปลอมเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นหายไปแล้ว เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา สายตาเขาพร่ามัวหรือว่าเขาตื่นเช้ากว่าทุกวันหรือ...หรือ...
ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองเพื่อหาเหตุผลมาลบล้างกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นี้ว่ามันเป็นเพียงภาพหลอนและตาฝาดไปเท่านั้น แต่พอเขาหันไปมองกระดาษออกแบบบนโต๊ะเขาก็ต้องเบิกตากว้างขนลุกไปทั่วทั้งตัว หัวใจเต้นรัวเร็ว มือเย็นเฉียบขึ้นมาทันที
“กร เป็นอะไรรึเปล่าลูก”
ทองสุขหันมามองหลานชายเพราะเขาไม่ต่อปากต่อคำและที่แย่ไปกว่านั้นภากรหน้าซีด สีหน้าเหมือนตกใจกับอะไรบางอย่าง ป้าสุขก้าวเร็ว ๆ เข้าไปที่โต๊ะทำงานหลาน
“ปละ ปละ เปล่าครับป้า”
เขาหันมามองหน้าป้าแล้วถอยห่างเก้าอี้ วางดินสอลงบนโต๊ะคอมฯแล้วเดินอ้อมโต๊ะออกมายืนกลางห้อง พยายามกลืนน้ำลายที่เหนียวหนึบลงลำคอ สูดลมหายใจลึก ๆ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติเร็วที่สุด
“เป็นอะไรกร ท่าทางไม่ดีเลย มีอะไรก็บอกลุงได้นะ” ประจวบจ้องหน้าชายหนุ่ม สังเกตกิริยาแปลก ๆ ของหลาน
“ไม่เป็นไรครับลุง ไหนครับโจ๊ก หิวจนตาลายแล้วป้า”
น้ำเสียงกลับมารื่นรมย์เช่นเดิม เขาเดินไปที่เก้าอี้มุมด้านหนึ่งของห้อง มีโต๊ะไม้วางหน้าเก้าอี้ ชามโจ๊กวางบนโต๊ะ แก้วกาแฟวางข้างกัน ขวดน้ำกับแก้วใสวางถัดไป เขาเลื่อนชามโจ๊กเข้ามาใกล้
“หอมจังป้า ผมกินหมดห้ามบ่นนะ”
“เดี๋ยว ยังกินไม่ได้จนกว่าจะเล่าความฝันประหลาด ๆ ให้ป้ากับลุงฟังก่อน แล้วเมื่อกี้เป็นอะไรตกใจอะไร ป้าดูบนโต๊ะก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ มีแต่แผ่นกระดาษ”
ทองสุขเดินมายืนมองหน้าหลานชาย สายตาสงสัยฉายชัด ภากรเงยหน้ามองป้าแล้วยิ้มทะเล้น เขาคงต้องเล่าความฝันไม่อย่างนั้นไม่ได้ทานโจ๊กหอมฉุยชามนี้อย่างแน่นอน
“กินก่อนไม่ได้เหรอป้าแล้วค่อยเล่าทีหลัง รับรองไม่เบี้ยว”
“ก็ได้ นึกว่าสงสารลูกนกลูกกา ค่อย ๆ กินไม่ต้องรีบร้อน ป้ารอไหว”
ทองสุขเดินไปนั่งเก้าอี้อีกตัว ประจวบมองภรรยาแล้วยิ้มกับการต่อรองที่หลานชายตัวโตยอมจำนนอย่างง่ายดาย ภากรชะงักกับคำว่าลูกนกลูกกาของป้าสุขนิดหนึ่ง ความฝันของเขาไม่ใช่ลูกนกลูกกา ถ้าป้าฟังแล้วจะว่าอย่างไรนะ
เขาฝืนทานโจ๊กได้ครึ่งชามก็วางช้อน สิ่งที่เขาเห็นและเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาทำให้เขาแทบไม่อยากแตะต้องโจ๊กที่อยากทานแม้แต่คำเดียวแต่เพื่อไม่ให้ทองสุขกับประจวบสงสัยมากไปกว่าที่กำลังสงสัยอยู่ในขณะนี้เขาต้องฝืนจนฝืนต่อไม่ไหวแล้ว เขายกแก้วกาแฟขึ้นดื่มตามด้วยน้ำเปล่าแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“อิ่มแล้วป้า อร่อยมาก ฝีมือไม่ตกนะเนี่ย”
“ไม่ต้องชม เบื่อแล้ว เล่าความฝันมาเดี๋ยวนี้เลย” ทองสุขขยับนั่งตัวตรงตั้งใจฟังเต็มที่
“เอาจริงเหรอ” ภากรกอดอกแล้วยิ้มยั่วเย้าผู้สูงวัย
“เห็นหน้าตาสวย ๆ ยังงี้คิดว่าล้อเล่นรึไงจ๊ะหลานรัก ถ้าหลานโอ้เอ้อีกนาทีเดียว มีโกรธ ขอบอก”
“หล่อระดับพระเอกละครยังงี้โกรธได้ลงคอก็เชิญตามสบายนะครับคุณป้า”
หลานชายยืดตัวนั่งตรงเอียงข้างให้ป้าแล้วชำเลืองหางตามอง เรียกรอยยิ้มให้ประจวบจนกลายเป็นหัวเราะสองป้าหลาน
“ลุงว่าพอเถอะกร เล่าความฝันให้ลุงฟังหน่อย ฝันแปลกยังไงถึงได้ตื่นตีสี่ครึ่ง ทุกทีไม่เจ็ดโมงไม่ยอมลุกจากเตียง”
“ผมนอนดึกลุงก็รู้ ผมไม่ตื่นเที่ยงก็ดีเท่าไหร่แล้ว อีกอย่างป้าสุขของผมก็ใจดีไม่ปลุกหลานชายให้อารมณ์เสีย ใช่มั้ยป้า”
“ใช่ แต่ตอนนี้ป้าชักจะอารมณ์ไม่ดีแล้วนะพ่อหลานชายสุดหล่อ ถ้าแกมากเรื่องอีกป้าโกรธจริง ๆ” ทองสุขจ้องหน้าหลาน หล่อนอยากรู้เรื่องความฝันแปลก ๆ ที่ภากรเอ่ยถึง
“โอ๋ ๆ อย่าโกรธนะครับ เล่าแล้วครับเล่าแล้ว”
ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งไปกอดทองสุขแล้วหอมแก้มแรงๆ ก่อนจะหันมามองประจวบแล้วเริ่มเล่าถึงความฝันประหลาดให้ลุงกับป้าฟัง ประจวบนิ่งเงียบขณะทองสุขพยักหน้าตามช้า ๆ กระทั่งภากรเล่าจบลง
“ป้าว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับชาติที่แล้วของแกแน่เลยกร”
“ชาติที่แล้วเชียวเหรอป้า” ภากรพูดปนหัวเราะ เขาไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้
“แกอย่ามาหัวเราะนะ ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แกคิดดูนะอยู่ ๆ แกฝันเห็นคนสมัยก่อนได้ยังไง พวกเขาต้องให้แกช่วยอะไรสักอย่างหรือไม่ก็..”
“เคล้งงงงง....”