บทที่ 10 ส่งงาน
สุเทพ อินทรไพศาลกุล เจ้าของสวนไม้ดอกไม้ประดับหลายร้อยไร่ที่ผลิตส่งทั้งร้านดอกไม้ในประเทศและนอกประเทศ ไม่เพียงแต่ปลูกดอกไม้ขายเท่านั้น เขายังจับธุรกิจปุ๋ยอินทรีย์ควบคู่ไปด้วย แม้ชีวิตจะเพียบพร้อมแต่สิ่งหนึ่งที่เขาฝันมาตลอดคือการปลูกบ้านทรงไทยที่ฝันเห็นมานานนับ 10 ปี
แต่ไม่มีสถาปนิกคนไหนออกแบบได้ถูกใจสักคน เขาว่าจ้างนักออกแบบหลายร้อยรายแต่ไม่มีใครสามารถปั้นความฝันให้เป็นจริงสักคน จนกระทั่งวันนี้ สถาปนิกหนุ่มนำแผ่นกระดาษมาวางตรงหน้าเขา เพียงแวบแรกที่สายตาจับติดภาพวาดในนั้นเขาก็รู้ว่านี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ
“คุณภากร คุณเป็นคนแรกที่ทำความฝันของผมให้เป็นจริง บ้านหลังนี้จะเสร็จภายในไม่กี่เดือนนี่แหละ ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ ผมจะให้ค่าความคิดของคุณมากกว่าที่คุณเรียกสามเท่า ผมจะจ่ายเป็นเช็คเงินสดนะ คุณเอาไปขึ้นเงินได้เดี๋ยวนี้เลย”
หนุ่มใหญ่เลื่อนแผ่นกระดาษไปทางหนึ่งของโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ดึงลิ้นชักออกหยิบสมุดเช็คมาวางบนโต๊ะ ปากกาด้ามทองอยู่ในมือพร้อมเซ็นชื่อลงบนแผ่นกระดาษ
“คุณสุเทพครับ ผมขอแค่ที่ผมบอกราคาเท่านั้นแหละครับ ไม่ต้องให้ผมเพิ่มหรอกครับ”
ภากรเอ่ยขึ้นก่อนที่เสี่ยใหญ่จะจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ เจ้าของโต๊ะเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าแล้วยิ้ม
“คุณเป็นคนแรกที่ขัดใจผมแต่ผมชอบความไม่โลภมากของคุณ ยังไงผมก็จะให้ตามที่พูดเพราะคุณสร้างความฝันของผมให้เป็นรูปร่างแล้วก็ถูกใจผมมาก รับไปเถอะผมเต็มใจให้”
เขาตวัดปลายปากกาหยุกหยิกแล้วดึงแผ่นกระดาษหลุดจากขั้วของมัน ยื่นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าแผ่นเล็กให้สถาปนิกหนุ่ม
“ขอบคุณครับ” ภากรพูดสั้น ๆ เพราะเขาปฏิเสธเสี่ยสุเทพไม่ได้
“ไม่ต้องขอบคุณผม ผมต่างหากที่ควรขอบคุณคุณ เอาไว้บ้านทรงไทยหลังนี้สร้างเสร็จผมจะเชิญคุณมาดู”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ”
เขายกมือไหว้สุเทพแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องทำงานของเศรษฐีระดับจังหวัดและน่าจะเป็นระดับกลาง ๆ ของประเทศด้วย เขาเดินพ้นประตูบ้านตึกหลังใหญ่ของสุเทพ ลมภายนอกพัดเย็นชื่น เขาก้มลงมองตัวเลขในแผ่นกระดาษแล้วส่ายหน้าช้า ๆ
“มันไม่ใช่ความคิดของเราสักหน่อย จะเอาเงินเขาไปใช้ทำไม เอาไปทำบุญให้หมดนี่แหละ”
แวบหนึ่งภาพหินทรายแกะสลักรูปกินรีผ่านเข้ามาในมโนสำนึก กินรีในความฝันและในจอคอมพิวเตอร์หรือเปล่าที่บังคับให้เขาเขียนแบบออกมาถูกใจสุเทพ ถ้าเป็นอย่างนั้นกินรีที่เขาฝันเห็นต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับเศรษฐีสวนไม้ดอกไม้ประดับอย่างแน่นอนแล้วตัวเขาล่ะไปเกี่ยวอะไรด้วย ภากรถอนใจแรง ๆ
“เฮ้อ งงว่ะ”
เขาขับรถออกจากบ้านสุเทพคิดจะกลับไปนอนพักแล้วลงมือทำงานชิ้นต่อไปแต่ภูสุดาไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น หล่อนโทรศัพท์มาตามเขาอย่างกับมีตาทิพย์
“ไอ้กร แกห้ามหนีกลับบ้านนะ เสร็จธุระแล้วมาที่ร้าน ฉันจะสอนแกต่อ มีลูกค้าสั่งช่อดอกไม้วันเกิดคุณหญิงสองกระเช้า แกต้องหัดจัดกระเช้าด้วย มาเดี๋ยวนี้ถ้าคุยกับลูกค้าแกเรียบร้อยแล้ว เข้าใจ๋ อย่าให้ต้องซิ่งรถไปจิกถึงบ้านล่ะ”
หล่อนวางสายทันทีที่พูดจบ เขาส่ายหน้าแล้วแค่นยิ้ม ร้านดอกไม้ภูสุดามีเจ้าของใหม่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากสีชมพูระเรื่อ ดวงตาคม ร่างสูงเพรียวไม่แพ้นายแบบ ลูกค้าเข้ามาเห็นต้องหัวเราะหรือไม่ก็ยิ้มและคิดในใจว่า เจ้าของร้านหนุ่มคนนี้ต้องเป็นเกย์แน่นอน แค่คิดเขาก็อยากจะกระโดดน้ำตายเสียจริง ๆ แต่ก็ว่ายน้ำเป็น คงต้องยอมรับสิ่งที่เพื่อนตัวร้ายยัดเยียดให้เสียแล้วละ
ภากรเดินหน้าบอกบุญไม่รับเข้ามาในร้านอีกรอบและเขาต้องจำใจนั่งดูภูสุดาจัดกระเช้าดอกไม้วันเกิด หล่อนหันมาสั่งให้เขาจัดอีกกระเช้าตามหล่อนแต่ก็ทำไม่เรียบร้อยถูกหล่อนดุเหมือนกับเป็นเด็กเล็ก ๆ เขาโยนดอกกุหลาบสีขาวลงบนโต๊ะแล้วเดินไปยืนสงบสติอารมณ์นอกร้าน ภูสุดาเดินตามออกมา
“กร ฉันขอโทษที่บังคับใจแกมากเกินไป แต่ฉันอยากให้ร้านนี้เป็นของแก นึกซะว่าช่วยดูแลร้านไว้ให้หลานก็แล้วกันนะ นะเพื่อนนะ”
“เออ ถ้าฉันไม่ช่วยแกฉันจะมานั่งให้แกสอนจัดดอกไม้บ้า ๆ บอ ๆ นี่เหรอวะ ฉันหงุดหงิดขอออกมาสูดอากาศข้างนอกเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวเข้าไป”
“แกน่ารักยังงี้แหละฉันถึงไม่ขายให้คนอื่น เออกร เดี๋ยวแกรอรับของด้วยนะ ฉันซื้อให้เป็นของขวัญเจ้าของร้านคนใหม่”
“อะไรวะ”